ตอนที่ 192 วิชาปัจจุบัน วิชาโบราณ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 192 วิชาปัจจุบัน วิชาโบราณ

ร่างวิญญาณของฉินจื่อโจวเปลี่ยนแปลง ผู้ที่รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งที่สุดคือสี่คนที่ล้อมรอบร่างวิญญาณอยู่ ตัวฉินจื่อโจวกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากขนาดนั้น เพียงรู้สึกว่าเปลี่ยนเย็นเยือกเป็นอบอุ่น ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ารอบกายสดชื่นขึ้นไม่น้อย

ระหว่างขั้นตอนนี้ เนื่องจากมังกรเฒ่าลงมือด้วยตนเอง ดังนั้นเทพแม่น้ำทั้งสองเพียงโบกมือใช้เคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเกิดแรงปรารถนากำยานแล้วไม่จำเป็นต้องสนใจน้ำพุวิญญาณหยินต่ออีก

ฝ่ายจี้หยวนหลังจากใช้เสียงบัญชาชักนำร่างฉินจื่อโจวให้เปลี่ยนแปลง ปากหยุดบัญชาเล็กน้อยถึงพูดต่อ

“แสงนภาไม่เจิดจ้า ความเย็นไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายเปลี่ยนแปลง อีกทั้งมีร่างจริง พื้นดินไม่อาจผูกมัด ผืนฟ้าไร้ขีดจำกัด หล่อเลี้ยงมรรคจิตวิญญาณด้วยตนเอง แตกฉานมรรคเทพด้วยตนเอง!”

ทุกพยางค์ที่เปล่งออกมาล้วนมีปราณโลกาสวรรค์ปรากฏรวมตัวกันเป็นยันต์ ทุกตัวอักษรเหนือศีรษะฉินจื่อโจวส่องแสงสีทอง จากนั้นค่อยกรอกเข้าสู่ในกายฉินจื่อโจวทีละตัว

มังกรเฒ่าตื่นตะลึงอยู่บ้าง ปราณโลกาสวรรค์เหล่านี้เหมือนกับแสงแห่งบุญอยู่บ้าง พูดตามตรงแล้วนอกจากไป๋ฉีที่รับรู้ถึงได้ด้วยตนเองครั้งหนึ่งแล้ว เพียงใช้ตาเปล่ามองและมองมรรควิชาจำนวนหนึ่งออก ขณะนี้มีเพียงมังกรเฒ่าเพียงผู้เดียว กลุ่มภูตผีอื่นล้วนคิดว่านี่คือแสงธรรมที่ส่องสว่างขณะจี้หยวนสำแดงวิชาทั้งสิ้น

‘ตอนนี้มีคนแสดงแสงแห่งบุญออกมาได้ด้วยหรือ เป็นเซียนทำเรื่องพรรค์นี้ได้จริงหรือนี่ ข้าไม่รู้ได้อย่างไร แล้ว…’

มังกรเฒ่าตื่นตะลึงและหวั่นเกรงเช่นเดียวกับไป๋ฉีในตอนนั้น สำแดงปราณโลกาสวรรค์เปลี่ยนผันมันเป็นวิชา ความสารถนี้เหมือนกับเทพท่องโลก ล้วนมีแต่ในตำนานเท่านั้น

จำได้ว่าหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดตนเองในครั้งนั้น ไป๋ฉีได้ฟังคำเยินยอของจี้หยวนแล้วจากไปพร้อมความเบิกบานใจ ตอนนั้นสิ่งที่มังกรเจียวขาวพูดสองแส่สองง่าม ตอนนี้กลับเข้าใจอยู่บ้างแล้ว มิน่าเล่าจี้หยวนพูดคำเดียวก็เรียกไป๋ฉีมาเข้าร่วมเรื่องใหญ่อันเกี่ยวพันกับมรรคเทพได้แล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มังกรเฒ่ามองฉินจื่อโจวตรงหน้า หรี่ตาลง ความคิดในใจล่องลอยไปไกลอย่างอดไม่ได้

‘เทพท่องโลก…’

อีกด้านหนึ่ง หลังจากบัญชาสวรรค์ที่เปล่งตัวอักษรออกมามากมายในคราวเดียว จี้หยวนยืนอยู่ตรงนั้น แม้พยายามโคจรปราณห้าธาตุในกายและกำจัดความรู้สึกเวียนศีรษะที่เกิดขึ้น กระนั้นก็เหนื่อยล้ามากอย่างเห็นได้ชัด

โชคดีที่มรรควิถีของเขาในตอนนี้เทียบกับในอดีตไม่ได้ ภายใต้การฝึกปราณรุดหน้าอย่างน้อยไม่ได้ขายหน้าจนเกินไป หากเขาฝืนทำเช่นนี้เมื่อหลายปีก่อน เกรงว่าจะต้องล้มพับแน่นิ่งอยู่กับที่แน่

คนอื่นไม่อาจสังเกตเห็น ทว่ามังกรเฒ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงมีกะใจสนอกสนใจเขากำลังมุ่นคิ้วเป็นปม กล่าวในใจว่าเทพท่องโลกบนโลกนี้ยากนักจะฝึกสำเร็จได้ ทว่าผู้ที่สั่งสมพลังเดินบนเส้นทางนี้ได้ กลับทำให้จี้หยวนเหนื่อยอ่อนจนยากจะปกปิดเสียอย่างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นจี้หยวนอยู่ในสภาพนี้

ประมาณหนึ่งก้านธูปผ่านไป แสงทั่วทั้งพื้นที่คุกกรมลงทัณฑ์ค่อยๆ อ่อนลง พูดให้ชัดเจนคือกำลังถูกดูดเข้าไปในกายฉินจื่อโจวอย่างช้าๆ ฉินจื่อโจวในตอนนี้ไม่นับว่าเป็นร่างวิญญาณแล้ว เมื่อรัศมีแสงทั้งหมดหลอมละลาย ร่างของเขาก็เริ่มส่องสว่างขึ้นระหว่างขั้นตอนเปลี่ยนหยินเป็นหยาง เปลี่ยนมายาเป็นจริง

จนสุดท้ายทั่วทั้งพื้นที่คุกกรมลงทัณฑ์กลับคืนสู่ความหนาวเย็นก่อนหน้านี้ มีเพียงฉินจื่อโจวที่กายส่องแสงเรืองรอง ราวกับว่ารอบข้างตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้แต่ภายในศีรษะล้วนส่องแสงสว่างไสวทว่าไม่จ้าตา

เทพแม่น้ำทั้งสองยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ กำลังปรับมรรคเทพและลมปราณให้กลับสู่ปกติ เมื่อครู่เสียพลังมากเกินไป ชักนำถึงแก่นของมรรคเทพ โชคดีที่เทพหลักสองคนล้วนไม่ได้ใช้มรรคเทพเป็นหลัก จึงไม่ถึงกับเดือดร้อนรากฐานการฝึกปราณ

“นี่คือร่างทอง?”

“ไม่เหมือน!”

“หรือจะเป็นกายเนื้อ เขากลับมามีชีวิตหรือนี่”

“นั่นก็ไม่ค่อยเหมือนอีก…”

“ร่างเทพท่องโลกสำเร็จแล้วหรือ” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

“ไม่เร็วปานนั้นกระมัง ท่านเซียนจี้บอกว่าต้องเริ่มฝึกใหม่ไม่ใช่รึ!”

“รูปลักษณ์เปลี่ยนไปบ้างด้วย!”

เวลานี้ดูเหมือนการใช้วิชาสิ้นสุด จากเสียงวิพากษ์วิจาณ์ของภูตผีข้างนอกกลับหาข้อสรุปไม่ได้ เมื่อครู่แสงเรืองรองของฉินจื่อโจวยังคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเค้าลางของแสงเทพ ตอนนี้กลับเหมือนคนเป็นคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเห็นฉากเมื่อครู่กับตาตนเอง เกรงว่าแม้แต่เทพหลักเมืองล้วนคิดว่ามีคนเป็นเข้ามาในศาลมืดแล้ว

นอกจากนี้ผมสีดอกเลา เคราแพะสั้นกุด และใบหน้าผอมแห้งแต่เดิม บัดนี้ผมกลับจัดทรงเรียบร้อย อีกทั้งเป็นสีขาวเฉกเช่นเดียวกับเครายาวถึงหน้าอก ใบหน้าเกิดเลือดฝาดอิ่มเอิบ คิ้วยาวคู่หนึ่งยิ่งยืดมาถึงหางตา

ตลอดกระบวนการฉินจื่อโจวไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร อย่างมากเกิดความรู้สึกว่าอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้รู้สึกต่างออกไปแล้ว ประสาทสัมผัสของร่างกายไม่ได้เชื่องช้าเหมือนร่างผีหลังจากตายอีก ความหนาวเหน็บของคุกศาลมืด ไอน้ำโดยรอบ ไปจนถึงแสงเทพจางๆ ล้วนสัมผัสได้ทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงแบบนี้เหมือนจะไม่ชัดเจน แต่กลับมองเห็นได้จากจุดที่เล็กน้อยที่สุด

ฉินจื่อโจวลุกขึ้นยืนมองตนเอง ยื่นมือสัมผัสแขนแล้วรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ถึงขนาดอาศัยความสามารถของผู้เป็นหมอรับรู้ถึงชีพจรได้โดยตรง

จี้หยวนปรับลมปราณ สติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับคืน มองท่าทางตื่นเต้นแปลกใจและงุนงงของฉินจื่อโจว จากนั้นประสานมือคารวะเขา

“ยินดีกับสหายฉิน ร่างวิญญาณสำเร็จแล้ว!”

มังกรเฒ่าเดินไปข้างๆ ประสานมือคารวะอย่างหาได้ยากเช่นกัน

“ยินดีกับสหายฉิน!”

แม้ฉินจื่อโจวยังไม่มีมรรควิถีอะไรโดยสิ้นเชิง ทว่าเทพท่องโลกยากนักจะพบเห็น แม้ฉินจื่อโจวในตอนนี้ต้องฝึกปราณตั้งแต่แรกเริ่มก็ทำให้มังกรเฒ่าต้องมองด้วยความเคารพแล้ว

ฉินจื่อโจวรีบประสานมือคารวะทั้งสองคนกลับไป

“ขอบคุณท่านเซียน! ขอบคุณประมุขมังกร!”

จากนั้นฉินจื่อโจวค่อยโค้งคำนับขอบคุณไป๋ฉีและอิงรั่วหลีที่ปรับพลังลมปราณเสร็จสิ้นแล้ว

“ขอบคุณท่านเทพแม่น้ำ ขอบคุณเทพีแม่น้ำ!”

หลังขอบคุณทั้งสองคนนี้เสร็จ ฉินจื่อโจวหมุนกายไปหาภูตผีทั้งหลาย

“ขอบคุณใต้เท้าเทพหลักเมือง ขอบคุณใต้เท้ากรมต่างๆ ขอบคุณเจ้าที่ ขอบคุณยมทูตดำทุกท่าน!”

“โอ้โห มิกล้าๆ!”

“ท่านฉินไม่ต้องมากพิธี!”

“พวกข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย!”

“ยินดีกับท่านฉินด้วย!”

“ยินดีด้วยท่านฉิน!”

ภูตผีมากมายในศาลมืดพากันคารวะกลับ ฉินจื่อโจวผู้นี้ไม่ใช่วิญญาณในศาลมืดอีกต่อไปแล้ว

จนกระทั่งวันที่เจ็ดของฉินจื่อโจว การกลับบ้านหลังตายแล้วเจ็ดวันนี้ต่างกับวิญญาณตนอื่น ไม่ได้มียมทูตดำร่วมเดินทาง มีเพียงฉินจื่อโจวกลับบ้านตามลำพัง

แม้ยังไม่นับว่าเข้าสู่การฝึกปราณอย่างเป็นทางการ ทว่าฉินจื่อโจวหลังจากเกิดใหม่แล้วมีพลังเหนือธรรมชาติ เห็นสิ่งที่มนุษย์ไม่เห็นเฉกเช่นเทพเป็นเพียงพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ก็ทำเป็น

เย็นวันนั้น ตระกูลฉินเตรียมอาหารมากมายให้ฉินจื่อโจวเต็มโต๊ะ ทว่าญาติทุกคนล้วนนอนหลับอยู่บนเตียง แม้นอนไม่หลับก็ห่มผ้าขดตัวอยู่บนเตียงอยู่ดี

ความจริงแล้วในประเพณีชาวบ้าน มีเพียงผู้ถูกกำหนดไว้ว่าพิเศษจำนวนน้อยนิดถึงจำเป็นต้องกลับบ้าน ไม่ใช่ว่าอยู่เฝ้าไม่ได้เลย แต่ให้วิญญาณผู้ตายเห็นญาติร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะตัดใจไม่ได้ คนตระกูลฉินเกรงว่าจะทนไม่ไหว จึงเลียนแบบครอบครัวพวกนั้น หลังจากเซ่นไหว้อาหารแล้วเข้านอนทั้งครอบครัวเสียเลย

ยามจื่อ ฉินจื่อโจวยังคงทำตามความเคยชินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เดินเข้าไปในบ้านจากประตูหน้า ผ่านลานบ้าน เดินไปยังโถงใหญ่อย่างช้าๆ

ตะเกียงน้ำมันหลายดวงส่องสว่างอยู่ในโถงใหญ่

บนโต๊ะแปดเซียนสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัวใหญ่วางไว้ด้วยอาหารอันโอชะ มีปลามีเนื้อมีผักมีมังสวิรัติ อาหารพวกนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเซ่นไหว้ฉินจื่อโจวเท่านั้น ยังเตรียมไว้เผื่อยมทูตดำที่คุ้มกันวิญญาณกลับบ้านด้วย

โบราณว่าไว้ให้ยมทูตกินอิ่มอย่างดีจะไม่มีทางทำให้ผู้ล่วงลับลำบาก อาจได้รับทุบตีลงโทษน้อยลงหน่อย

อาหารที่ฉินจื่อโจวชอบมีอยู่สี่ห้าจาน ถูกวางไว้ตรงกลางทั้งหมด

“อืม มีน้ำใจนัก!”

ฉินจื่อโจวมองเห็นอาหารพิเศษอย่างหนึ่งทันที เต้าหู้นึ่งก้านผักโขม

นี่เป็นอการที่ฉินจื่อโจวชอบมากตอนยังมีชีวิตอยู่ มันเป็นอาหารที่ไม่เหมาะจะขึ้นโต๊ะอาหาร แต่เขาชอบกิน ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ผักโขมทั่วทั้งรัฐจีแก่หมด คนปลูกผักโขมก็ไม่มากเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก้านผักโขมเลย อย่างน้อยอำเภอเต๋อหย่วนน่าจะไม่มี อาหารง่ายๆ จานนี้คนในครอบครัวต้องเสียแรงตามหามามากทีเดียว

เขาหยิบตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คีบเต้าหู้เหล่านั้นกินอย่างระมัดระวัง รสชาติที่เมื่อเข้าปากแล้วละลายหายไป อีกทั้งชวนให้สดชื่นยังคงเรียกน้ำย่อยฉินจื่อโจวได้ดังเดิม

เขาไม่ใช่คนไม่ใช่ผี และไม่ใช่ภูตผีทั่วไป แต่กลับมีร่างจริงกินอาหารเหล่านี้ได้

“จิ๊ๆ…อร่อยจริงๆ แม้ข้ากลายเป็นเช่นนี้แล้ว รสชาติกลับดีกว่าเดิมเสียอย่างนั้นหรือ”

ฉินจื่อโจวหลุดหัวเราะ กินไปถึงความเคยชินระดับหนึ่งแล้วถึงหยุด จากนั้นเดินไปทางห้องหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เพื่อไปดูบุตรของตนเอง ย่อมไม่มีทางมียมทูตห้ามคนอย่างเขา และเขาไม่มีทางอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมจากไปเหมือนวิญญาณที่เพิ่งตายใหม่ๆ

ภรรยาเขาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ตอนอยู่ที่ศาลมืดรู้ว่าอายุขัยหมดสิ้น วิญญาณกลับสวรรค์จางหายไร้ร่องรอย ผู้ที่ยังอยู่บนโลกมีเพียงบุตรชายและศิษย์เหล่านั้น

ทว่าฉินจื่อโจวไม่คิดไปเยี่ยมทุกคน มุ่งหน้าไปที่ห้องของบุตรชายคนรอง

บุตรชายคนรองหลับร่วมเตียงเดียวกับภรรยา หลับสนิทอยู่บนเตียงที่มุมห้อง เมื่อถึงตรงหน้าเตียงบุตรชายก็ได้ยินเสียงหายใจที่ค่อนข้างเป็นจังหวะ

“เฮ้อ เด็กคนนี้นี่นะ หายใจติดขัด เลือดลมไม่คล่องตัว เพราะขาดการฝึกฝนกระมัง ไม่ฟังคำแนะนำข้าเหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด!”

ขณะพึมพำฉินจื่อโจวยื่นมือไปวางเหนือศีรษะบุตรชาย…

ฉินเยี่ยนที่กำลังหลับสนิทฝันแล้ว ตนเองในฝันยังคงเด็กมาก คนที่มองอยู่โดยรอบตัวสูงใหญ่เหลือเกิน ส่วนมือของตนเองเล็กมากเช่นกัน

นี่คือโถงนอกของโถงยาเมตตา ฉินเยี่ยนกำลังตำสมุนไพรกับคนเฝ้าโถงยาหลายคน คนเหล่านี้หน้าตาเหมือนกับในปัจจุบัน ไม่ได้หนุ่มขึ้นและไม่ใช่คนเหล่านั้นเมื่อตอนเขายังเด็ก แต่ฉินเยี่ยนในความฝันไม่ได้รู้สึกห่างเหินเท่าไหร่ ส่วนตรงโต๊ะตัวนั้นเป็นฉินจื่อโจวประจำการอยู่

ทันใดนั้นฉินเยี่ยนรู้สึกว่าแสงสว่างถูกบดบัง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองพบว่าบิดาเข้ามาใกล้แล้ว

“ท่านพ่อ?”

“เยี่ยนเอ๋อร์ พี่ใหญ่เจ้าตายตั้งแต่ยังเยาว์ บัดนี้ตระกูลต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้ามักไม่ฟังคำของพ่อ ทว่าโถงยาเมตตาของตระกูลฉินนี้ หวังว่าเจ้าจะสืบทอดต่อไปอย่างสุดความสามารถ หากหลังจากนี้ลูกหลานในตระกูลไร้ผู้ยินดีเรียนวิชาแพทย์ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ…”

ฉินเยี่ยนมองบิดาที่แสงเงาเลือนรางอยู่บ้าง ก่อนจะร้องรับว่า “อืม”

ข้างเตียงฉินเยี่ยน ฉินจื่อโจวพยักหน้า ยืนขึ้นแล้วเดินออกจากประตู เดินออกจากตระกูลฉิน

ฝ่ายจี้หยวนและมังกรเฒ่าคอยท่าอยู่ข้างนอก

“ท่านฉินไม่ดูอีกหน่อยหรือ”

จี้หยวนยิ้มถาม มังกรเฒ่าหยอกเย้าคำหนึ่งเช่นกัน

“ว่ากันว่าหนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน ไก่สุนัขโดยรอบย่อมได้ดีขึ้นสวรรค์ไปด้วย เจ้าดูต่ออีกหน่อยไม่มีใครพูดอะไรหรอก”

ฉินจื่อโจวโบกมือ

“ไม่ได้ๆ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำ ทว่าลูกหลานย่อมมีโชคชะตาของตนเอง ข้าคนแซ่ฉินไม่อาจเป็นผีเฝ้าตระกูลตลอดไปได้!”

มังกรเฒ่าส่งเสียง “จิ๊ๆ” จากนั้นหมุนกายไปหาจี้หยวน

“ท่านจี้ ตอนนี้เรื่องทางโลกของสหายฉินจบลงแล้ว ท่านควรบอกความตั้งใจของท่านได้แล้วกระมัง”

หลายวันมานี้มังกรเฒ่าถามถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้งมากแล้ว จี้หยวนนึกอยากล้อเล่นจึงไม่พูดอะไร ทำท่าทางมีเลศนัยเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำพูดของมังกรเฒ่า ฉินจื่อโจวก็มองจี้หยวนด้วยความใคร่รู้ระคนคาดหวัง ว่ากันว่าเทพท่องโลกอัศจรรย์นัก ทว่าเขาตอนนี้ไม่มีแม้วิชาฝึกปราณ จะมีก็แต่วิชาแห่งมรรคเทพธรรมดา

การคาดเดาของคัมภีร์นอกรีตค่อนข้างผิดพลาด เป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่งที่จะถูกหลอกโดยร่างวิญญาณเทพหยางแห่งเทพท่องโลก ไม่มีวิชาฝึกปราณใดอย่างแน่นอน

จี้หยวนในตอนนี้กลับยังคงไม่ตอบทนที ทว่าเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า เนิ่นนานให้หลังถึงเอ่ยวาจา

“ข้ามีสถานที่ที่อยากไป อยู่กลางเขาเมฆาของรัฐปิง…”

มังกรเฒ่ามองตามสายตาจี้หยวน มองไปยังดวงดาวก่อนสะท้านใจ

“อารามเขาเมฆา? แผนภาพดวงดาว?”

“ถูกต้อง!”

จี้หยวนคล้ายกับคิดเช่นเดียวกับมังกรเฒ่า เข้าใจกันโดยปริยาย

“แม้บอกว่าเทพท่องโลกไม่มีวิชาใดสืบทอดต่อมา ทว่าวิชาที่แท้จริงอย่างไรก็มีอยู่ แม้จะโบราณ แต่ก็ใช่ว่าไม่มีอยู่จนวันนี้!”

มังกรเฒ่าตาเป็นประกาย จากนั้นมองจี้หยวนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“น่าสนใจๆ ทว่า…ท่านจี้พูดเหมือนกับไม่ใช่วิชาโบราณอย่างไรอย่างนั้น”

จี้หยวนถอนสายตากลับจาดวงดาว แล้วมองมังกรเฒ่าอย่างมีลับลมคมใน

“ฮ่าๆๆ…ล้อเล่นๆ!”

มังกรเฒ่าหัวเราะเสียงดัง จากนั้นหันไปมองฉินจื่อโจวที่งุนงงไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม