ตอนที่ 52 อิทธิพลมืดในเมืองหยิน (1)
วันที่สองหลังจากหน่วยงานย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลก่อตั้งขึ้นสำเร็จแล้ว
หลี่ฮ่าวควบจักรยานคันเก่าของตัวเองอีกครั้ง ช่วยไม่ได้ เมื่อวานรถชนจนไม่เหลือสภาพแถมเช้ามายังสตาร์ทไม่ติดอีก หงุดหงิดจนหลี่ฮ่าวเกือบจะพังรถนี้ไปด้วยอีกคัน
ไม่น่าใช้เลยสักนิด!
บ้านหลังใหม่อยู่ห่างจากกองตรวจการณ์ระยะหนึ่งซึ่งไกลกว่าบ้านหลังเก่า เกรงว่าจะต้องปั่นจักรยานสักครึ่งชั่วโมง
แต่หลี่ฮ่าวในวันนี้เป็นทะลวงร้อยแล้ว หากจะว่าเหนื่อยก็ไม่คงไม่เหนื่อยถึงขั้นนั้น
หลี่ฮ่าวกำลังปั่นจักรยานบนถนนสายเล็กๆ ที่ทำจากหินเซเลสไทต์ตรงหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน
สักพักบนถนนเส้นเล็กของหมู่บ้านข้างซอยก็มีรถยนต์คันหรูขับตรงมา
หรูหรากว่ารถที่หลี่ฮ่าวได้รับมากโข
หลี่ฮ่าวไม่ได้หันไปมอง แต่กลับเป็นรถคันหรูข้างๆ ที่เลื่อนกระจกลงเผยให้เห็นใบหน้าชายหนุ่มที่เกิดความขัดแย้งกับหลิวเยี่ยนเมื่อวาน ใบหน้าจุดยิ้มบางเบาขับให้เขาดูสุภาพไม่น้อย
แน่นอนว่าท่าทางที่ถูกหลิวเยี่ยนจับล็อกกุญแจมือเมื่อวานไม่ได้ดูสบายตาเช่นนี้
“เพื่อน จำผมได้ไหม”
หลี่ฮ่าวหันไปมองแวบหนึ่ง ครั้นเห็นอีกฝ่ายก็พยักศีรษะรับน้อยๆ “จำได้สิ ประธานเฉียวของธุรกิจเหมืองแร่เฉียวกรุ๊ป พี่หลิวบอกผมแล้ว”
“ไปทำงานเหรอ”
“ใช่ครับ”
หลี่ฮ่าวเผยสีหน้าราบเรียบไม่ได้อยากสนใจอีกฝ่ายเท่าไรนัก
“ปั่นจักรยานไปเหรอ นั่งรถผมไปไหม”
เฉียวเผิงแสดงน้ำใจ ยิ้มกล่าว “เมื่อวานแค่ล้อเล่นกับหลิวเยี่ยนเท่านั้นเอง ผมมีธุระที่กองตรวจการณ์พอดี คุณปั่นจักยานคงใช้เวลานาน นั่งรถผมไปสิ”
“ไม่เป็นไรครับ!”
หลี่ฮ่าวปฏิเสธอย่างมีมารยาท “พี่หลิวบอกไว้ว่าสามีของเธอถูกหัวหน้ารปภ.ของธุรกิจเหมืองแร่เฉียวกรุ๊ปของพวกคุณฆ่าตาย…คุณอยู่ให้ห่างจากผมหน่อย ไม่งั้นผมกลัวว่าผมจะห้ามใจไม่ให้จับกุมคุณไม่ได้!”
เฉียวเผิงเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่นานก็ถอนหายใจกล่าว “เรื่องนั้นเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ หลายปีมานี้ความจริงผมก็พยายามชดเชยให้ตลอด พูดไม่น่าฟังหน่อยที่ผมตามจีบหลิวเยี่ยนความจริงก็เพื่อชดเชยทุกอย่าง…ไม่งั้นด้วยสถานะของผมแล้ว ผู้หญิงคนไหนบ้างที่ผมจะตามจีบไม่สำเร็จ เพื่อน คุณไม่เข้าใจ แผลของเธอลึกเกินไป ดังนั้นก็ยิ่งต้องสร้างความอุ่นใจให้แก่เธอ ส่วนผม…ช่วยปลอบประโลมหัวใจที่มีแผลของเธอได้”
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้ว พลางปั่นจักรยานต่อไปอย่างไม่นึกสนใจเขา
ในใจกลับคิดว่านี่เจ้าหมอนี่กำลังแสดงละครกับเราอยู่หรือไง
ทุกคนก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ!
เขาเองก็กึ่งแสดงละครอยู่ไม่ต่างกัน ได้ข่าวว่าคนตรงหน้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกยมราช ฉะนั้นเลยไม่จำเป็นต้องฉีกหน้าล่วงเกินเสียทีเดียว
อีกทั้งเจ้าหมอนี่ก็เป็นฝ่ายชวนตัวเองคุยเสียดิบดี…
เพราะเรื่องแปดตระกูลใหญ่หรือ
เพราะตนเป็นผู้สืบทอดหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ ดังนั้นเจ้าหมอนี่ถึงใช้โอกาสนี้ตีสนิทกับตนอย่างนั้นหรือ
เฉียวเผิงเห็นหลี่ฮ่าวไม่สนใจตนก็หัวเราะ “ช่างเถอะ บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจ รอคุณโตกว่านี้หน่อยบางทีก็คงเข้าใจขึ้นบ้าง วัยรุ่นไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก หลังจากนี้ไปเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว มีเวลาว่างก็ไปเที่ยวหาผมได้นะ”
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมหลี่ฮ่าวถึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้นั้นเขากลับไม่สงสัยเลยสักนิด คนของผู้พิทักษ์รัตติกาล คิดจะหาที่พักอาศัยดีๆ หน่อยคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ข่าวว่าเจ้าหมอนี่ได้เลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าไปเสียแล้ว…แต่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเหนือคาดเท่าไร ในเมื่อยังมีหยวนซั่วหนุนหลังอยู่
รถคันหรูขับไกลออกไปเรื่อยๆ
หลี่ฮ่าวมองตามอยู่พักหนึ่งก็ละสายตากลับมาแล้วปั่นจักรยายคันเล็กของตนมุ่งไปยังกองตรวจการณ์
เฉียวเผิง!
ชื่อนี้เขากลับจำได้อย่างขึ้นใจ
ไม่แน่หมอนี่อาจจะเคยขุดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษตนก็เป็นได้
……
อาคารหน่วยปฏิบัติการ
บัดนี้กลายเป็นอาคารหน่วยงานสาขาย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลไปแล้ว
จนกระทั่งถึงตอนนี้ หน่วยงานสาขาย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลเพิ่งมีสมาชิกอย่างเป็นทางการแค่เก้าคน แต่นอกจากพวกเขาแล้วหลี่ฮ่าวก็ได้รับสมัครคนจากกองตรวจการณ์มาเพิ่มอีกสิบคน โดยมีหน้าที่หลักในเรื่องงานเอกสารเบื้องหลังและงานทั่วไป
วันนี้หน่วยงานผู้พิทักษ์รัตติกาลก็เปิดทำการอย่างเป็นทางการแล้ว
หลี่ฮ่าวเองก็มีห้องทำงานส่วนตัวบนอาคารแห่งนี้เช่นกัน
ในห้องทำงานยังแขวนธงผ้าไหมประดับอยู่ด้วยผืนหนึ่ง
หลี่ฮ่าวพูดได้ทำได้ เพราะเขาเอาธงผ้าไหมที่โจวเฮ่อเป็นคนให้มาแขวนประดับเพื่อเป็นตราประทับแห่งความสำเร็จจริงๆ
นี่เป็นธงผ้าไหมผืนแรกที่เขาเคยได้รับในชีวิต ย่อมให้ความสำคัญกับมันอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นโจวเฮ่อยังมอบทั้งบ้านทั้งรถและประสบการณ์การต่อสู้จนถึงแก่ชีวิต…ไม่ว่าอย่างไรหลี่ฮ่าวก็ควรจดจำในสิ่งดีๆ ที่เขาเคยทำไว้หน่อย
เขาเพิ่งเข้าห้องทำงาน หลิวเยี่ยนก็มาเคาะประตูแล้ว หล่อนไม่รอคำตอบก็ชิงผลักประตูเข้ามาก่อนเลย “ไปได้แล้ว หยุดจ้องธงของนายได้แล้ว ลูกพี่เรียกประชุม!”
“ประชุมกันเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”
“ลูกพี่เป็นคนทำงานไว!”
หลิวเยี่ยนยิ้มกริ่มแล้วมองหลี่ฮ่าวอีกที “เมื่อคืนหลับสนิทดีไหม กลัวหรือเปล่า”
“ไม่กลัวเลยครับ”
หลี่ฮ่าวส่ายหน้ารัวๆ ผมไม่กล้าบอกว่ากลัวหรอกนะ ถ้ากลัวพี่จะย้ายไปอยู่ด้วยใช่ไหมล่ะ
นั่นต่างหากที่น่ากลัว!
ทั้งคู่พูดคุยพลางเดินขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นบนพร้อมกัน
……
ภายในห้องประชุม
รอหลี่ฮ่าวมาถึงคนอื่นๆ ก็มากันเกือบครบแล้ว โดยเขากับหวังหมิงมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน
ทุกคนเพิ่งนั่งลง หลิวหลงก็โผล่เดินเข้าห้องประชุมมาอย่างว่องไวจนตัวปลิวพร้อมเสื้อโค้ทบนร่างเหมือนเดิม
ไม่รอนั่งลงก็เปิดประเด็นทันที “หน่วยงานย่อยผู้พิทักษ์รัตติกาลประจำเมืองหยินถูกจัดตั้งขึ้นสำเร็จแล้ว ผมขอถือโอกาสตอนที่ยังมีพันยุทธ์คุมเมืองหยินอยู่ อะไรที่ควรทำก็รีบทำซะ!”
“ผมจะพูดรวบรัดแล้วกัน!”
หลิวหลงพูดเสียงนิ่ง “เมืองหยินไม่เคยมีองค์กรพลังเหนือธรรมชาติของทางการมาก่อน มีเพียงกองตรวจการณ์ที่รับผิดชอบระบบความปลอดภัยทั่วทั้งเมืองมาโดยตลอด! ที่นี่ไม่มีกองทัพทหารประจำการอยู่ กองตรวจการณ์จึงเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพียงหนึ่งเดียวด้วยเช่นกัน!”
“แต่ว่าเมืองที่มีประชากรล้านคนย่อมไม่มีทางเป็นคนธรรมดาทั้งหมดอยู่แล้ว เมืองหยินมีปรมรจารย์นักรบและมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ…จันทราทมิฬเหมือนจะพบเห็นได้น้อย แต่ปรมาจารย์แสงดาราก็ยังมีอยู่!”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “เมืองหยินมีหลายจุดที่ต้องให้ความสำคัญ! อย่างแรกกู่ย่วนของเมืองหยิน จุดนี้คิดว่าหลี่ฮ่าวรู้ดี จุดที่สองสำนักเลขาธิการประจำเมืองหยินซึ่งจะรับผิดชอบงานเกี่ยวกับประชากร ฝั่งนั่นกับกองตรวจการณ์จะแบ่งเป็นฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นโดยจะไม่ยุ่มย่ามกัน”
สำนักเลขาธิการเมืองหยินรับผิดชอบงานอื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานด้านต่อสู้ เหตุที่ทั้งเมืองหยินสงบสุขได้เช่นนี้ไม่เพียงแต่ต้องการกองตรวจการณ์ที่เป็นหน่วยปฏิบัติการ แต่ยังต้องการหน่วยงานอื่นๆ คอยช่วยอีกแรงด้วย
สำนักเลขาธิการประจำเมืองหยินกับกองตรวจการณ์ไม่ได้มีระบบการบริหารงานแบบเดียวกัน แต่ล้วนเป็นระบบการบริหารของทางการทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน บุ๋นไม่ยุ่งกับบู๊ ส่วนบู๊ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเช่นกัน
“จุดที่สามสิบแปดสำนักศิลปะการต่อสู้ของเมืองหยิน ผมหมายถึงสำนักที่มีปรมาจารย์นักรบก่อตั้งอย่างเป็นทางการ!”
“จุดที่สี่ บริษัทใหญ่ทั้งหกแห่งเมืองหยิน!”
หลิวหลงพูดเสียงเรียบ “สถานที่ต่างๆ เหล่านี้มักเป็นแหล่งรวมตัวกันของปรมาจารย์นักรบกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่มากก็น้อย หรือผู้ที่ทำงานขายชีวิตให้แก่กลุ่มอิทธิพลต่างๆ หรืออาจจะเป็นผู้ริเริ่ม ผู้คนเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาสำคัญของปัจจัยความไม่สงบของทั้งเมืองหยิน!”
ส่วนกองตรวจการณ์ก็มีปรมาจารย์นักรบ พวกหลิวหลงก็ใช่ทั้งหมด ฝั่งมู่เซินเองก็มี
ส่วนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่มีจริงๆ…เพราะถ้ามีกองตรวจการณ์ก็จะส่งไปอยู่กับผู้พิทักษ์รัตติกาลโดยตรง นอกจากว่าไม่ยินยอมที่จะเข้าร่วมเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาล แต่คนของกองตรวจการณ์ที่สามารถกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้แทบไม่มีใครขัดขืนการเข้าร่วมทั้งสิ้น
นี่จึงก่อให้เกิดสถานการณ์พิเศษรูปแบบหนึ่ง ที่อื่นอาจจะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติบ้าง แต่กองตรวจการณ์กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
แน่นอนว่าบัดนี้มีแล้ว แถมไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วย
ทุกคนต่างหันมองหน้ากัน เพราะเมื่อวานหวังหมิงทานข้าวกับหลิวหลงมา วันนี้เลยยอมพูดมากขึ้นบ้าง เอ่ยถามว่า “หัวหน้าหลิวหมายความว่า”
“จัดระเบียบใหม่!”
หลิวหลงพูดไปตรงๆ “อดีตกองตรวจการณ์มีอำนาจไม่มากพอ ความสามารถไม่มากพอจนปล่อยปะละเลยคนบางกลุ่มไปบ้าง! ตอนนี้หน่วยงานย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลก่อตั้งสำเร็จก็ต้องกำราบให้กลุ่มอิทธิพลใหญ่ของเมืองหยินรับรู้ว่าเมืองหยินยังอยู่ภายใต้การปกครองของทางการ!”
หวังหมิงไม่ได้พูดอะไรอีก
กลับเป็นหลี่ฮ่าวที่ปริปากถาม “ลูกพี่ แล้วเราจะตั้งเป้าหมายไว้แบบไหน เพื่อสร้างความน่ายำเกรงเหรอครับ”
………………………………………………………………………….