ตอนที่ 195 มีเทพวารีจริงหรือ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 195 มีเทพวารีจริงหรือ

อิ๋นชิงและหูอวิ๋นแม้ไม่เข้าใจว่าจี้หยวนมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไร แต่รู้ว่าจี้หยวนทำอะไรต้องมีเหตุผลเป็นแน่ เห็นจี้หยวนเร่งก็รีบเดินตามไปทันที

ตอนกลับไปรู้สึกเร็วกว่าขามาเล็กน้อย กลับไปยังเส้นทางขนส่งสินค้าของเขาคทาแล้วมองเห็นรถเทียมวัว เทียมลา และเทียมม้าจำนวนหนึ่ง มีขบวนขนส่งสินค้าสัมภาระหรือนักเดินทางขวักไขว่ คนเดินเท้าอย่างจี้หยวนและอิ๋นชิงย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน

ขณะเดินเท้าอยู่ หูอวิ๋นมองห่อใบบัวในมือจี้หยวนอยู่เรื่อยๆ จำได้ว่าใบบัวแห้งเหล่านี้ได้มาจากตอนซื้อขนมเปี๊ยะในร้านที่อำเภอจิ่วเต้าโข่ว คิดไม่ถึงว่าจะใช้ห่อปลาด้วย จิ้งจอกแดงรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าปลานั่นต้องไม่ธรรมดาแน่

ส่วนอิ๋นชิงนอกจากมองปลาในมือจี้หยวนเป็นครั้วคราว ยังมองข้างหลังจี้หยวนอยู่บ่อยครั้ง เดินไปได้พักหนึ่งเห็นว่าข้างทางไม่มีคนเดินหรือรถม้าพอดี เขาจึงถามจี้หยวนเสียงเบาอย่างอดไม่ได้

“ท่านจี้ กระบี่เล่มนั้นที่ปรากฏบนมือท่านเมื่อครู่ ไยตอนนี้ไม่เห็นแล้วเล่า”

อิ๋นชิงชำเลืองมองห่อผ้าที่จี้หยวนแบกอยู่ ห่อผ้าเล็กขนาดนี้ยัดกระบี่เล่มหนึ่งไม่ได้แน่ รูปทรงก็ไม่ถูกต้องด้วย

“เจ้าหมายถึงกระบี่เครือเขียวสินะ กระบี่นี้ไม่ยอมให้คนอื่นเห็นโดยง่าย จึงซ่อนอยู่ในที่ซึ่งมองไม่เห็นแล้ว”

“อ๋อ…”

คำตอบคลุมเครือเช่นนี้ของจี้หยวนเท่ากับไม่อยากพูดโดยละเอียด อิ๋นชิงทำได้เพียงช่างมันแล้ว

“แต่กระบี่ล้ำค่านั้นงดงามจริงๆ ความรู้สึกเขียวขจีทำให้สดชื่นยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอาวุธวิเศษอย่างแน่นอน ถูกหรือไม่ท่านจี้”

จี้หยวนยิ้มทว่ายังไม่ทันพูดอะไรต่อ

หึ่ง…

เสียงกระบี่สายหนึ่งดังขึ้นรางๆ อิ๋นชิงและหูอวิ๋นรู้สึกหูอื้อขึ้นมาเล็กน้อย สายตามองไปทางซ้ายและขวาอย่างอดไม่ได้ แต่กลับไม่พบต้นตอของความรู้สึกแปลกนี้ มีเพียงเสียงหัวเราะหึๆ ของจี้หยวน อีกทั้งไม่ได้พูดอะไรอีก

เส้นทางขนส่งสินค้าของเขาคทาถูกขุดขึ้นตามภูมิประเทศที่ราบเรียบด้านข้างของภูเขา จะข้ามไปท่าเรืออีกฟากไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมาก

ภายในกล่องตำราของอิ๋นชิงยังคงมีขนมเปี๊ยะและขนมที่ซื้อมาจากอำเภอจิ่วเต้าโข่ว ดังนั้นพวกเขาไม่คิดจะกินอาหารในร้านอาหารบริเวณท่าเรือ ทว่ามุ่งหน้าหาเรือข้ามฟากโดยตรง

ตอนจี้หยวนมายังท่าเรือนี้ในปีนั้นยังเช้าอยู่ ตอนนี้กลับเป็นเวลาที่ท่าเรือยุ่งวุ่นวายพอดี เต็มไปด้วยคนเรือขนถ่ายสินค้าและฝีพายเรียกหาลูกค้า

บรรยากาศของสถานที่เช่นท่าเรือทำให้หูอวิ๋นที่หมอบอยู่บนกล่องตำราเครียดเกร็งอยู่บ้าง โดยเฉพาะคนเรือกล้ามเป็นมัดๆ เหล่านั้นซึ่งกำลังเปลือยไหล่และแผ่นหลังขนกล่องไม้กันเสียงดังตึงตัง มอบความรู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาดแก่จิ้งจอก ด้วยมักจะรู้สึกว่ากล่องไม้นี้จะกระแทกใส่ตนเอง ต้องโทษที่อิ๋นชิงว่างจนไม่มีอะไรทำเล่าเรื่องประหลาดให้ฟัง

จี้หยวนนำทางอิ๋นชิงเดินไปเดินมาอยู่ตรงท่าเรือ อิ๋นชิงรู้สึกว่าจี้หยวนกำลังตามหาอะไรอยู่

“ท่านจี้ ท่านหาอะไรอยู่ใช่หรือไม่”

จี้หยวนเดินวนรอบหนึ่งแล้ว ไม่อาจพบเรือเล็กในปีนั้นได้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าบุตรบิดาฝีพายไม่ทำกิจการแล้ว หรือว่าออกเรือไปจึงไม่เจอพอดี น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

เมื่อเจอกับคำถามของอิ๋นชิง จี้หยวนยิ้ม

“ไม่มีอะไร แค่มองดูไปเรื่อยเปื่อย พวกเจ้าสองคนอยากนั่งเรือใหญ่หรือเรือเล็ก” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

“เรือใหญ่!”

“เรือเล็ก!”

เสียงที่แตกต่างกันดังขึ้น อิ๋นชิงและหูอวิ๋นมีความเห็นไม่ตรงกันอย่างหาได้ยาก อิ๋นชิงอยากนั่งเรือใหญ่ ส่วนหูอวิ๋นอยากนั่งเรือเล็ก

อิ๋นชิงหันหน้าไปมองจิ้งจอกที่กำลังกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ชะงักไปครู่หนึ่งถึงเปลี่ยนคำตอบ

“ท่านจี้ นั่งเรือเล็กดีกว่า คนน้อยสงบเงียบ”

“ได้ เช่นนั้นพวกเรานั่งเรือเล็ก!”

นำทางอิ๋นชิงเดินตรงไปถึงข้างเรือเล็กที่คล้ายกับเรือของบุตรบิดาฝีพายในปีนั้น จี้หยวนทักทายชายร่างกำยำที่ปิดหน้าด้วยหมวกฟางกำลังงีบหลับ

“ฝีพาย เรือนี้ไปจังหวัดชุนฮุ่ยหรือไม่ ฝีพาย…”

เรียกอยู่สองเสียงแล้ว ฝีพายผู้นั้นถึงดึงหมวกฟางออกแล้วลุกขึ้น มองจี้หยวนและอิ๋นชิงที่ยืนอยู่บนท่าเรือ ท่าทางเหมือนบัณฑิตทั้งคู่

“ฝีพาย ไปจังหวัดชุนฮุ่ยหรือไม่”

จี้หยวนถามอีกรอบหนึ่ง

ฝีพายลูบใบหน้าแล้วเกาศีรษะ ตอบคำถามลวกๆ อยู่บ้าง

“เหมาเรือสองตำลึง รอลูกค้ามาร่วมด้วยก็ได้ ทั้งหมดนั่งได้แปดคน”

เห็นเลือดลมรางเลือนทั่วตัวชายหนุ่มซ่อนอยู่ในกาย น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ แต่ราคานี้สูงเกินไปหน่อย จี้หยวนจึงโบกมือ

“สองตำลึง? รัฐจีนี้ไม่มีภัยพิบัติ สินค้าวัตถุดิบครบพร้อม ค่าเรือไม่น่าเพิ่มสูงขนาดนี้ได้กระมัง เหมาเรือสองร้อยเหวินรวมค่าอาหารด้วยเป็นอย่างไร”

ฝีพายยื่นกายไปที่ริมแม่น้ำเพื่อวักล้างหน้า จ้องบนฝั่งเขม็ง

“โอ้ ต่อราคาเก่งจริง เอาอย่างนี้แล้วกัน หากลูกค้าเหมาเรือตอนนี้ก็ออกเดินทางเลย นั่นเป็นเงินสองร้อยเหวิน หากต้องการรอลูกค้ามาร่วมเดินทางด้วย นั่นคิดรวมทั้งหมดสี่ร้อยเหวิน เป็นอย่างไร”

จี้หยวนพยักหน้า

“ได้ เช่นนั้นออกเรือเลยเถอะ พวกข้าเหมาเรือ!”

“เยี่ยม! ลูกค้าตรงไปตรงมา โอ้ คุณชายท่านนี้ช้าก่อน ระวังๆ ข้าจะพาดแผ่นไม้ให้”

ฟังว่าจี้หยวนเต็มใจเหมาเรือ ชายหนุ่มกระตือรือร้นขึ้นไม่น้อย รีบพาดแผ่นไม้อย่างดี เพื่อให้อิ๋นชิงสะดวกก้าวขึ้นเรือ

ตอนอิ๋นชิงสะพายกล่องตำราขึ้นเรือ ฝีพายยื่นมือประคองเขา ทว่าเมื่ออิ๋นชิงเพิ่งก้าวขึ้นเรือเล็กสำเร็จ หูอวิ๋นก็กระโดดจากกล่องตำราลงบนเรือแล้ว

แม้จิ้งจอกแดงน้ำหนักตัวน้อยมาก แต่ครั้นตกลงบนเรือแล้ว ฝีพายผู้นี้ยังคงขมวดคิ้วมุ่น มองไปรอบข้างตามจิตใจสำนึก จากนั้นถึงเรียกให้จี้หยวนขึ้นเรือ

“ฝีพาย เรือลำนี้มีเพียงเจ้าหรือ”

จี้หยวนมองดูบนเรือแล้ว ภายในเรือไม่มีคนอื่นๆ เช่นนี้หมายความว่าไม่มีใครเปลี่ยนกะ

“ฮ่าๆ มีข้าพียงคนเดียว แต่ท่านวางใจเถอะ คนอื่นพายสามวันข้าก็พายสามวัน คนอื่นพายห้าวันข้ากลับพายเร็วกว่าสามวัน ไม่มีทางช้า!”

เขาพูดพลางปลดเชือกจากท่าเรือ ใช้ท่อนไม้ไผ่ยันจนเรือเล็กค่อยๆ ออกจากฝั่งท่าเรือ

“นั่งให้ดีๆ ออกเรือแล้ว!”

ฝีพายหนุ่มเลือดลมพุ่งพล่าน ตอนออกแรงกล้ามเนื้อบนร่างปรากฏชัดเจน เรือเล็กทั้งลำพลันโคลงเคลงไปทางซ้ายและขวาออกจากท่าเรือไป

อิ๋นชิงอยู่บนเรือแล้วศูนย์ถ่วงไม่มั่นคง รีบหาเก้าอี้ในเรือมานั่งอย่างดี แม้แต่จิ้งจอกแดงที่นั่งเรือเป็นครั้งแรกก็หมอบอยู่บนเก้าอี้ อุ้งเท้าหน้ากอดเก้าอี้ไว้

มีเพียงจี้หยวนที่ยืนมองผิวน้ำของแม่น้ำราบรื่นอยู่ตรงหัวเรืออย่างมั่นคง ร่างกายสั่นไหวแต่ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ทำเอาฝีพายที่อยู่ข้างหน้าต้องหรี่ตาพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ลอบคิดในใจว่าตนเองมองผิดไปหรือไม่

ชายหนุ่มผู้นี้ตัวใหญ่กำยำกว่าฝีพายชราเมื่อปีนั้นอย่างชัดเจน ตอนบ่ายถึงจุดตัดระหว่างแม่น้ำราบรื่นและแม่น้ำวสันต์แล้ว

ทว่าเหมือนกับฝีพายในปีนั้น เรือเล็กหยุดอยู่ที่นี่เช่นกัน ชายหนุ่มผู้นั้นเดินจากข้างหลังมาถึงข้างหน้า หยิบคันเบ็ดตกปลาออกจากในตัวเรือ จากนั้นติดสายเอ็นยาวๆ ไว้

“ลูกค้าทั้งสองกรุณารอสักครู่ จุดตัดแม่น้ำนี้ปลาชุมนัก อาหารเย็นวันนี้คงเป็นมันนี่แหละ!”

อิ๋นชิงและหูอวิ๋นล้วนยากปกปิดความใคร่รู้ เดินไปมองดูว่าชายหนุ่มจะตกปลาอย่างไร ส่วนจี้หยวนยืนยิ้มกริ่มอยู่ตรงกาบเรือ

ในอดีตมีเรือน้อยใหญ่จำนวนหนึ่งผ่านมา บ้างก็มีเรือเล็กหยุดอยู่ที่นี่ ทั้งหว่านแหและตั้งคันเบ็ดตกปลา

ฝีพายหนุ่มตั้งอกตั้งใจมองผิวน้ำ มองทะลุแสงอันเกิดจากระลอกคลื่นแล้วพบความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใต้น้ำ หากเป็นมือใหม่อาจแยกแยะความลึกไม่ได้ และอาจไม่รู้ว่าปลาอยู่ตรงไหนเพราะแสงสะท้อน แต่ชัดเจนว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับฝีพายหนุ่มเลย

“ท่านจี้ ไยเขายืนนิ่งไม่ขยับเลย”

“ชู่…ดูให้ดี!”

จี้หยวนเพิ่งพูดจบ ฝีพายหนุ่มพลันขยับตัว กล้ามเนื้อทั่วร่างคล้ายกับแข็งเกร็งขึ้นในวินาทีนี้ ก่อนจะดึงคันเบ็ดขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดในทันที

ซ่า ตูม…

หยดน้ำกระเซ็น ฉมวกยื่นออกไปหนึ่งจั้ง มีเพียงด้ามระยะเท่าหนึ่งฝ่ามือโผล่ออกจากผิวน้ำ

“ฮ่าๆๆ…จับได้แล้ว!”

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงหนึ่ง รีบดึงเชือกลับ หลังจากนั้นครู่หนึ่งปลาเหลียนขาวอวบซึ่งยังคงขยับอยู่ก็ถูกดึงขึ้นมา

“ฝีมือดี!”

จี้หยวนกล่าวชม อิ๋นชิงก็พูดออกมาทันทีว่า “สุดยอด”

ไกลออกไปยังมีเสียงปรบมือบางเบา เมื่อมองตามเสียงไปพบว่ามีเรือใหญ่ผ่านมาพอดี บนนั้นมีแขกเห็นภาพฉากนี้เข้าจึงปรบมือส่งเสียงอยู่ไกลๆ

“ฮ่าๆ ชมเกินไปแล้วๆ ล้วนเป็นฝีมือของคนหากินบนน้ำ!”

ฝีพายหนุ่มยังไม่หยุดมือ ด้วยรู้สึกว่าปลาเหลียนตัวเดียวไม่พอกิน เมื่อปลดปลาเหลียนขาวออกจากฉมวกแล้วก็วางใส่ข้องข้างๆ จากนั้นตั้งอกตั้งใจจัดฉมวกอีกครั้ง

ภาพนี้ทำให้จี้หยวนนึกถึงรุ่นถู่กับตัวฉา ด้วยท่าทางเหมือนกับภาพบนหนังสือเรียนเมื่อชาติก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ปลาเหลียนอ้วนหนักสี่ห้าชั่งและปลาเฉาขนาดใกล้เคียงกันคือผลสำเร็จของชายหนุ่ม ก่อนจะกลับไปพายเรืออย่างมีความสุข นำเรือออกจากจุดตัดแม่น้ำ มุ่งหน้าสู่จังหวัดชุนฮุ่ย

วันนี้เหนือผิวแม่น้ำไม่มีลม ใบเรือจึงถือว่าไม่มีประโยชน์ ทว่าฝีพายหนุ่มพายเรือกลับไม่ลดกำลังลงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ชนิดที่ว่าเตรียมพายเรือจนกว่าฟ้ามืดแล้วถึงหยุด ทว่าถึงบางแห่งเหนือแม่น้ำวสันต์แล้วจี้หยวนกลับร้องให้หยุด

“ฝีพาย หยุดก่อน”

“เอ๋? ลูกค้าอยากปัสสาวะหรือ จัดการจากตรงหัวเรือลงบนผิวแม่น้ำเลยก็ได้ หันหน้าไปทางฝั่ง ตรงนั้นเป็นป่ารกชัฏ ไม่มีใครมาดูหรอก!”

จี้หยวนร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก

“ฝีพาย ข้าไม่ได้ต้องการปลดทุกข์ คืนนี้พวกข้าจะพักกันที่นี่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ!”

“เอ๋?”

ฝีพายหนุ่มมองสีท้องฟ้า แปลกประหลาดอยู่บ้าง ด้วยความเร็วในการพายเรือของเขา เดินเรือต่อไปอีกพักใหญ่ก็โยนสมอได้แล้วด้วยซ้ำไป

จี้หยวนประสานมืออธิบาย

“ปีนั้นผ่านแม่น้ำช่วงนี้พบเรื่องประหลาดน่าสนใจ เวลานี้หวนรำลึกถึงจึงอยากพักค้างแรมที่นี่เหมือนปีนั้นเสียหน่อย รบกวนฝีพายอำนวยความสะดวกด้วย”

ฝีพายหนุ่มเกาท้ายทอย ทว่าประสานมือกลับไป

“ได้ๆ ท่านเป็นลูกค้า อยากทำอย่างไรย่อมได้ทำเช่นนั้น! เฮ้อ บัณฑิตช่างยุ่งยากนัก…”

ประโยคหน้าเสียงดังฟังชัด ประโยคหลังกลับพึมพำบ่นกับตนเอง กระนั้นจี้หยวนได้ยินชัดเจนทุกพยางค์ไม่ตกหล่น

ในเมื่อจี้หยวนยืนกรานร้องขอ ฝีพายจึงโยนสมอหยุดเรืออยู่ที่นี่ จัดการปลาสองตัวก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นนำเตาออกมาเตรียมอาหาร

ก่อนตะวันตกดิน ฝีพายเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ปลาสองจานล้วนเป็นปลานึ่ง ร่วมกับขิงฝานและซีอิ๊วที่ฝีพายเตรียมมาเอง ทว่าเมื่อจัดวางอาหารเรียบร้อย จี้หยวนขอยืมเตาและหม้อจากฝีพาย บอกว่าจะตุ๋นน้ำแกงที่หัวเรือ

ฝีพายไปชำเลืองมองด้วยความสงสัยเช่นกัน พบว่าภายในหม้อใบใหญ่มีปลาเงินขนาดเท่าฝ่ามือสองตัว ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากที่ไหน อาจเป็นในกล่องตำรามีไหขนาดเล็กกระมัง ราวกับปลายังมีชีวิตอยู่ แม้ตอนลงน้ำจะหงายท้อง ทว่าหนวดและเหงือกยังคงขยับขยุกขยิกบางครั้ง

“เอ่อ ลูกค้า ให้ข้าช่วยจัดการปลาสองตัวนี้หน่อยดีหรือไม่ พวกเกล็ดและเครื่องใน…”

“ไม่ต้องๆ แบบนี้ดีแล้ว!”

ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ภายในเรือจี้หยวน อิ๋นชิง และฝีพายยกชามกินอาหาร ส่วนหูอวิ๋นหมอบอยู่ข้างโต๊ะจ้องมองด้วยความตะกละ อิ๋นชิงคอยทำเนื้อปลาตกลงบนพื้นโดย ‘ไม่ทันระวัง’ อยู่บ่อยครั้ง ทว่ายังคงไม่พอยาไส้จิ้งจอกแดงโดยสิ้นเชิง

มีเรื่องหนึ่งที่ฝีพายยินดีเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือบัณฑิตสกุลจี้ผู้นี้กลับนำวสันต์พันวันกาหนึ่งออกมาตอนกินข้าว สุราชื่อดังนี้ราคาแพง ฝีพายดื่มเข้าไปแล้วซาบซึ้งอยู่บ้าง ถึงอย่างไรสุรานี้ก็แพงกว่าค่าโดยสารมาก

ดื่มไปได้พอประมาณแล้วฝีพายก็ไปปลดทุกข์ที่หัวเรือ อิ๋นชิงจึงรีบเติมข้าวในชามจนเต็ม ราดซีอิ๊วและราดน้ำแกงปลา เมื่อเสียบช้อนแล้วก็วางไว้ข้างเก้าอี้

หูอวิ๋นใช้ความเร็วราวกับฟ้าแลบ ใช้อุ้งเท้าคว้าช้อน สวาปามข้ามทั้งชามเข้าปากด้วยความหิวโหย กินอย่างเอร็ดอร่อย ความรู้สึกถูกปล่อยให้หิ้วท้องรอแล้วยังต้องแอบกินแบบนี้ ทำให้อาหารอร่อยยิ่งกว่าเวลากินข้าวปกติที่อำเภอหนิงอันเสียอีก

ฝีพายหนุ่มจัดการธุระเรียบร้อยแล้วใช้กระบวยตักน้ำในแม่น้ำมาล้างมือ จากนั้นเดินไปเติมฟืนให้หม้อใบนั้นตรงหัวเรือ

“หอมดีทีเดียว…แต่ท่านจี้ผู้นั้นเหมือนจะไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรกระมัง…”

ชายหนุ่มขยับจมูกดม ใช้แขนเสื้อพันแขนป้องกันความร้อนอย่างอดไม่ได้ แล้วเปิดฝาหมอเล็กน้อยดูข้างใน

ทันใดนั้นกลิ่นหอมเข้มข้นสายหนึ่งโชยมาจากข้างใน หอมเสียจนเขาตัวชาเหงื่อตก เมื่อมองดูข้างใน ปลาสองตัวนั้นกลับหายไปไม่เห็นเงา เหลือเพียงน้ำแกงสีขาวโปร่งใส่เท่านั้น

ซ่า…

บนผิวแม่น้ำรอบข้างพลันมีเสียงน้ำดังมาระลอกหนึ่ง ฝีพายตื่นตกใจ ขลาดกลัวปิดฝาหม้อในทันที เขามองผิวแม่น้ำไกลออกไปหลายจั้ง พบว่าริ้วน้ำกำลังขยายออกไปเรื่อยๆ

ซ่า…

เสียงครั้งนี้อยู่ตรงหน้าเรือ ฝีพายยิ่งเข้าไปใกล้อีกหลายฉื่อ มองไปทางริ้วน้ำเห็นมีแสงสีเขียววาบผ่านไปรางๆ ทว่าริ้วน้ำนั้นตีวงกว้างไม่น้อย ไม่เหมือนปลาธรรมดาโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้มีวิชายุทธ์ติดกาย ฝีพายก็ยังคงขนลุกซู่ หรือว่าจะมีเทพวารีจริงๆ