ตอนที่ 180 วันเริ่มฤดูเก็บเกี่ยวอีกแล้ว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 180 วันเริ่มฤดูเก็บเกี่ยวอีกแล้ว

เสียงเสือคำรามหลายสายดังมาจากป่าข้างหลัง จี้หยวนที่ขขี่เมฆจากมาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่เมฆจะลอยออกไปไกลและตกลงที่อำเภอหนิงอัน

แม้มรรควิถีของเจ้าภูเขาลู่ยังนับไม่ได้ว่าสูงมาก แต่ตำแหน่งในทางหมากของจี้หยวนไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน กระนั้นคงไม่เป็นการดีหากมอบวิชาฝึกตนของสัตว์เซียนที่ใกล้เคียงดั้งเดิมให้โดยตรง เพราะนี่กลับส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของปีศาจฝึกตนที่ยากนักจะได้มา และส่งผลกระทบถึงความดั้งเดิมของหมากดำในทางปีศาจได้ง่ายดาย

ถึงอย่างไรเสียตำแหน่งของเจ้าภูเขาลู่ในทางหมากก็จัดอยู่ในเผ่าปีศาจ เขาเคยมีความมั่นใจอยู่สามส่วนว่าเจ้าภูเขาลู่มีศักยภาพที่จะเป็นปีศาจที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นหลังจากคืนนี้ไปจะเป็นเจ็ดส่วนแล้ว

บนแท่นจันทร์ในคืนนี้ จี้หยวนอธิบายด้วยใจและละเอียดมากพอแล้ว เหมือนกับที่เจ้าภูเขาลู่เชื่อเขา จี้หยวนเองก็เชื่อในเสือร้ายที่ไม่ธรรมดาตัวนี้เช่นกัน

คืนนี้ส่วนลึกบนเขาโคเทพมีเสียงเสือคำรามอย่างต่อเนื่อง นกทุกตัวในป่าพากันแตกรัง อืม หูอวิ๋นก็หนีไปเช่นกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ มันยิ่งไม่กล้าอยู่ข้างกายเจ้าภูเขาลู่เข้าไปใหญ่

สิ่งเดียวที่จิ้งจอกแดงเหนือกว่าเจ้าภูเขาลู่คือวิ่งลงจากเขาโคเทพ เข้าไปหลบในอำเภอหนิงอันได้ ตอนนี้ที่นั่นสบายกว่าบนภูเขา หูอวิ๋นไม่อยากอยู่แม้แต่คืนเดียว จึงหนีไปในคืนนั้นเอง

จนกระทั่งฟ้าใกล้สาง ภูเสือที่ความเบิกบานใจยังไม่หดหายหยุดลงแล้ว ตอนนี้จิตวิญญาณของเจ้าภูเขาลู่ผ่องใส ทุกคำพูดของจี้หยวนเมื่อคืนชัดเจนหาใดเปรียบ

แม้เมื่อคืนอาจารย์ไม่ได้มอบวิชาฝึกตนวิเศษอะไรให้โดยตรง แต่กลับชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงอุปสรรคสำคัญบนเส้นทางแห่งการแปลงกาย และแม้กระทั่งเส้นทางแห่งการฝึกตนในอนาคต ที่สำคัญที่สุดคือชี้ทาง ‘มรรค’ ที่แท้จริงให้ ความรู้สึกคาดหวังหนาหนักนี้ชัดเจนมากแล้ว

‘อาจารย์คาดหวังในตัวข้า ข้าต้องฝ่าด่านมรรคของตนเงอ เมื่อข้าใช้ฐานะศิษย์ของจี้หยวนได้แล้ว ข้าจะไม่มีทางทำให้ชื่อเสียงของอาจารย์มัวหมองอย่างแน่นอน!’

ด้วยความเชื่อมั่นนี้ เจ้าภูเขาลู่ไม่ได้กลับไปที่ถ้ำเดิมของตนเองอีก แต่กระโจนไปยังส่วนอื่นในป่าแทน

ถ้ำนั้นไม่เหมาะให้ฝึกตนเงียบๆ อีกต่อไป มันต้องเปลี่ยนใช้สถานที่ที่สว่างมากกว่าเดิม และตำแหน่งต้องอยู่ใกล้กับภูเขาหินนั้นสักหน่อย

เจ้าภูเขาลู่ตัดสินแล้วว่าจะฝึกตนบนแท่นจันทร์เมื่อพระจันทร์ขึ้นสูง ตั้งแต่คืนที่ได้ฟังมรรค ภูเขาหินนี้มีความหมายที่ต่างออกไปสำหรับมันแล้ว

แต่ผ่านคืนนี้ที่ร่วมฟังมรรคด้วยกัน แม้อาจารย์น่าจะไม่ได้รับปากจิ้งจอกตัวนั้นเป็นศิษย์ แต่อย่างไรเสียมิตรภาพส่วนหนึ่งก็ยังคงอยู่ ทำให้เจ้าภูเขาลู่และจิ้งจอกแดงเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกันขึ้น

ทว่าจิ้งจอกตัวนั้นโง่เขลาเกินไป ตัวอยู่ท่ามกลางโชคแต่ไม่รู้สึกถึงโชค เจ้าภูเขาลู่ตัดสินใจว่าหลังจากนี้หากมีโอกาสจะต้องกระตุ้นจิ้งจอกน้อยตัวนี้สักหน่อย จะได้ไม่นับว่าได้รับวาสนานี้โดยไร้ประโยชน์

หูอวิ๋นกลับไปที่อำเภอหนิงอันแล้ว นอนหลับอยู่ข้างๆ อิ๋นชิง

ตอนที่เจ้าภูเขาลู่เกิดความคิดกระตุ้นจิ้งจอกแดง หูอวิ๋นพลันตัวสั่นขนตั้งชัน ตกใจตื่นมองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ พอพบว่าตนเองอยู่ในห้องนอนตระกูลอิ๋นก็ถอนใจโล่งอกยกใหญ่

เมื่อครู่หูอวิ๋นฝันว่าตนเองยังอยู่ในถ้ำบนเขาโคเทพ เจ้าภูเขาลู่กำลังอ้าปากกระหายเลือดคำรามใส่มัน

ชีวิตที่เรือนสันติค่อนข้างเงียบสงบ จี้หยวนกลับไปทำตามกิจวัตรเดิมตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ขณะเดียวกันก็ฝึกวิชามองดาราชมจันทร์ไม่มีว่างเว้น

อิ๋นชิงเป็นนักเรียนอายุมากที่สุดในสำนักศึกษาแล้ว หลายครั้งได้ช่วยอาจารย์ทำงานใหญ่ ด้วยผลการเรียนของตนเองไม่เป็นที่น่าเป็นห่วง เดิมทีไม่นานก็ต้องออกจากอำเภอหนิงอันไปเรียนในสำนักศึกษาเมตตาที่อำเภอชุยฮุ่ย แต่พอจี้หยวนกลับมา เขาก็ลังเลไม่อยากไปอยู่บ้างแล้ว

จี้หยวนไม่อยากบังคับเขา จึงให้อิ๋นชิงเขียนจดหมายส่งไปที่รัฐหวั่น ให้พ่อแม่ตระกูลอิ๋นตัดสินใจ

เดาได้เลยว่าเนื้อหาในจดหมายตอบกลับจะต้องให้อิ๋นชิงรีบไปเรียนที่สำนักศึกษา แต่จดหมายเดินทางไปกลับระหว่างสองรัฐใช้เวลาประมาณสองสามเดือน นับว่ามอบเวลาผ่อนคลายให้อิ๋นชิง

วันนี้สำนักศึกษาหยุดการเรียนการสอน อิ๋นชิงนั่งอ่านตำราอยู่ในเรือนสันติ จิ้งจอกแดงหมอบอ่านตำราเล่มเดียวกับเขาอยู่บนโต๊ะหินเช่นกัน บางครั้งท่องท่อนหนึ่งเสียงดังฟังชัด หากมีใครเห็นเขาจะต้องรู้สึกว่าภาพนี้น่าสนใจ หรือไม่ก็ตกใจจนตัวสั่น

ส่วนจี้หยวนนั่งอ่าน ‘วาทมรรคหมาก’ อยู่อีกด้านหนึ่ง ตำราด้านมรรคหมากนี้เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันเป็นคนมอบให้ การวินิจยุทธ์สลักอยู่บนท่อนไม้ไผ่ สะดวกให้จี้หยวนคลำตัวอักษรอ่าน

ท้องฟ้ามีเมฆดำกระจายตัวอยู่โดยไม่รู้ตัว เสียงฟังร้องดังครืนดังขึ้นแต่ไกลอยู่เรื่อยๆ อิ๋นชิงและหูอวิ๋นทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงอ่านตำราอย่างตั้งใจ

ทว่าจี้หยวนวางแผ่นไม้ไผ่ลง เดินไปมองเมฆบนท้องฟ้าจากใต้ร่มเงาของต้นพุทรา สูดกลิ่นไอน้ำที่ตลบอบอวลอยู่ในอากาศ

“จริงด้วย ถึงวันก่อนวันเริ่มฤดูเก็บเกี่ยว อีกเดี๋ยวฝนน่าจะตกแล้ว อิ๋นชิง กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าเถอะ”

“ท่านจี้ วันนี้ข้าไม่ได้ตากผ้าไว้!”

อิ๋นชิงยิ้มให้จี้หยวน จากนั้นอ่านตำรากับหูอวิ๋นต่อไป

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรย้ายที่ อีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว ไปอ่านในเรือนดีกว่า”

จี้หยวนพูดพลางเก็บแผ่นไม้ไผ่อีกสองแผ่นบนโต๊ะ แล้วเดินไปย้ายเก้าอี้จากในเรือนมานั่งที่หน้าประตู หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกข้างนอกยังคงตั้งใจอ่านตำรา

ไม่นานนักน้ำฝนหยดแรกก็ตกลงสู่พื้น จากนั้นยิ่งมายิ่งเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นฝนห่าใหญ่ในที่สุด

เสียงร้องวุ่นวายของชาวบ้านข้างนอกท่ามกลางฝนตกดังขึ้น มักมีคนบุ่มบ่ามไม่ดูท้องฟ้า สุดท้ายต้องมาเร่งรีบเวลาฝนตกลงมาแล้ว

“ไอ้หยา! หลบฝนเร็ว!”

“จู่ๆ ฝนก็ตกเสียได้!”

“วิ่งเร็วๆ!”

“ไปเก็บเสื้อผ้าก่อนไป!”

ทว่าสำหรับชาวบ้านส่วนใหญ่แล้ว ฝนนี้เป็นความสุขอย่างหนึ่ง เพราะฝนตกลงมาเติมน้ำในคู ทำให้มีแหล่งน้ำขณะทำนาเพียงพอ เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่สำหรับอำเภอหนิงอัน รวมถึงทั้งรัฐจีเองด้วย

ซ่า

น้ำฝนตกใส่หลังคา ตกใส่ลานบ้าน ตกใส่กิ่งก้านของต้นพุทรา ทุกอย่างโดยรอบเกิดเป็นภาพงดงามอันรวมการเคลื่อนไหวและความนิ่งสงบในห้วงสมองของจี้หยวน

เห็นท่าทางหลับตาซึมซับฝนตกสู่พื้นดินของจี้หยวน อิ๋นชิงและหูอวิ๋นไม่ได้อ่านตำราต่ออีก กลับย้ายเก้าอี้ไปนั่งลงที่หน้าประตู ส่วนจิ้งจอกแดงนั่งสะบัดหางอยู่บนพื้นข้างๆ อิ๋นชิง

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฝนเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว จี้หยวนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวออกจากประตูไปยืนอยู่ใต้ชายคาเรือน

ประตูเรือนแง้มเอาไว้ ตอนนี้ฝนยังไม่หยุดตก ทางนั้นมีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆๆ สามครั้ง

“เชิญท่านอิงเข้ามา!”

“ฮ่าๆ รบกวนแล้ว!”

มังกรเฒ่าอิงหงเปิดประตูเรือนเข้ามา ฝนตกใส่เสื้อผ้าบนตัวจนชุ่ม ทว่าเขากลับไม่ยี่หระ ประสานมือคารวะจี้หยวน

เมื่อมังกรเฒ่าเดินมาถึงข้างโต๊ะหินหน้าเรือน ฝนหยุดตกแล้ว

กิ่งไม้ใบไม้บนต้นพุทรากลางลานส่งเสียงซ่าๆ เพราะตื่นตกใจก่อนจะกลับคืนสาสภาพปกติ ส่วนอิ๋นชิงยืนอึ้งงัน

“ท่านคือ…ผู้ที่กินผลพุทราทีเดียวครึ่งต้น แถมยังมอมสุราบิดาข้า!”

อิ๋นชิงความจำดีเหนือใคร ด้วยจำได้แม่นและเสื้อผ้าของมังกรเฒ่ายังคงเหมือนกับเมื่อปีนั้น เพียงเห็นครั้งเดียวจึงจำได้ในทันที

“ฮ่าๆๆ บังเอิญยิ่งนัก!”

มังกรเฒ่ายิ้มพลางลูบเคราและพยักหน้า ฝ่ายจี้หยวนหันไปมองอิ๋นชิงและหูอวิ๋น

“พวกเจ้าทั้งสองกลับไปเถอะ ข้ากับผู้อาวุโสมีธุระต้องคุยกัน”

ท่านจี้พูดเช่นนี้แสดงว่ามีธุระจริงๆ หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกแทบจะตอบรับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

“อ้อ…”

จากนั้นพวกเขาก็เขย่งเท้าวิ่งออกจากลานเล็กไป

คราวนี้จี้หยวนเดินเข้าไปในลาน สะบัดแขนเสื้อกวาดน้ำฝนบนเก้าอี้ตรงโต๊ะหิน แล้วผายมือเชิญอีกฝ่าย

“ท่านอิงเชิญนั่ง!”

“ได้ เชิญท่านจี้ด้วย!”

ทั้งสองคนนั่งลง ฝ่ายมังกรเฒ่าเริ่มยิ้มเย้า

“เห็นทีจิ้งจอกแดงตัวนี้ก็คือตัวที่ท่านจี้เคยช่วยเอาไว้เมื่อตอนนั้นกระมัง น่าสนใจดีทีเดียว ส่วนเด็กหนุ่มตระกูลอิ๋นผู้นั้นมีจิตวิญญาณเช่นกัน ท่านจี้ไม่คิดจะอบรมสั่งสอนสักหน่อยหรือ”

“ข้ากำลังอบรมสั่งสอนเขาอยู่ ทว่าไม่ใช่การฝึกตนฝึกเซียน บุตรบิดาตระกูลอิ๋นมีปณิธานเพื่อปวงประชา แม้อิ๋นชิงยังอายุน้อยใฝ่เล่น แต่ความจริงแล้วใช่ว่าจิตใจโลเล ถือเป็นคนมีความสามารถ”

มังกรเฒ่าพยักหน้า หรี่ตามองไปทางตระกูลอิ๋น

“ได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้จากท่านจี้ บุตรบิดาตระกูลอิ๋นสมควรเรียกว่า ‘อัจฉริยบุคคล’ แล้ว”

ขณะสนทนากัน จี้หยวนยื่นมือขวาออกมาโบกครั้งหนึ่งฉับพลันนั้นบนต้นไม้ก็มีผลพุทราสีแดงเพลิงหลายลูกตกลงมา ก่อนจะใช้พลังชักนำพวกมันมารวมกันบนโต๊ะหิน

ผลพุทราเรียงรายกันทั้งหมดหกผล มีสีแดงเพลิงลอยขึ้นเลือนราง

“เชิญผู้อาวุโสลิ้มรส อย่ากล่าวโทษที่ข้าคนแซ่จี้ขี้เหนียว พุทราเพลิงนี้นานวันเข้ายิ่งยากหยั่งถึง ยิ่งไม่ธรรมดา ข้ากลับมารอบนี้เก็บได้หลายสิบผลเท่านั้น เก็บได้น้อยลงทุกที”

“เจ้านี่นะ เอาล่ะ ปีนั้นให้ข้าแค่สองผล อย่างไรเสียวันนี้ก็มากกว่าหน่อยแล้ว”

มังกรเฒ่าพูดพลางคว้าพุทราทั้งหมดมาใส่ปาก ส่งเสียงเคียวดังจ้อบแจ้บ แม้แต่เม็ดพุทราก็ไม่คายออกมา

มังกรเฒ่าไม่ใช่มังกรขี้เหนียว คนแซ่จี้เองก็ใจกว้างไม่น้อย อย่ามองว่าผลพุทราน้อย พวกมันล้วนเป็นพุทราเพลิงแรกสุด ทั้งหมดมีเพียงสิบกิ่ง ตอนนี้มีแค่สี่กิ่งแล้ว

“ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสท่องเที่ยวไปทั่ว มีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่”

สิ่งที่จี้หยวนถามถึง มังกรเฒ่ารู้แจ้งอยู่แล้ว

“เล่ากันว่ามุมทางใต้ของเกาะเมฆาบูรพามีปราณมากทั้งซ่อนวาสนา อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ผู้แสวงหาวาสนาล้วนนับว่าประพฤติดี ส่วนใหญ่มีทีท่ารอดู ไม่อยากรบกวนโลก”

“ที่น่าสนใจคือหลังจากปีศาจแม้หนีไป ไม่รู้ว่าต้องการตอบสนองการดำรงอยู่อื่นหรือไม่ จึงจงใจปล่อยข่าวว่าภายในต้าเจินดูเงียบสงบ แต่ความจริงแล้วเต็มไปด้วยอันตราย…”

มังกรเฒ่าหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ดังนั้นผู้ฝึกตนบนเขาล้อมหยกคล้ายกับนั่งไม่ติดที่ ส่งคนไปยังหอความลับสวรรค์เพื่อขอความช่วยเหลือ เล่ากันว่าระหว่างนั้นไม่รู้ว่าปะทะกับมารนอกรีตฝ่ายใด หึ ข้าผู้ชรารู้สึกว่าแปดส่วนเกี่ยวข้องกับมารแท้ ถึงอย่างไรโทสะยังไม่หมดไป อีกทั้งเป็นพื้นที่รกร้างทางใต้อีก”

ดวงตาสีเทาของจี้หยวนไร้ระลอกคลื่น ทว่าในใจเกิดความคิดมากมาย

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว หอความลับสวรรค์ไม่ใช่ว่าปิดตายแล้วหรือ”

“จวนเซียนอย่างพวกเขามีพวกพ้องอยู่บ้าง แม้เขาล้อมหยกจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ถึงอย่างไรก็ตั้งอยู่ตรงกลางของเรื่องในครั้งนี้ หอความลับสวรรค์ไม่อาจหันหลังให้”