ตอนที่ 194 น้ำแกงปลาโพรงเงิน

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 194 น้ำแกงปลาโพรงเงิน

ด้วยนิสัยของสหายสนิทไม่ต้องอ่านเนื้อหาจดหมาย จี้หยวนก็เดาได้แล้วว่าข้างในเขียนว่าอะไร

ครั้นเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้นที่เป็นของตนเอง กวาดสายตาอ่านคร่าวๆ แล้ว อีกฝ่ายให้จี้หยวนช่วยเร่งเร้าอิ๋นชิงไปเรียนที่สำนักศึกษาเมตตาดังคาด

จี้หยวนอ่านจดหมายของอิ๋นจ้าวเซียน แค่อ่านสำนวนก็รู้นิสัยเจ้าตัว อาจารย์อิ๋นคู่ควรที่จะเป็นผู้ทำงานราชการมาแล้วหลายปี ลายมือให้ความรู้สึกสง่าผ่าเผยยิ่งกว่าเดิมส่วนหนึ่ง โดดเด่นยิ่งกว่าการคัดลอกลายมือของจี้หยวนก่อนหน้านี้ไม่น้อย มีท่วงทำนองของตนเองแล้ว

ตอนจี้หยวนอ่านจดหมายอย่างละเอียด กระเรียนกระดาษตัวหนึ่งขยับขยุกขยิกในถุงผ้าไหม พยายามออกจากในอกเสื้อของอิ๋นชิง จากนั้นเปิดปากถุงผ้าไหมแล้วลอดศีรษะออกมา ก่อนจะกางปีนบินมาถึงหัวไหล่จี้หยวน

“โอ้ คืบหน้าแล้ว!”

คนนอกไม่แตกฉานวิชาทำให้มองเจตจำนงที่ซ่อนอยู่ในกระเรียนกระดานไม่ออก หากมันไม่บิน ผู้ฝึกปราณมากมายเพียงคิดว่ามันเป็นเพียงนกกระดาษทั่วไป แต่จี้หยวนย่อมมองออกตั้งแรก

จี้หยวนพบว่าปราณวิญญาณบนตัวกระเรียนกระดาษไม่ลดลงกลับเพิ่มขึ้น และนอกจากปราณวิญญาณแล้ว วิชาที่เขาทิ้งไว้บนกระเรียนกระดาษไม่พร่องเลยแม้สักกระผีก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะรออยู่ใต้ต้นพุทราอยู่ตลอดหรือไม่

ตัวกระเรียนกระดาษไม่ได้มีปัญญาอะไร ตอนนี้พูดได้เพียงว่ามีความสามารถในการชักนำปัญญา และกระดาษก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไร กุญแจสำคัญในการเก็บปราณวิญญาณและทำให้กระเรียนกระดาษบินได้อยู่ที่ตัวอักษรที่มองไม่เห็น

สองปีนี้แม้กระเรียนกระดาษตัวนี้จะสะสมปราณวิญญาณด้วยตนเอง แต่กลับไม่เคยปรากฏสถานการณ์ที่ปราณวิญญาณเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

จี้หยวนยื่นมือไปสัมผัสกระเรียนกระดาษครั้งหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรหนึ่งร้อยสิบตัว ตามที่เขาจินตนาการไว้ในตอนแรก ข้อความพิเศษสร้างขึ้นโดยการเชื่อมโยงกันของตัวอักษร

ทว่ายิ่งใช้กระเรียนกระดาษนานวันเข้า เติมเต็มจิตวิญญาณที่ส่งมาจากปราณวิญญาณอยู่เรื่อยๆ ทำให้เส้นทางเช่นนี้เหมือนสายน้ำที่เชื่อมถึงกันโดยไม่ขาดสาย

จี้หยวนเก็บมือกลับ กระเรียนกระดาษบินลงจากหัวไหล่ แล้วเข้าไปในแขนเสื้อของเขาโดยปริยาย

ราวกับการได้ยินอันเฉียบแหลมได้ยินเสียงของจี้หยวน ตอนนี้หูอวิ๋นตื่นแล้ว สั่นหูและเบิกตามอง เห็นจี้หยวนยืนอยู่ข้างโต๊ะหินจริงๆ ในมือถือจดหมายไว้กำลังอ่าน

“ท่านจี้ ท่านกลับมาแล้ว”

จี้หยวนตอบ “อืม!” คำเดียวพลางอ่านจดหมายต่อ

หูอวิ๋นรีบยื่นอุ้งเท้าไปเขี่ยอิ๋นชิงอยู่หลายที เพื่อปลุกเขาให้ตื่นจากฝันกลางวัน

“หือ…เกิดอะไรขึ้นหรือ”

อิ๋นชิงงัวเงียตื่นขึ้น ขยี้ตาก่อนหันหน้ามองตามทิศทางที่อุ้งเท้าจิ้งจอกแดงชี้ไป

“ท่านจี้!”

พอเห็นจดหมายในมือจี้หยวน อิ๋นชิงก็ก้มหน้าลง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าบิดาเขียนอะไรในจดหมาย

“ตื่นแล้วหรือ รู้เรื่องที่บิดาเจ้าให้ไปจังหวัดชุนฮุ่ยแล้วกระมัง”

“รู้แล้ว…”

จี้หยวนพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เตรียมตัวเย็นวันนี้เลย พรุ่งนี้บอกลาอาจารย์ บอกลาสหายสักหน่อยก็ไปจังหวัดชุนฮุ่ยได้แล้ว”

“อืม” อิ๋นชิงตอบรับ มองจิ้งจอกแดงแล้วมองจี้หยวน เซื่องซึมอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด

จี้หยวนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม หมุนกายเดินออกจากลานบ้าน ทิ้งคำพูดหนึ่งลอยตามสายลมไป

“ข้าจะพาหูอวิ๋นไปส่งเจ้าที่จังหวัดชุนฮุ่ยด้วย”

เมื่อจี้หยวนออกไปแล้ว หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกถึงดึงสติกลับมาได้ ต่างฝ่ายต่างส่งเสียงร้องด้วยความยินดี

วันรุ่งขึ้น อิ๋นชิงบอกลาสหายในอำเภอ เพื่อนบ้านใกล้เคียง ญาติในตระกูลและอาจารย์ที่สำนักศึกษาทีละคน จากนั้นสะพายกล่องตำราของตนเอง เก็บเสื้อผ้า เงิน และสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ รวมถึงจิ้งจอกหนึ่ง แล้วเดินทางไปยังจังหวัดชุนฮุ่ยพร้อมกับจี้หยวน

จี้หยวนรู้สึกว่าตนเองถือเป็นผู้อาวุโสของอิ๋นชิง แทนที่จะมอบหมายให้ญาติคนอื่นในตระกูลอิ๋นไปส่งอิ๋นชิงหรือให้อิ๋นชิงเดินทางตามลำพัง ก็ยังมิสู้เขาคนแซ่จี้ไปส่งด้วยตนเอง

ปีนั้นจี้หยวนออกเดินทางใช้สองขาเดิน ครั้งนี้ไปส่งคนนับว่าเกี่ยวข้องกับการศึกษา ย่อมต้องใช้บริการรถม้าคันหนึ่งอยู่แล้ว

ตอนนี้ม่านบนรถม้าเปิดอ้าเต็มที่ อิ๋นชิงนั่งอยู่ข้างพลขับมองทิวทัศน์โดยรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่จี้หยวนได้ออกไปทัศนศึกษากับโรงเรียน มองข้างนอกผ่านกระจกบานใหญ่เมื่อชาติที่แล้วอยู่บ้าง

พลขับแข็งแรงกำยำ ภายนอกดูเหมือนอายุประมาณหกสิบปี แต่ความจริงแล้วอายุเพียงสี่สิบปีต้นๆ เป็นประเภทที่ชาวบ้านเรียกกันว่าโตเร็ว

รถม้าเพิ่งออกไปนอกอำเภอได้ไม่ทันไร พลขับพลันพูดไม่หยุดปาก

“ท่านจี้ เย็นนี่พวกเราจะถึงอำเภอซุ่นเป่า จากนั้นเช้าวันพรุ่งนี้จะไปถึงอำเภอเชียนโจว หากโชคดีหน่อยจะถึงอำเภอจิ่วเต้าโข่วภายในห้าวัน!”

“ดีนัก!”

จี้หยวนตอบเสียงหนึ่ง ก่อนจะอ่านแผ่นหยกในมือต่อไป แน่นอนว่าเป็นเพราะวิชาบังตา พลขับจึงเห็นมันเป็นแผ่นไม้ไผ่ม้วนหนึ่งเท่านั้น

ตอนรู้ว่าจี้หยวนจะเหมารถพาอิ๋นชิงไปด้วย พลขับหลายคนแย่งกันอยากเป็นฝ่ายถูกเลือก จี้หยวนยังพอว่า คนสำคัญคืออิ๋นชิงผู้เป็นบุตรชายของขุนนางอิ๋น แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีหากได้สร้างความสัมพันธ์อันดี แต่หากพูดออกไปตรงๆ ล้วนเพื่อเกียรติยศ

“คุณชายอิ๋น เจ้าดูม้าสีเหลืองข้างหน้าพวกเราสิ อย่ามองว่ามันเป็นแค่ม้าเชียว ความอดทนของมันยอดเยี่ยมไม่หยอก อีกทั้งจดจำเส้นทางได้ เขาคทาทางอำเภอจิ่วเต้าโข่วนั้น หลายปีนี้ข้าไปมาแล้วหลายสิบรอบ ต่อให้งีบหลับบนรถ ม้าตัวนี้ก็พาพวกเราไปที่นั่นเองอยู่ดี!”

“โอ้ นั่นเก่งกาจจริงๆ!”

อิ๋นชิงกล่าวชม ยื่นมือไปข้างหน้าฟาดลงครั้งหนึ่ง แล้วรับหูอวิ๋นที่คิดยื่นกรงเล็บไปเกาก้นม้าสักครั้งกลับมา

“นี่ เมื่อครู่นี้คุณชายอิ๋นฟาดอะไรหรือ ไยข้ารู้สึกว่า…”

เมื่อครู่พลขับเห็นอิ๋นชิงฟาดข้างหน้า คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นมีเงาดำใต้ฝ่ามือผืนหนึ่ง

“อ๋อ ข้าตียุง! ข้าเห็นว่ามียุงจะไปกัดม้า!”

“อืม ยุงช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงดุมาก แต่ม้าเหลืองตัวนี้ของข้าไม่กลัว คุณชายอิ๋นอย่าปล่อยให้เนื้อนุ่มละเอียดของตนเองถูกกัดล่ะ”

อิ๋นชิงถลึงตามองจิ้งจอกแดง หลังจากนั้นมองมือตนเองตามสัญชาตญาณ

เขาไม่ใช่เด็กที่ครอบครัวเลี้ยงปศุสัตว์ ถึงนับว่าได้ทำงานอยู่เรื่อยๆ แต่หลายปีมานี้ผิวพรรณกลับยิ่งละเอียดขึ้น มองดูแล้วรู้สึกว่าไม่เคยได้รับความลำบากอะไรเลยตั้งแต่เล็ก

จี้หยวนเห็นพฤติกรรมของหูอวิ๋น จิ้งจอกแดงตัวนี้จิตใจไม่นิ่ง จะมีความไร้เดียงสาติดกายไม่ใช่เรื่องแย่ กระนั้นปัญญายังไม่แตกฉานแล้วคิดว่าตนเองเก่งกาจไม่มีใครกล้าหือด้วยได้ เขามองแล้วปวดศีรษะนัก

โฮ่งๆๆๆ…โฮ่งๆๆๆ…

ทันใดนั้นมีเสียงสุนัขเห่าดังมาหลายระลอก น่าจะเป็นสุนัขบ้านในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงกับนอกเมือง วิ่งตามกันออกมาเห่าใส่รถม้า

แทบจะในขณะเดียวกับที่สุนัขเห่า หูอวิ๋นพลันกระโดดเข้าไปในตัวรถม้า หลบอยู่ข้างหลังจี้หยวน

พลขับอยู่ข้างนอกสะบัดแส้ม้าไล่สุนัขข้างรถ

“ไปๆๆ…ไสหัวไป ออกไปๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟาดแส้นะ!”

เขาพูดพลางสะบัดแส้อีก ทว่าสุนัขเหล่านั้นก็แค่ตกใจถอยหลังไปไม่กี่ก้าวครู่เดียว ไม่นานก็ล้อมเข้ามาเห่าอีก ติดตามเห่าใส่อีกหนึ่งลี้กว่าได้ในที่สุดก็สงบลง

“มารดาสิ สุนัขพวกนี้วันนี้ร้ายกาจจริง ตามมาไกลขนาดนี้เชียว!”

ตลอดทางหูอวิ๋นหลบอยู่ข้างจี้หยวนไม่กล้าขยับ มันมองจี้หยวนก่อนหลุดหัวเราะอย่างโง่งม ถูกสุนัขกัดหนึ่งครั้ง ต่อให้กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้วก็ยังกลัวอยู่ดี

อิ๋นชิงอยู่ทางนั้นก็กลั้นหัวเราะด้วยความทรมานเช่นกัน

ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก ไม่เจออันตรายจากการหลงทาง จากทางหลวงอำเภอซุ่นเป่าเลี้ยวเข้าอำเภอเชียนโจวโดยตรง จากนั้นผ่านเชียวโจวมุ่งหน้าสู่จิ่วเต้าโข่ว ระหว่างทางหาโรงเตี๊ยมดีๆ ค้างแรมก่อนค่ำได้หลายครั้ง พอเช้าตรู่วันที่หกก็ถึงปากทางขึ้นเขาคทานอกอำเภอจิ่วเต้าโข่วแล้ว

รถม้าส่งถึงตรงนี้ เส้นทางหลังจากนี้ต้องเดินเท้าด้วยตนเอง เดิมทีความจริงแล้วให้รถม้าไปส่งถึงท่าเรือก็ได้ ทว่าจี้หยวนมีธุระเขาคทาเล็กน้อย จึงตัดสินใจให้รถม้าส่งถึงตีนเขาก็พอ

ครั้นจ่ายเงินและบอกลาพลขับแล้ว จี้หยวนถึงพาอิ๋นชิงและหูอวิ๋นขึ้นเขาคทาไป

ทว่าเดินบนเส้นทางค้าขายกลางเขาได้ระยะหนึ่ง อิ๋นชิงพบว่าจี้หยวนพาพวกเขาเดินอ้อมแล้ว ยิ่งเดินยิ่งเข้าไปในป่าลึก กระนั้นเขากลับไม่กลัว เพียงใคร่รู้อยู่บ้าง

“ท่านจี้ พวกเราจะไปท่าเรือไม่ใช่หรือ ขึ้นเขามาทำอะไรกัน”

จี้หยวนหันไปมองอิ๋นชิงและหูอวิ๋นที่หมอบอยู่บนกล่องตำราข้างหลังอิ๋นชิงด้วยท่าทางสนอดสนใจ จึงยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางกล่าว

“บนเขามีบึงน้ำแห่งหนึ่ง ข้าจะไปดูหน่อยว่ามีปลาหรือไม่!”

สองคนหนึ่งจิ้งจอกเดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ผ่านป่าเขาจนกระทั่งถึงบึงน้ำมรกตใจกลางเขาคทา บึงน้ำสีเขียวมรกตล้ำลึกแห่งนี้หูอวิ๋นมองแล้วหวั่นใจอยู่บ้าง

“ท่านจี้ ในนี้จะมีปลาได้หรือ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าจะมีงูตัวใหญ่อะไรทำนองนั้นมากกว่านี้…”

“เห็นด้วยๆ…”

หูอวิ๋นมีท่าทีขลาดกลัวพยักหน้าอยู่บนหลังอิ๋นชิงเช่นกัน

จี้หยวนไม่สนใจทั้งสอง เดินตรงไปอยู่หลายก้าวจนถึงข้างบึงน้ำ ก่อนจะยื่นมือไปคว้ากระบี่เครือเขียวข้างหลัง

วินาทีนี้อิ๋นชิงและหูอวิ๋นตาถลนออกมาโดยตรง เพราะจู่ๆ พวกเขาก็พบว่าบนมือจี้หยวนปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งจริงๆ

หูอวิ๋นยังพอว่า ส่วนอิ๋นชิงแม้พบเห็นความอัศจรรย์ของต้นพุทราอยู่บ้าง อีกทั้งมีจิ้งจอกที่ชัดเจนว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งอยู่ด้วย ทว่าก็เพิ่งจะเห็นจี้หยวนแสดงอภินิหารเหนือคนธรรมดาเช่นนี้เป็นครั้งแรก

จากนั้นพวกเขาเห็นจี้หยวนวางกระบี่ยาวสีเขียวลงบนผิวน้ำ มองไม่เห็นเหมือนกันว่าจี้หยวนทำอะไรอีก กระนั้นหลังจากหลายลมหายใจให้หลัง ปลาโพรงเงินขนาดเล็กตัวหนึ่งก็หงายทองขาวๆ ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ถูกปราณกระบี่ทำให้กลัวอย่างเห็นได้ชัด

“โอ้โห มีจริงๆ ด้วย!”

จี้หยวนยังไม่ทันพูดจบ กลับมีปลาโพรงเงินตัวใหญ่กว่าลอยขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง

“อืม! ยังมีอีกหรือ มาอีกตัวแล้วหรือนี่”

จี้หยวนรออยู่พักหนึ่ง ทว่าไม่เห็นตัวที่สามลอยขึ้นมาแล้ว เห็นทีสองปีนี้ไม่มีคนมาจับปลาโพรงเงินเลยกระมัง

อิ๋นชิงและหูอวิ๋นมองหน้ากัน เท่านี้ก็จับปลาได้แล้วหรือ

จี้หยวนหยิบกิ่งไม้มาจากข้างๆ เขี่ยปลาโพรงเงินสองตัวนี้มาถึงข้างกายแล้วยื่นมือไปคว้าขึ้นมา สัมผัสบนมือทั้งเย็นและลื่น ครีบ ปาก เกล็ด และหางไม่ขาดสิ่งใดสักอย่าง หากเป็นคนธรรมดาต้องคิดว่าเป็นเพียงปลาหายากสองตัวเป็นแน่

เขาไม่มองมากอีก ใช้วิชาให้วงคลื่นน้ำบางๆ พันตัวปลาไว้ จากนั้นหยิบใบบัวแห้งที่เตรียมไว้อย่างดีตั้งแต่เช้าออกมาจากในแขนเสื้อ เพื่อห่อปลาโพรงเงินเอาไว้

“ไปเถอะๆ ไปท่าเรือกันได้แล้ว วันนี้มีน้ำแกงปลาสดให้กินแล้ว!”

บนใบหน้าจี้หยวนเปื้อนยิ้มจนยากจะปิดบัง ซ่อนห่อใบบัวแห้งเรียบร้อยก็เร่งเร้าอิ๋นชิงและหูอวิ๋นให้เดินเร็วหน่อย แม้จะบอกว่าบึงน้ำมรกตเป็นสถานที่ไร้เจ้าของ ทว่าตอนนี้เกิดความรู้สึกเอาเองว่าเหมือนกับแย่งปลาในน้ำแกงของคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น