ตอนที่ 193 หนีพ้นครั้งแรกใช่จะหนีพ้นครั้งที่ห้าสิบ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 193 หนีพ้นครั้งแรกใช่จะหนีพ้นครั้งที่ห้าสิบ

จี้หยวนและมังกรเฒ่ามีบทสนทนาที่คล้ายกับล้อเลียนซึ่งกันและกัน ฉินจื่อโจวฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่จากคำพูดแล้วพอจะเข้าใจได้ว่าผู้อาวุโสแห่งโลกฝึกปราณทั้งสองเตรียมหนทางหลังจากนี้ให้ตนเองแล้ว

มังกรเฒ่าล้อเล่นจบแล้ว หมุนกายไปกล่าวกับฉินจื่อโจว

“สหายฉินต้องมีข้อสงสัยเป็นแน่ อีกเดี๋ยวพวกเราไปรัฐปิงแล้วก็จะรู้เอง”

พูดจบประโยคนี้แล้ว มังกรเฒ่าสำแดงวิชาเหาะเหิน ขี่เมฆชักนำกลุ่มลมพาจี้หยวนและฉินจื่อโจวจากไป

ไก่ขันไปได้สักครู่หนึ่ง เช้าตรู่มาเยือนอำเภอเต๋อหย่วนแล้ว

ฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ คนตระกูลฉินทยอยตื่นขึ้นแล้ว

ความฝันของฉินเยี่ยนดำเนินต่อเนื่องจนฟ้าสว่าง ในฝันเขาตำสมุนไพรห่อยาอยู่ในโถงยาตลอดเวลา ช่วยผู้ดูแลโถงยาจัดการตัวยาหรือย้ายไปตากไว้ที่ลานด้านหลัง ทว่าบิดาพูดกำชับและบอกกล่าวเขาฉินเยี่ยนแล้วจากไป ไม่ได้ปรากฏตัวอีก

ฉินเยี่ยนในฝันคิดว่าบิดาถูกคนเชิญออกจากบ้านไปตรวจอาการผู้ป่วย หรือเตรียมขึ้นเขาเก็บสมุนไพร

“สามี สามี!”

สตรีวัยกลางคนเรียกฉินเยี่ยนอยู่ข้างเตียงหลายเสียง ฉินเยี่ยนตื่นขึ้นโดยพลัน มองไปรอบๆ ที่นี่คือห้องของตนเอง

“สามี ควรตื่นได้แล้ว ต้องเก็บกวาดห้องเซ่นไหว้และต้องไปเปิดร้านด้วย”

“อืม…ได้ ข้าตื่นแล้ว!”

ฉินเยี่ยนตอบอย่างคลุมเครือ ลุกขึ้นพาดเสื้อ สิ่งที่คิดอยู่ในใจกลับเป็นฝันเมื่อคืน ทว่าเขาไม่พูดดีกว่า เพราะที่บ้านเกิดมีคำกล่าวว่า ‘ไม่กินข้าวเช้าก็ห้ามพูดเรื่องฝัน’

อากาศตอนนี้ไม่นับว่าหนาวเท่าไหร่ มักจะตื่นนอนเร็วมาก คนตระกูลฉินมาเก็บอาหารที่วางไว้อยู่ตรงโถงหน้าเมื่อคืนนี้ อาหารจำนวนหนึ่งถูกนำไปต้มโจ๊กกินที่ห้องครัว

“เอ๊ะ! เต้าหู้นี้…หรือว่าเมื่อคืนท่านพ่อมาจริงๆ”

ฉินเยี่ยนเพิ่งเข้าใกล้โถงใหญ่ก็ได้ยินน้องสาวตนเองร้องด้วยความตกใจอยู่ในนั้น จึงเร่งฝีเท้าเข้าไปดูสถานการณ์

“ท่านพี่รีบมาดูเร็ว”

ภรรยาและน้องสาวน่าจะกำลังเตรียมเก็บข้าวของ ฝ่ายน้องสาวอายุหกสิบกว่าตอนนี้ชี้อาหารจานหนึ่งบนโต๊ะ เป็นเต้าหู้นึ่งก้านผักโขมชามนั้น

เต้าหู้นี้ชิ้นหนึ่งถูกตัดออกเป็นสี่ชิ้น ด้านบนวางไว้ด้วยผักโขมแปดท่อน ตอนนี้กลับหายไปชิ้นหนึ่ง เต้าหู้อี้สามชิ้นวางเรียบร้อย ก้านผักโขมสองก้านที่ถูกดูดน้ำจนเกลี้ยงวางอยู่ข้างโต๊ะเช่นกัน

ฉินจื่อโจวชอบกินอาหารจานนี้ แต่ทั่วไปแล้วกินเต้าหู้เพียงชิ้นเดียว ส่วนที่เหลือนั้นเหลือให้ อีกทั้งชอบใช้น้ำแกงราดข้าวหลังจากกินเต้าหูของที่บ้านหมดแล้วด้วย

“นี่…คงไม่มีโจรเข้ามาเมื่อคืนกระมัง”

ภรรยาของฉินเยี่ยนรู้สึกขนลุก พลันพูดขึ้นตามสัญชาตญาณ

“ไม่น่าใช่ หากมีโจรเข้ามาคงไม่มีทางกินเจ้านี่ ทั้งปลาและเนื้อชิ้นใหญ่ข้างๆ น่ากินกว่าอีกไม่ใช่หรือไร อีกอย่างหากมีโจรเข้ามาเมื่อคืนต้องตกใจกลัว ยินดีหนีไปชนิดที่ไม่เอาอะไรไปเลยเป็นแน่”

จากนั้นคนรุ่นลูกหลานของฉินเยี่ยนก็ทยอยกันมาถึง เก็บกวาดโถงใหญ่จนเกลี้ยงในที่สุด

ตอนกินข้าวเช้า ฉินเยี่ยนเล่าความฝันของตนเองให้ทุกคนฟัง คนตระกูลเยี่ยนล้วนคิดว่านี่เป็นการบอกลาของนายท่านฉินก่อนไปศาลมืด

ทว่าความจริงแล้วตอนนี้ฉินจื่อโจวอยู่บนเขาเมฆาที่จังหวัดฉางชวนแห่งรัฐปิงแล้ว เพราะความต่างของเวลา ขณะนี้จี้หยวนและมังกรเฒ่ากำลังชมทิวทัศน์ยามตะวันขึ้นอยู่บนเขาเมฆาด้วยกัน

ทั้งสามยืนอยู่บนเมฆ ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลเมฆกลางเขา แม้จะยืนอยู่บนเมฆหมอก แต่กลับมีความรู้สึกเหยียบย่างคลื่นลูกใหญ่อยู่บ้าง ตอนนี้กำลังมองพระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือหมู่เมฆพร้อมๆ กัน

“นี่เป็นครั้งแรกที่สหายฉินได้มองพระอาทิตย์ขึ้นบนเมฆกระมัง”

มังกรเฒ่ายิ้มถาม

ฉินจื่อโจวตอบตามกลับ

“กลับไม่ใช่ ข้าคนแซ่ฉินเมื่ออายุแปดสิบปีเคยได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไร และเคยไปถึงบนยอดเขาเหล่านั้นเช่นกัน ทิวทัศน์ที่คล้ายกันนี้เคยเห็นอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าหากประมุขมังกรบอกว่ามองพระอาทิตย์ขึ้นอยู่บนเมฆ นั่นเป็นครั้งแรกจริงๆ”

“นั่นน่ะสิ!”

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ กลางอารามเขาเมฆามีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน ทั้งสามคนลอยไปถึงยอดเขาหมอกอำพราง ตอนยืนบนเมฆนั้นมองเห็นนักพรตชิงซงและศิษย์ของเขาตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตา และมองเห็นพวกเขาฝึกหมัดมวยเพื่อรักษาสุขภาพ อีกทั้งเห็นฉีเหวินแบกถังน้ำลงเขาไปตักน้ำ

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเห็นเตียวน้อยสองตัวทำลับๆ ล่อๆ หลบอยู่ในอารามเขาเมฆา ขณะนักพรตชิงซงกำลังฝึกหมัดมวยอยู่ในลานของอารามเต๋า เตียวน้อยทั้งสองลอบมองอยู่ตรงมุมหนึ่งของอารามเต๋า

“หึๆ ท่านจี้ สัตว์สองตัวนี้เหมือนว่าจะเกิดปัญญาแล้วนะ!”

มังกรเฒ่าหยอกเย้า แม้กระทั่งยินดีลงสู่พื้นเพื่อมองฉากนี้ เฉกเช่นเดียวกับลูกนกหรือสัตว์ที่ประทับใจในสิ่งแรกที่ได้เห็น สัตว์ที่มีปัญญาแล้วก็เป็นเช่นเดียวกัน นักพรตทั้งสองแม้ไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนที่แท้จริงของอารามเขาเมฆา ทว่าความคิดบริสุทธิ์ของพวกเขาส่งผลดีต่อเตียวน้อยที่มีปัญญาแล้วเป็นอย่างยิ่ง หลังจากกล่อมเกลานานแล้วจะไม่หลงผิดได้โดยง่าย ความจริงวัดพุทธก็ใช้หลักการที่คล้ายกันนี้เอง

“อืม เตียวน้อยสองตัวนี้ผู้อาวุโสอิงอาจไม่สนใจ ข้าคนแซ่จี้กลับจำได้ ตอนที่ท่านและข้าถกกันเรื่องปลาสดที่อารามเขาเมฆาแห่งนี้ มีเตียวป่าที่นับว่าฉลาดมีไหวพริบแอบฟังอยู่ในพงหญ้าข้างนอกอาราม หมายได้รับผลประโยชน์จนเกิดปัญญา”

“โอ้? มีเรื่องนี้ด้วยหรือ!”

นี่กลับทำให้มังกรเฒ่าสนอกสนใจอย่างอดไม่ได้ เกิดความรู้สึกดีต่อเตียวน้อยทั้งสองโดยจิตใจ้สำนึก ฝ่ายฉินจื่อโจวก็มองเตียวน้อยพลางจุ๊ปากชมเชย

ทว่ามาถึงที่นี่ จี้หยวนประสานมือให้ฉินจื่อโจวอีกครั้ง

“ส่งกันพันลี้ยังต้องจากกัน นักพรตชิงซงนามฉีเซวียนและฉีเหวินศิษย์ของเขาล้วนเป็นคนดี อารามเขาเมฆาก็มีทิวทัศน์สวยสดงดงาม ท่านฉินฝึกปราณอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ระหว่างนี้จำต้องคิดใคร่ครวญให้มาก รอจนผสานวิชายกย่องดาราของอีกฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง ความคิดของเทพท่องโลกต้องผสานเข้ากับวิชาเข้าสำนักเช่นกัน”

เวลานี้นักพรตชิงซงเพิ่งฝึกวิชามวยเสร็จ กำลังสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อรับพลัง สองสามปีมานี้เขารู้สึกว่าตนเองยิ่งมายิ่งมีกำลัง ยามตรวจดวงชะตาให้ผู้อื่นอย่างอดไม่ได้ ความมั่นใจเต็มเปี่ยมไม่น้อยเลย

ก๊อกๆๆ…

“ไม่ทราบว่านอารามมีคนอยู่หรือไม่”

ประตูลานของอารามเต๋าถูกเคาะ เสียงถามไถ่ที่แม้จะชรามากอย่างชัดเจนทว่าแข็งแกร่งดังขึ้น ถึงประตูลานเพียงแง้มไว้ แต่คนข้างนอกไม่คิดจะเปิดประตูด้วยตนเอง

“มีๆๆ! มีคนอยู่!”

นักพรตชิงซงรีบเร่งฝีเท้าไปเปิดประตูลาน เห็นชายชราสวมชุดสีเทายืนอยู่ข้างนอกคนหนึ่ง

ชายชราผู้นี้หนวดเคราผมเผ้าล้วนเป็นสีขาว ใบหน้าแช่มชื่น ขนคิ้วของเขายาวจนถึงหางตา มองดูแล้วอายุไม่น้อยเป็นแน่ ส่วนอายุเจ็ดสิบ แปดสิบ หรือเก้าสิบนั้นยังไม่แน่ใจ ครั้นเห็นนักพรตชิงซงออกมาก็ประสานมือสอบถามอย่างมีมารยาท

ที่น่าแปลกคือมอบความรู้สึกคุ้นเคยอย่างเข้มข้นให้กับนักพรตชิงซง

“สวัสดี ข้าผู้ชราอยากเป็นนักบวชเต๋าที่อารามเขาเมฆา ไม่ทราบว่านักบวชรับข้าไว้ได้หรือไม่”

เผชิญหน้ากับชายชราที่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นคนรุ่นปู่ของตนเองได้ถามอย่างตรงไปตรงมา นักพรตชิงซงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“เอ่อ…ท่านอาวุโส อายุอานามท่านไม่น่าน้อยแล้ว มาเป็นนักบวชเต๋าหรือ ท่านปีนเขาขึ้นมาลำพังรึ”

นักพรตชิงซงมองข้างหลังของชายชราตามสัญชาตญาณ ทว่าไม่พบคนหนุ่มที่ร่วมเดินทางมาด้วยเลย

“ทำไมหรือ โบราณว่าไว้คนหนุ่มไม่เรียนรู้เต๋า ชราแล้วไม่ฝึกฝนยุทธ์ ข้าผู้ชราตอนนี้ขึ้นเขามาฝึกเต๋าก็สมควรแล้ว! ข้าปีนเขาขึ้นมาขนาดนี้ นักบวชให้ข้าเข้าไปดื่มชาสักหน่อยไม่ได้หรือ”

ฉินจื่อโจวชราทว่ายังฉลาดเฉลียว อย่างไรเสียก็เป็นผู้มีประสบการณ์ยาวนานถึงร้อยปี ถึงระแวดระวังตัวต่อหน้าจี้หยวน มังกรเฒ่า และภูตผีอย่างยากจะเลี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้จักพูด เมื่อต้องพูดขึ้นมาแล้วก็มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง

“อ้อๆ เชิญเข้ามาเถอะ เขิญเข้ามา!”

นักพรตชิงซงตอนนี้ไหนเลยจะกล้ารับชายชราเช่นนี้ไว้ในอาราม บางคนเกินเยียวยารักษาไม่ได้แล้ว แต่ไม่อาจขวางประตูไม่หลีกทางได้ คิดดูแล้วรับรองสักพักหนึ่งค่อยส่งลงเขาก็ได้

พอเชิญเข้ามาในห้องครัวและเทน้ำชาให้แล้ว นักพรตชิงซงถามอย่างเลี่ยงๆ ว่า

“ผู้อาวุโสอายุเท่าไหร่แล้วหรือ บ้านอยู่ที่ใด”

“ข้าขอคิดดูหน่อย ไม่ร้อยปีก็หนึ่งปี เอาเป็นร้อยปีแล้วกัน! ส่วนบ้าน ในเมื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ตามหลักการก็ไม่ควรกล่าวถึงแล้ว!”

ฉินจื่อโจวพูดไปพลาง ดื่มชาไปพลาง คำพูดของเขาทำเอานักพรตชิงซงสำลัก ครั้นคิดโน้มน้าวกลับสะท้านใจเสียอย่างนั้น จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามชายชราและพิจารณาใบหน้าเขาอย่างละเอียด

วินาทีก่อนหน้าเพียงรู้สึกว่าใบหน้าอิ่มเอิบสดใสจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ต่อมายิ่งมองยิ่งเลือนราง แม้กระทั่งลืมเสียสนิทว่าเมื่อครู่มองเห็นอะไร พลันตกอกตกใจ

‘นี่เกรงว่าจะไม่ใช่มนุษย์แล้ว!’

นักพรตชิงซงมักรู้สึกว่าตั้งแต่ตนเองพบกับจี้หยวน อารามเขาเมฆาแห่งนี้ก็พิเศษขึ้นมา จึงถามออกไปตามจิตใต้สำนึก

“ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่ว่ารู้จักท่านจี้กระมัง”

ฉินจื่อโจวเผยรอยยิ้ม วางถ้วยชาลงแล้วประสานมือให้ฉีเซวียน

“ข้าผู้ชรานามว่าฉินจื่อโจว ฟังท่านจี้และประมุขมังกรบอกกล่าว ให้มาฝึกปราณที่อารามเขาเมฆาโดยเฉพาะ เมื่อมีคำพูดนี้แล้ว ไม่ทราบว่านักบวชจะให้ข้าอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”

จิตใต้สำนึกสั่งให้นักพรตชิงซงกลืนน้ำลาย

“หะ…ให้สิ!”

จากนั้นฉีเซวียนพลันดึงสติกลับคืน

“ท่านคือหมอเทวดาฉิน! ไยรูปลักษณ์เปลี่ยนไป…”

หมอเทวดาฉินในความทรงจำเขานั้นมีผมสีดอกเลา ไว้เคราแพะ รูปร่างค่อนไปทางผอม แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว!

ฉินจื่อโจวพยักหน้า เสมองมุมหนึ่งบนประตูห้องครัว อากาศเหนืออารามเขาเมฆา จี้หยวนและมังกรเฒ่าสบตายิ้มให้กัน ก่อนที่จะขี่เมฆจากไปในวินาทีต่อมา

จี้หยวนและมังกรเฒ่าแยกกันระหว่างทาง คนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันออกกลับรัฐจี ส่วนอีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันตกสู่แม่น้ำเทียมฟ้า

ด้วยความเร็วของจี้หยวน เมื่อกลับถึงเรือนสันติเลยยามเที่ยงวันไปแล้ว ถือว่าเป็นวันหยุดเรียนพอดี ทันทีที่ตกบ่ายอิ๋นชิงและหูอวิ๋นฟุบหน้างีบหลับอยู่บนโต๊ะหินกลางลานของเรือนเล็ก

ลมสดชื่นในลานพัดเอาใบต้นพุทราส่งเสียงดังซู่ซ่าอยู่ตลอด

พอจี้หยวนตกลงบนพื้นไม่ได้ส่งเสียงอะไร เดินไปดูข้างโต๊ะพบว่าหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกกำลังหลับปุ๋ย

บนโต๊ะหินวางไว้ด้วยจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนว่า ‘ถึงบุตรชายอิ๋นชิง’ เปิดผนึกออกแล้ว ส่วนอีกฉบับหนึ่งเขียนว่า ‘ถึงท่านจี้’ ยังคงปิดผนึกไว้ดังเดิม

จี้หยวนมองลายมือแล้วก็รู้แจ้ง น่าจะเป็นจดหมายจากสหายสนิทอิ๋นจ้าวเซียน เขายิ้มให้อิ๋นชิงที่กำลังหลับสนิทอย่างอดไม่ได้ ก่อนจพึมพำว่า

“หนีพ้นวันนี้ ทว่าไม่พ้นวันพรุ่ง ต้องไปจังหวัดชุนฮุ่ยแล้วสินะ!”