ตอนที่ 54 อาจารย์ลูกศิษย์ร่วมวางแผนกันอีกครั้ง (1)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 54 อาจารย์ลูกศิษย์ร่วมวางแผนกันอีกครั้ง (1)

ณ กู่ย่วนแห่งเมืองหยิน

หลี่ฮ่าวเพิ่งกลับไปไม่นาน แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ไปพบหยวนซั่วแต่เดินไปยังตึกคณบดีโดยตรง

แต่ตอนนี้เขากลับมุ่งตรงไปยังบ้านของหยวนซั่ว

หวังหมิงไม่ได้มาด้วย เจ้าหมอนั่นบอกว่าไม่อยากเดินแล้วจึงรออยู่ในรถด้านนอก ซึ่งหลี่ฮ่าวก็ไม่ได้สนใจเขา

……

กลางลานบ้านขนาดเล็ก

หยวนซั่วกำลังง่วนอยู่กับสุนัขตัวหนึ่ง ช่วงนี้หยวนซั่วมีความสนใจคอยสอนเจ้าเสือดำอยู่ทุกวันและสนุกอยู่กับมัน หลี่ฮ่าวไม่รู้ว่าเกิดความผิดปกติอะไรกับอาจารย์ อย่างไรเสียอาจารย์ก็ลับสมองกับเจ้าเสือดำมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว

“อาจารย์!”

หลี่ฮ่าวเพิ่งทักทายไปคำหนึ่งเจ้าเสือดำก็เห่าขึ้นมาทีหนึ่ง ก่อนจะพุ่งมาเกาะขาของหลี่ฮ่าวไว้ด้วยเท้าหน้าอย่างรวดเร็ว

“โบ๋ว! โฮ่งๆ! เหมียวๆ!”

หลี่ฮ่าวชะงัก เสียงร้องตอนท้ายนี่มันบ้าอะไรกัน

“เจ้าเสือดำ แกจะเลียนเสียงร้องของแมวไปทำไม”

“โบ๋ว โบ๋ว…”

เจ้าเสือดำร้อนใจแทบแย่ เขาก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้เลย แต่ตาแก่แสนน่ากลัวคนนั้นบอกว่าเขาอาจจะไม่ใช่สุนัขแต่เป็นสัตว์พันธุ์ผสม ไม่แน่อาจจะปีนต้นไม้ได้อย่างแมว กัดคนได้อย่างหมาป่า และไถนาได้อย่างควาย…

เอาเป็นว่าช่วงนี้เจ้าเสือดำรู้สึกเหมือนตนจะใช้ชีวิตลำบากเหลือเกิน!

อนาถามากเกินไปแล้ว

วันนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอหลี่ฮ่าวเขาถึงได้ร้อนใจ นึกอยากเผ่นหนีไปพร้อมกับหลี่ฮ่าวเร็วๆ ไม่อยากอยู่กับตาแก่นั่นอีกแล้ว

“มาแล้วเหรอ”

วันนี้หยวนซั่วดูอ่อนเยาว์ขึ้นมากทีเดียว เขาเช็ดมือลวกๆ โดยไม่สนใจเจ้าเสือดำ “ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าเพ่นพ่านนัก มีเวลาก็ฝึกวิชายุทธ์ไป ก่อนหน้านี้เธอกับเสี่ยวหวังนั่นก็มากันแล้วสินะ”

“ครับ มาทำธุระ เลยไม่ได้มารบกวนอาจารย์”

“ไม่เป็นไร”

หยวนซั่วกลับไม่ได้ใส่ใจนักและไม่ได้ถามว่าทำไมหวังหมิงถึงไม่เข้ามา เป็นเรื่องปกติมากที่เจ้าหมอนั่นจะขัดเขินไม่กล้าเข้ามา

“หมาตัวนี้ดีไม่หยอก!”

หยวนซั่วพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เขามองเจ้าเสือดำที ทำเอาเจ้าเสือดำสะดุ้งเฮือกจนตัวสั่นเทา

หลี่ฮ่าวทำท่าระอาใจ “อาจารย์ อาจารย์ตีมันเหรอ”

“ตีมัน?”

หยวนซั่วหัวเราะ “จะเป็นยังงั้นได้ไงล่ะ! ฉันให้การศึกษามันอยู่ ไม่ว่าจะคนหรือหมาต้องถูกลงโทษทางกายภาพบ้าง ไหนเธอลองบอกมาสิว่าฉันเคยลงโทษเธอบ้างไหม”

“ไม่เคย”

หลี่ฮ่าวตอบกลับ แต่ดันรู้สึกแปลกใจประมาณหนึ่ง ในเมื่อไม่ได้ตี…แล้วเจ้าเสือดำกลัวอะไรกัน

“โฮ่งๆ!”

เจ้าเสือดำรีบเห่าอีกระลอก เรียกเสียงหัวเราะหยวนซั่วให้กล่าวว่า “หมาตัวนี้กำลังฟ้องอยู่แหนะ ฉันไม่ได้ตีมันหรอกนะ จริงๆ แค่ใช้พลังมีดกระตุ้นมันสักหน่อย พร้อมใช้พลังลี้ลับกระตุ้นอีกหลายที…อย่าว่าเลยนะ หมาตัวนี้ศักยภาพร่างกายใช้ได้เลย!”

วินาทีนี้หลี่ฮ่าวเข้าใจทุกอย่าง

รู้สึกร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก

นี่มันแย่ยิ่งกว่าโดนตีเสียอีก!

การกระตุ้นจากพลังมีด การกระตุ้นจากพลังลี้ลับ หลี่ฮ่าวเข้าใจมันดีเหลือเกิน หากไม่มีพลังกระบี่คอยเกลี่ยความสมดุล ความรู้สึกนั้น…เจ็บจี๊ดสุดๆ

หากมีพลังกระบี่คอยปรับความสมดุลกลับยังรู้สึกสะใจอยู่บ้าง แต่หากไม่มี…เขาพอจะคาดคิดได้แล้วว่าเจ้าเสือดำจะน่าเวทนาแค่ไหน

แน่นอนว่าต้องเป็นรสชาติความเจ็บปวดเคล้าด้วยความสุข

หลี่ฮ่าวตบหัวเจ้าเสือดำปุๆ “อาจารย์ให้ของดีกับแกอยู่นะ ต้องรักษาโอกาสไว้ให้ดี แกต้องรู้ว่าของดีพวกนี้ต่อให้มีเงินก็หาซื้อได้ยาก! ถ้าแกกลายเป็นภูตหมาตัวใหญ่คงน่าจะรู้คุณค่าของมันดี คราวก่อนมีคนตายไปตั้งเยอะก็เพื่อของพวกนี้ไม่ใช่เหรอ”

เจ้าเสือดำดวงตาใสแป๋ว ฉันรู้

แต่…ที่เจ้านายไม่รู้คือเจ้าโรคจิตนี่ใช้พลังพวกนี้สลับหมุนเวียนกระตุ้นเขาอยู่เรื่อย บอกว่าจะทดสอบดูว่าขีดจำกัดเขาอยู่ตรงไหน หลายวันมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างตายทั้งเป็น!

จากนั้นหลี่ฮ่าวก็ไม่สนใจเจ้าเสือดำอีก นี่เป็นโอกาสที่ดีแค่ไหนเชียว

คนทั่วไปอาจารย์ยังไม่อยากสนใจด้วยซ้ำ

หมาตัวนี้มีบุญแค่ไหนแต่กลับไม่รู้คุณค่า

เขาคร้านจะสนใจคำขอความช่วยเหลือจากเจ้าเสือดำแล้วยกเท้าเตะมันไปทีหนึ่ง เพราะมันเกาะไว้แน่นเหลือเกิน กรงเล็บของหมาค่อนข้างแหลมคม พอจิ้มลงไปก็เจ็บจนเข้าเนื้อ

“อาจารย์ ผมมีธุระอย่างหนึ่ง”

“ถ้าไม่มีธุระเธอคงไม่อยากมาหรอก”

หยวนซั่วเข้าใจหลี่ฮ่าวดีก็คร้านจะว่าอะไรอีก เพราะเขามัวแต่วุ่นกับเรื่องของตัวเอง หลี่ฮ่าวจึงทำได้แค่ตามหลังอยู่ต้อยๆ

หยวนซั่วกลับไม่ยอมฟังเขาพูดก่อนแต่ชิงพูดขึ้นเองว่า “สิ้นเดือนสิงหาคม เราจะไปตามรอยอารยธรรมโบราณกัน!”

“ผมไปด้วยเหรอ”

หลี่ฮ่าวถามไปประโยคหนึ่ง

หยวนซั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบกลับอย่างไม่มั่นใจว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตัดสินใจยาก! การตามรอยอารยธรรมโบราณมีความเสี่ยงแต่ก็เป็นโอกาส อีกอย่างฉันค้นพบว่าแหล่งอารยธรรมโบราณตรงนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแปดตระกูลใหญ่…ก็ไม่แน่ใจหรอกนะ!”

มีความเกี่ยวพันกับแปดตระกูลใหญ่อีกแล้ว!

หลี่ฮ่าวขมวดคิ้วน้อยๆ “อาจารย์ รากฐานของแปดตระกูลใหญ่อยู่ที่เมืองหยิน งั้นเมืองหยินมีร่องรอยอารยธรรมโบราณของแปดตระกูลใหญ่ด้วยหรือเปล่าครับ อาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ หรือว่าหลายปีมานี้ไม่เคยค้นพบร่องรอยพวกนี้ในเมืองหยินมาก่อนเลยเหรอ”

“เมืองหยิน…”

หยวนซั่วรินน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็ยกแก้วน้ำชาเดินออกไปข้างนอก “ฉันเคยสำรวจทั่วเมืองหยินแล้ว ฮวงจุ้ยธรรมดา ไม่เหมือนมีแหล่งสุสานขนาดใหญ่ แน่นอนว่าร่องรอยอารยธรรมโบราณพวกนี้ใช่ว่าจะเป็นสุสาน อาจจะเป็นเมืองเก่าที่จมลงไปติดอยู่ชั้นใต้ดิน แต่…เมืองหยินมีการขุดค้นของพวกนี้น้อยมาก ฉันเคยสำรวจมาก่อนก็ไม่พบร่องรอยอารยธรรมโบราณอะไร”

เขาคือหนึ่งในหนึ่งตระกูลใหญ่!

หลี่ฮ่าวขมวดคิ้ว อาจารย์กลับไม่ค้นพบจุดน่าสงสัยเลยหรือ

“อาจารย์ เมืองหยินอาจจะมีจริงๆ!”

“หืม”

หยวนซั่วย่นคิ้วเล็กน้อย คิดๆ แล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ถ้ามีจริง…ความจริงก็เป็นเรื่องปกติ! ในเมื่อตำนานของแปดตระกูลใหญ่ก็เริ่มจากเมืองหยิน หลายวันมานี้ฉันก็เคยตั้งสมมติฐานมาก่อน ถ้ามีจริงก็ต้องอยู่ตรงตำแหน่งแผนผังแปดทิศ!”

“อีกอย่างคงไม่ใช่แหล่งอารยธรรมโบราณทั่วไปด้วย อาจจะอยู่ในภาวะปิดผนึกที่ทำให้คนตายได้ง่ายมาก!”

พอพูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปทางหลี่ฮ่าว “เธอค้นพบแล้วเหรอ”

“อาจารย์ รอเดี๋ยวนะ…”

ว่าแล้วหลี่ฮ่าวก็เดินเข้าห้องไปหยิบกระดาษกับปากกาหนึ่งแท่ง เขาใช้ปากกาวาดเค้าโครงแผนผังเมืองหยินลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว

ซึ่งคล้ายๆ รูปแผนผังแปดทิศ!

ความจริงเมื่อก่อนเขาไม่ได้สนใจมันมากนัก เมืองที่มีการวางผังเมืองแบบนี้ก็เยอะ แผนผังแปดทิศไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโสอะไร หากจะมองเป็นรูปทรงกลมก็ไม่มีปัญหา

แต่ตั้งแต่หลี่ฮ่าวเห็นรูปแผนผังแปดทิศบนอากาศในวันนั้น…ตอนนี้เขามองไม่เห็น มีเพียงเงาโลหิตเข้าร่างให้เลือดในกายเดือดพล่าน หลี่ฮ่าวถึงเคยเห็นผ่านตาอยู่ครั้งเดียว บางทีอาจจะต้องการฝนสีฟ้าด้วยเขาถึงจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เพราะหลายครั้งหลังจากนั้นมา ต่อให้เขาดูดซับพลังของเงาโลหิตก็ไม่เห็นแผนผังแปดทิศนั่นอีก

แต่ทุกอย่างนี้หลี่ฮ่าวกลับจำมันไว้ในหัวแล้ว

………………………………………………………………………