ตอนที่ 51-5 อาวุธกำเนิดศาสตราเทพ (5)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 51 อาวุธกำเนิดศาสตราเทพ (5)

ทุกตระกูลต่างมีอาวุธกำเนิดศาสตราเทพสืบทอด นี่เป็นถึงรากฐานในการก่อตั้งองค์กรใหญ่เชียว หากไม่มีอาวุธกำเนิดศาสตราเทพก็เท่ากับไม่มีแหล่งผลิตพลังลี้ลับที่มั่นคง ลำพังอาศัยแค่การฆ่าเพื่อช่วงชิงพลังลี้ลับมาจะทำต่อเนื่องอย่างยืนยาวได้อย่างไร

อย่างทีมล่าปีศาจอาศัยการฆ่าคนเพื่อช่วงชิงสมบัติ หากไม่ใช่เพราะหยวนซั่วเข้าร่วมกระบวนการในครั้งนี้ พวกเขาคงตายราบเป็นหน้ากลองไปตั้งแต่แรกแล้ว

ตอนนี้เขาจำชื่ออาวุธกำเนิดศาสตราเทพไว้เป็นอย่างดี

พานนึกถึงจี้หยกกระบี่ที่พลังพิเศษอ่อนลงเรื่อยๆ ว่าจะเติมเต็มมันได้อย่างไรบ้าง

พลังชนิดนี้ใช้ดีเกินไป

หากผลาญหมด หลี่ฮ่าวก็ปวดใจเป็นเหมือนกัน

“เหล่าหวัง แล้วองค์กรอื่นมีอาวุธกำเนิดศาสตราเทพไหม”

“ล้อเล่นเหรอ! ทั้งมณฑลหยินเยวี่ย ทุกหน่วยงานของผู้พิทักษ์รัตติกาลก็มีแค่เมืองไป๋เยวี่ยที่มี ฉะนั้นทุกปีถึงสร้างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้หนึ่งกลุ่ม อย่างเราก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ถือกำเนิดผ่านอาวุธกำเนิดศาสตราเทพชิ้นนั้นทั้งสิ้น”

หวังหมิงอธิบายเพิ่มอีกไม่กี่ประโยค “ฉะนั้นเมืองไป๋เยวี่ยมีผู้แข็งแกร่งคอยคุ้มครองอยู่ตลอด หัวหน้าโหวไม่ออกไปจากกองบัญชาการใหญ่และคอยคุ้มกันอยู่ที่นั่นตลอดก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนมาช่วงชิงอาวุธกำเนิดศาสตราเทพไป”

หัวหน้าโหวที่เขาพูดถึงก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของผู้พิทักษ์รัตติกาลประจำมณฑลหยินเยวี่ย เป็นหัวหน้าใหญ่อย่างแท้จริง

เป็นผู้แข็งแกร่งระดับไตรสุริยาอีกต่างหาก!

ขณะนี้เองหลี่เมิ่งก็พูดแทรกขึ้น “พลังสูรอภิรามไม่ใช่แค่ผลิตพลังลี้ลับได้อย่างเดียว เท่าที่ฉันรู้เหมือนว่าจะผลิตพลังลี้ลับพิเศษบางอย่างได้ รายละเอียดว่าพิเศษยังไงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ฉันได้ยินมาจากผู้อาวุโสบางท่านว่าตอนที่พลังเหนือธรรมชาติเพิ่งปรากฏ มีคนบางส่วนไม่รู้คุณค่าของพลังลี้ลับพิเศษเลยทำการดูดซับพลังลี้ลับจากอาวุธกำเนิดศาสตราเทพโดยตรง…มันสิ้นเปลืองเกินไปและฟุ่มเฟือยเกินไป! แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด ความจริงผู้แข็งแกร่งระดับสุริยะพรายกับไตรสุริยามากมายก็เคยดูดซับพลังในตอนนั้นกันทั้งนั้น”

แหล่งสร้างพลัง!

หลี่ฮ่าวหน้าเรียบนิ่งแต่ในใจกลับตกตะลึงอีกครั้ง

พลังจี้หยกกระบี่ พลังหินมีดเหล่านี้…ที่เราดูดซับคงไม่ใช่แหล่งสร้างพลังอย่างที่ว่าหรอกนะ

อาวุธกำเนิดศาสตราเทพให้กำเนิดพลังลี้ลับพิเศษ ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าจี้หยกกระบี่ของตนก็คืออาวุธกำเนิดศาสตราเทพล่ะ

หวังหมิงเองก็บ่นว่า “ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติรุ่นอาวุโสไม่มีความรู้เลยทำอะไรเหลวไหล! ตอนนี้ไม่มีใครทำเรื่องแบบนี้แล้ว นอกจากว่ามีกันคนละชิ้น ไม่งั้นอาวุธกำเนิดศาสตราเทพเป็นถึงเงื่อนไขในการก่อตั้งองค์กรขนาดใหญ่เชียว ใครจะเลือกทำบ้าๆ แบบนี้กัน”

หลี่ฮ่าวผุดนึกหน้าอาจารย์ขึ้นมา อาจารย์…ก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันหรือ

เขาหลงคิดว่าอาจารย์อาจรอบรู้ทุกเรื่องเสียอีกนะเนี่ย

หากรู้อาจารย์คงเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามีดกับกระบี่อาจจะเป็นอาวุธกำเนิดศาสตราเทพ

“เรื่องอาวุธกำเนิดศาสตราเทพ…ทุกคนรู้จักกันหมดเหรอ”

“จะเป็นงั้นได้ไงล่ะ เมื่อก่อนคนไม่ค่อยรู้กัน ทางมณฑลหยินเยวี่ยอาจจะมีแค่หัวหน้าโหวเท่านั้นที่รู้ ภายหลังเกิดสงครามที่ภาคกลาง ข่าวของสมบัติชิ้นนี้แพร่กระจายจนผู้คนรู้กันให้ทั่ว เราเลยได้รู้เรื่องการมีอยู่ของอาวุธกำเนิดศาสตราเทพไปด้วย”

หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับ ทีนี้ก็เข้าใจแล้วว่าก่อนหน้านี้อาจารย์อาจจะไม่รู้จริงๆ ข่าวนี้เพิ่งแพร่สะพัดมา อาจารย์อยู่เมืองหยินตลอดจึงไม่ทันข่าว ผู้พิทักษ์รัตติกาลเองก็ไม่มีทางบอกเขาทุกเรื่องอยู่แล้ว

หลี่ฮ่าวยิ้มร่าในใจ มีสิ่งที่อาจารย์ไม่รู้ด้วย อย่างนั้นไว้ตนจะต้องไปบอกเขาแล้วกัน

อาวุธกำเนิดศาสตราเทพ!

ในตอนนี้เขากับอาจารย์มีกันคนละชิ้นแหนะ

แค่ไม่รู้ว่าจะทำให้ผลิตพลังลี้ลับได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นไร หรืออาจจะบอกว่าหลี่ฮ่าวไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ แต่ต้องการทราบวิธีเติมเต็มชดเชยพลังพิเศษของกระบี่กับมีดอย่างไร้ขีดจำกัดอย่างไรมากกว่า

พอรู้คำตอบคร่าวๆ ในใจก็จะคิดหาวิธีแก้ไขได้

พอนึกถึงเรื่องนี้ หลี่ฮ่าวก็นึกดีใจยิ่งกว่าเดิม

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขัดความคิดหลี่ฮ่าวขึ้นมา เพราะรถชน!

หวังหมิงถอนหายใจ หลี่เมิ่งกับหูฮ่าวเองก็ถอนหายใจไม่ต่างกัน

ควรจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว!

ไม่ควรชวนเจ้าหมอนี่คุยเลย ทีนี้ดีล่ะ สู้ให้หูฮ่าวพาบินไปยังสะดวกกว่าอีก

หลี่ฮ่าวพลันขัดเขินขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลงไปดูรถแวบหนึ่งก็รีบขึ้นมา “ไม่เป็นไร ชนหินน่ะ ยังขับต่อได้!”

สิ้นคำก็สตาร์ทรถขับต่อไป

……

จนกระทั่งขับมาถึงหน้าปากทางเข้าบ้านของเขา ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งสามถึงก้าวลงจากรถพร้อมขาสั่นพรึ่บๆ

ส่วนรถที่หลี่ฮ่าวเพิ่งได้มา ตอนนี้ก็อยู่ในสภาพเละเทะหน้ารถหายไป

หลี่ฮ่าวถอนหายใจ รถของเรา!

ชีวิตนี้ถูกกำหนดชะตาไว้แล้วว่าจะไม่มีวันร่ำรวย

ดูสิรถดีๆ คันหนึ่ง ถ้าให้ซ่อม…หลี่ฮ่าวสงสัยว่าหากไม่ได้เงินเดือนเกรงว่าจะไม่มีปัญญาซ่อมมันด้วยซ้ำ

……

ข้าวมื้อนี้หลี่ฮ่าวกินพลางคิดอะไรเหม่อลอย

พวกเขาหลงคิดว่าหลี่ฮ่าวกำลังเสียใจเรื่องรถ ทั้งที่ความจริงหลี่ฮ่าวเปล่าเป็นเช่นนั้นเลย ถึงจะมีแต่ก็แค่ส่วนน้อย เขาสนใจเรื่องอาวุธกำเนิดศาสตราเทพกับเรื่องแปดตระกูลใหญ่มากกว่า

แปดตระกูลใหญ่ อาวุธกำเนิดศาสตราเทพ

หากชาดจันทรารู้เข้าว่ายังสามารถใช้อาวุธของแปดตระกูลใหญ่ได้ พวกเขาคงไม่มีวันถอดใจร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน

ยังไม่พูดถึงแผนผังแปดทิศเหนือฟ้าของเมืองหยิน ลำพังแค่อาวุธกำเนิดศาสตราเทพชิ้นเดียวก็มากพอที่ทำให้พวกเขาไม่ถอดใจแล้ว

ต้องรู้ไว้ว่าพื้นที่ภาคกลาง รบรากันแทบตายไปข้างเพราะอาวุธกำเนิดศาสตราเทพชิ้นเดียว

ตอนนี้ชาดจันทรายังไม่มีความเคลื่อนไหวมากขนาดนั้น บางทีอาจกังวลว่าจะดึงดูดความสนใจของคนอื่นมาด้วย

‘แบบนี้เราก็ต้องยิ่งระวังมากกว่านี้ พวกมันจะฆ่าเรา ไม่ใช่เพื่อแผนผังแปดทิศอย่างเดียว รวมถึงอาวุธด้วย…หวังว่ากระบี่ที่อยู่ในมือผู้พิทักษ์รัตติกาลจะช่วยเป็นเกราะกำบังให้พวกเขาได้อีกสักระยะ’

……

ในเวลาเดียวกับที่พวกหลี่ฮ่าวกำลังทานข้าวนั้น

ณ เมืองไป๋เยวี่ย

เสียงดังกึกก้องทั้งสี่ทิศ “อาจหาญนัก! รนหาที่ตายชัดๆ!”

เสียงกร้าวดังแว่วออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่งคนกลุ่มหนึ่งก็มารวมตัวกันอย่างว่องไว ขณะนี้ตรงหน้าประตูโกดังสำคัญแห่งหนึ่งมีผู้แข็งแกร่งที่ปล่อยผมยาวประบ่าคนหนึ่งทำหน้านิ่งเหลียวมองรอบตัว พักใหญ่ถึงเอ่ยว่า “กลับไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว!”

ทุกคนจึงทยอยแยกย้ายกันไป

รอกระทั่งพวกเขากลับไปชายผู้นั้นถึงมองไปยังเฮ่อเหลียนชวนที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ถามเสียงเย็นว่า “ที่นี่เหมือนจะไม่มีสมบัติสำคัญอะไร…มีแค่กระบี่เล่มนั้นที่คุณเอากลับมาจากเมืองหยิน!”

นี่เป็นกองบัญชาการใหญ่ของผู้พิทักษ์รัตติกาลประจำมณฑลหยินเยวี่ยเชียว!

อีกฝ่ายกลับเหิมเกริมโผล่มาถึงที่นี่

เหิมเกริมเกินไปแล้ว!

เฮ่อเหลียนชวนตอบเสียงนิ่ง “หัวหน้าโหว คนตายแล้วเหรอ”

“หนีไปแล้ว!”

พอสิ้นเสียงเฮ่อเหลียนชวนก็หน้าเปลี่ยนสี หนีไปต่อหน้าต่อตาหัวหน้าโหวได้อย่างนั้นหรือ

“ผู้แข็งแกร่งพลังธาตุดิน!”

ชายเอ่ยเสียงเย็นชา “แปดตระกูลใหญ่…อาวุธ…ชาดจันทรา…ใช่ว่าจะเป็นคนของชาดจันทรา แต่เห็นทีคงมีคนติดตามอาวุธของแปดตระกูลใหญ่อยู่ไม่น้อย ทางเมืองหยินคุณต้องคอยระวังไว้หน่อย ตอนนี้คนกับกระบี่อยู่แยกกัน บางทีทางนั้นอาจจะยังไม่ไปจุดที่ผู้แข็งแกร่งอยู่ แต่…เมื่อไรที่หยวนซั่วไม่อยู่ ทางที่ดีให้พาหลี่ฮ่าวคนนั้นมาที่เมืองไป๋เยวี่ย ไม่งั้นเกรงว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้จักอยู่อย่างสงบเสงี่ยม”

“รับทราบ!”

เฮ่อเหลียนชวนพยักหน้า แต่ก็อดถามไม่ได้ว่า “แปดตระกูลใหญ่…มันเรื่องอะไรกันแน่”

“พูดยาก เรื่องมันนานเกินไป เราไม่อาจขุดความลับทั้งหมดมาได้”

ชายผู้นั้นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ผู้นำชาดจันทรานั่น อิ้งหงเยวี่ยอาจจะได้ตำราโบราณเกี่ยวกับแปดตระกูลใหญ่ไปบางส่วน เอาเป็นว่าคุณจับตามองให้ดี! แล้วก็หลี่ฮ่าวคนนั้น…ควรจะติดตามให้มากพอควร!”

ครั้นพูดถึงตรงนี้พลันก็พูดด้วยเสียงติดเย็นชาว่า “ถ้าคนพวกนั้นไม่ยอมรามือ บางที…อาจจะใช้โอกาสนี้เก็บกวาดพวกที่ชอบก่อความวุ่นวายได้บ้าง”

เฮ่อเหลียนชวนพยักหน้ารับ

โอกาสก็เป็นโอกาสที่ดีอยู่หรอก กลัวก็แต่…ความสามารถของผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่แกร่งมากพอจะเขมือบอาหารชิ้นโตนี้ได้

“แล้วก็บอกหยวนซั่วว่าการสำรวจร่องรอยอารยธรรมโบราณกำหนดไว้สิ้นเดือนหน้า”

“รับทราบ”

เฮ่อเหลียนชวนหมุนตัวเดินออกไป เมื่อถึงหน้าประตูก็หันมาถามประโยคหนึ่งอย่างกะทันหันว่า “หัวหน้าโหว พื้นที่ภาคกลางช่วยส่งผู้แข็งแกร่งมาหนุนอีกส่วนหนึ่งได้ไหม”

“ไม่ได้!”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ทางนั้นแทบจะฝืนไม่ไหวแล้ว หลายครั้งที่ให้ผมเอาอาวุธกำเนิดศาสตราเทพไปช่วยพวกเขา แต่ผมปฏิเสธ ถ้ามณฑลหยินเยวี่ยไม่มีผมอยู่ เกรงว่าคุณจะประคองได้ยาก”

“เฮ้อ!”

เฮ่อเหลียนชวนถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วจากไปด้วยความเอือมระอาใจ

ลำบากทั้งสองฝั่ง!

ไม่อย่างนั้นการสำรวจร่องรอยอารยธรรมคราวนี้ควรมีคนไปมากกว่านี้ ไม่ใช่มีแค่ไตรสุริยาอย่างเขานำทีมคนเดียว เกรงว่าการสำรวจซากอารยธรรมโบราณครั้งนี้จะไม่ปลอดภัยขนาดนั้น

……………………………………………………………………….