ตอนที่ 230 สถานที่ซึ่งมังกรตกจากฟ้า

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 230 สถานที่ซึ่งมังกรตกจากฟ้า

ทั้งก่อนและหลังฝนตกห่าใหญ่ในพื้นที่จังหวัดลี่ซุ่นเกิดเรื่องประหลาดมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องเล่าจากหมู่บ้านสะพานโค้งคู่มีมากที่สุด

ชาวบ้านไม่ใช่คนโง่ กอปรกับแลกเปลี่ยนสิ่งที่เห็นและได้ยินท่ามกลางสายฝนในหลายพื้นที่ เรื่องเล่าที่ค่อนข้างมหัศจรรย์มีสีสันเริ่มแพร่กระจาย ยกตัวอย่างฉบับที่จี้หยวนได้ยิน นอกจากรายละเอียดสำคัญจำนวนหนึ่งไม่ถูกต้องแล้ว ถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็น ‘เทพบทละครฟื้นคืนชีพ’

ดังนั้นสุดท้ายเรื่องมังกรตกจากฟ้าที่ทะเลสาบไพศาลยังคงเล่าต่อกันไป ยิ่งเล่าต่อกันไปเท่าไหร่ก็ยิ่งลึกลับน่าค้นหา

วันที่สี่เดือนหก เจ้าเมืองจังหวัดลี่ซุ่นจัดงานเลี้ยงวันพระจันทร์เต็มดวง นอกจากขุนนางน้อยใหญ่ทั่วจังหวัดลี่ซุ่นมาเข้าร่วมแล้ว ผู้มีหน้ามีตามากมายในอาณาเขตรัฐหวั่นก็ส่งของขวัญมาเช่นกัน แม้แต่ผู้พิพากษาจากฝ่ายทางการก็เตรียมของขวัญและส่งคนมาถึงหน้าจวนด้วย

อิ๋นจ้าวเซียนได้ทำตัวโอ้อวดครั้งหนึ่งอย่างหาได้ยาก เตรียมตัวจัดงานใหญ่ เดิมคิดเช่าร้านอาหารขนาดใหญ่ในจังหวัดลี่ซุ่น แต่เมื่อคำนึงถึงค่าใช้จ่ายร้านอาหารและค่าใช้จ่ายรายเดือนของตนเอง จึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงในจวนดีกว่า

ระหว่างที่พักอยู่ในจวน อิ๋นชิง หลินซินเจี๋ย และคนอื่นๆ พักอยู่ในห้องฝั่งเดียวกับจี้หยวน

อิ๋นชิงตื่นแต่เช้าตรู่ในวันงานเลี้ยง สวมชุดหรูหราไปช่วยบิดาตนเองต้อนรับแขกและทำงานอื่นๆ เขาที่มีความรู้ มีเหตุผล และคล่องแคล่ว เมื่อจัดการธุระเหล่านี้แล้วดูชำนิชำนาญทีเดียว

และในฐานะที่เป็นแขกผู้มีเกียรติซึ่งจำต้องเข้าร่วมงานเลี้ยง จี้หยวน หลินซินเจี๋ย เหลยอวี้เซิง ไปจนถึงโม่ซิวไม่ต้องตื่นเช้า จี้หยวนยิ่งเคยชินกับการนอนหลับจนถึงตะวันโด่งฟ้า

หลินซินเจี๋ย เหลยอวี้เซิง และโม่ซิวล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ถึงมาคอยท่าข้างนอกห้องรับแขกที่จี้หยวนพักอยู่ นี่เป็นกิจวัตรประจำวันมากกว่าหนึ่งเดือนมาแล้ว คำนวณเวลาดูน่าจะถึงเวลาตื่นนอนของจี้หยวนแล้ว

เอี๊ยด…

จี้หยวนสวมชุดคลุมยาวสีเขียวในวันนี้ บัดนี้เปิดประตูเดินออกมาจากข้างใน

“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้!”

หลินซินเจี๋ย เหลยอวี้เซิง และโม่ซิงโค้งตัวกล่าวทักทายจี้หยวนเป็นเสียงเดียวกัน

“อรุณสวัสดิ์พวกเจ้า!”

ความเคารพที่สามคนนี้มีต่อตนเองเกินไปอยู่บ้าง จี้หยวนรู้เหตุผลอยู่แล้ว ต้องเป็นจดหมายที่อยู่ในมืออิ๋นชิงตอนนี้แน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงการได้เห็นความมหัศจรรย์ของจดหมายฉบับนั้นกับตาตนเอง แค่ลายมือนั้นก็ควรค่าให้บัณฑิตทั้งหลายเคารพนบนอบด้วยตลอดเวลาแล้ว ทำให้จี้หยวนประทับใจได้ย่อมดีที่สุด เผื่อเขาจะมอบสำเนาคัดลายมือให้เป็นรางวัลสักหลายฉบับ

แน่นอนว่าเสานำคัดลายมือของท่านอิ๋นมีค่ามากเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นขุนนางของราชสำนัก ต่อให้เป็นบิดาของอิ๋นชิง พวกเขาหลายคนก็ไม่กล้ารบเร้า ยิ่งไม่กล้าไปเสนอหน้าทุกวันด้วย

แม้จะขอร้องอิ๋นชิงโดยอาศัยการทวงน้ำใจให้ไปขอสำเนาคัดลายมือจากบิดาตนเองอยู่หลายครั้ง แต่อิ๋นชิงไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เขาคิดสิ่งใดละเอียดลออเสมอ รู้ว่าหากเป็นเช่นนั้นเมื่อกลับสำนักศึกษาเมตตาแล้วไม่น่าได้อยู่อย่างสงบ บิดาเขาไม่ได้ขายตัวอักษรหรือภาพวาดด้วย จึงมักใช้ข้ออ้างกฎของตระกูลบอกปัดไม่กล้าเอ่ยปาก แล้วให้พวกเขาไปขอตัวอักษรจากบิดาด้วยตนเอง

การไปขอด้วยตนเองกับอิ๋นชิงช่วยไปขอให้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกทั้งอิ๋นชิงรู้จักนิสัยบิดาดี ตนเองไปขอตัวอักษรกับเพื่อนร่วมห้องมีโอกาสได้มากกว่าครึ่ง เช่นนี้ต่อให้หลังจากนี้กลับสำนักศึกษาเมตตาแล้ว คนเหล่านั้นจะมาวอแวกับตนเองไม่ได้อีก

แต่น่าเสียดายที่ถึงพวกโม่ซิวเคยเผชิญวิกฤติภูตจิ้งจอกล่อลวงบนภูเขา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ผู้เป็นแบบอย่าง’ แล้วก็ยังคงขี้ขลาด เทียบกับเกมไล่ตามเผ่าดวงดาวอย่างบ้าคลั่งเมื่อชาติที่แล้วของจี้หยวนยังด้อยกว่าอยู่หลายเท่า มีโอกาสร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันตามลำพังอยู่หลายครั้งล้วนไม่กล้าหายใจแรง จะกล้าเอ่ยปากตอบความก็ต่อเมื่ออิ๋นจ้าวเซียนถามเรื่องชีวิตในสำนักศึกษากับพวกเขาด้วยความใส่ใจเท่านั้น

จี้หยวนเห็นทั้งสามคนมีความขลาดกลัว จึงเดินไปยังทางเดินก่อนแล้วกล่าวกับพวกเขา

“ไปกินข้าวเช้าด้วยกันหรือไม่”

“ขอรับ!”

สามคนรีบตอบรับแล้วตามไป เดินไปพลาง ถามเรื่องน่าสนใจจากจี้หยวนไปพลาง

ภายในใจของทั้งสามคนนั้น จี้หยวนเป็นกันเอง อ่อนโยน มีอารมณ์ขัน และมีความรู้ล้ำลึก พูดคุยกับจี้หยวนแล้วนับว่าเพิ่มพูนความรู้อย่างยิ่งยวด เรื่องที่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเสียที จี้หยวนพูดเพียงคำเดียวก็ทำให้เกิดความรู้สึกดวงตาเห็นธรรมแล้ว

ความจริงแล้วหลายวันนี้จี้หยวนไม่ได้สังเกตบัณฑิตทั้งสามสักเท่าไหร่ แม้ยังอยู่ในวัยเยาว์ ทว่ายังคงมีคุณสมบัติให้ฝึกฝนได้ สภาวะทางอารมณ์มั่นคงหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยตอนนี้ทุกคนล้วนเถรตรงมาก

ตอนกินข้าวเช้าที่โถงรับแขกเสร็จแล้ว จี้หยวนวางช้อนในมือลงเป็นอันดับแรก มองบัณฑิตสามคนที่ยังคงกินเกี๊ยวอยู่ แล้วพูดกับทั้งสามคนอย่างเป็นกันเอง โดยสิ่งที่พูดไม่เข้ากับสถานการณ์และไม่เกี่ยวกับอาหารเช้าด้วยเช่นกัน

“แม้พวกเจ้ายังไม่ถึงวัยประดับกวาน แต่ล้วนเป็นอัจฉริยะของสำนักศึกษาเมตตา เข้าร่วมการสอบขุนนางล่วงหน้าเป็นอย่างไร อีกหลายปีข้างหน้าต้องมีหลายที่ขาดแคลนขุนนางเป็นแน่”

หลินซินเจี๋ยเป็นคนแรกที่พูดตอบ ยิ้มสดใส

“ท่านจี้ก็รู้สึกว่าราชสำนักในตอนนี้ล้าสมัย ต้องการพวกข้าไปแสดงความสามารถกระมัง”

จี้หยวนยิ้มและพยักหน้า

“เช่นนั้นท่านจี้คิดว่าพวกข้าจะสอบได้หรือไม่ ไม่ต้องเป็นขุนนางใหญ่อะไรก็ได้ แค่ได้รับราชการก็พอแล้ว!”

โม่ซิวพูดด้วยความคาดหวังเช่นกัน

จี้หยวนยังคงยิ้ม

“ตราบใดที่ไม่ไปสอบ นั่นต้องสอบไม่ได้อย่างแน่นอน”

“ฮ่าๆๆ…”

“จริงด้วย ท่านจี้พูดถูกต้อง ฮ่าๆๆ…”

บัณฑิตสามคนหัวเราะร่า ไม่ได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าประเด็นสำคัญของคำพูดจี้หยวนอยู่ตรงไหน

เมืองจิงจีอันเป็นเมืองหลวงของต้าเจิน ภายในพระราชวัง หลังจากว่าราชการเช้าเสร็จแล้ว ภายในห้องทรงอักษรนอกจากฮ่องเต้หยวนเต๋อนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร ยังมีขุนนางใหญ่ที่เชื่อถือได้อีกหลายคน รวมถึงอู๋อ๋อง จิ้นอ๋อง และองค์ชายองค์อื่น ไปจนถึงสายสืบที่มาจากรัฐหวั่นด้วย

ฮ่องเต้หยวนเต๋อมีผมสีดอกเลา กำลังดื่มชาอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร ส่วนคนอื่นทำได้เพียงยืนนิ่ง

“พูดมาเถอะ ทางรัฐหวั่นมีความคืบหน้าอะไรบ้าง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

สายสืบคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางก้าวไปข้างหน้า ถวายบังคมให้ฮ่องเต้

“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมตามร่องรอยของเจ้าเมืองอิ๋นและร่องรอยลับอื่นๆ ที่ทิ้งไว้ ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่กระทำการใดรุนแรง ลาดตระเวนทุกที่ทุกจังหวัดของรัฐหวั่น พบว่าเป็นตามที่เจ้าเมืองอิ๋นกล่าวไว้ หลายแห่งรุ่งเรืองเพียงผิวเผิน แต่แท้จริงแล้วชาวบ้านกำลังลำบาก…”

ตึกๆๆ…

ฮ่องเต้หยวนเต๋อฟังคำบอกเล่าพลางเคาะนิ้วกับโต๊ะทรงอักษร ขุนนางใหญ่และองค์ชายที่คุ้นเคยกับเขาดีล้วนเข้าใจ ด้วยจังหวะการเคาะนิ้วพอมองออกแล้วว่าเขารำคาญใจอย่างเห็นได้ชัด

ในที่สุดสายสืบก็พูดถึงปัญหาที่ฮ่องเต้หยวนเต๋อสนใจมากที่สุด

“ขุนนางทุกจังหวัดและอำเภอ ผู้ซื่อสัตย์ภักดีมีน้อยนิด ผู้โลภมากโกงกินมีมากหลาย จากกรณีที่เจ้าเมืองอิ๋นยกตัวอย่างมา หมู่บ้านขนาดเล็กที่มีเพียงหนึ่งร้อยครัวเรือนกลับมีที่ดินห้าสิบฉิ่ง ผลกำไรส่วนตัวในทุกปีแม้กระทั่งมากถึงหลายร้อยตำลึงเงิน โดยที่ผลกำไรของขุนนางระดับสูงขึ้นไปก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ได้รับผลประโยชน์กันนับไม่ถ้วน”

“ไม่มีกฎหมายและกฎแห่งกรรมเลยหรือนี่!”

อู๋อ๋องกล่าวด้วยความโมโหอย่างอดไม่ได้ ในฐานะที่ตนเองเป็นองค์ชายที่เถรตรงที่สุด บางความคิดคล้ายกับบิดาตนเองทีเดียว

“ข้าให้เจ้าพูดแล้วหรือไร”

ฮ่องเต้ชรามองอู๋อ๋องพลางกล่าวเสียงเย็น

“ลูกผิดไปแล้ว!”

อู๋อ๋องรีบรับผิดและขออภัยฮ่องเต้ชรา ทว่าความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้ายังคงอยู่ นอกจากจิ้นอ๋อง อย่างน้อยองค์ชายเหล่านี้ภายในห้องเข้าใจนิยามของ ‘สินบน’ อยู่บ้าง แต่ยังคงประเมินมันต่ำเกินไปอย่างเห็นได้ชัด

ฮ่องเต้ชราเคาะโต๊ะทรงอักษร แม้ฟังรายงานลับจบแล้ว ทว่ายังกล่าวถามอย่างไม่คิดอะไรอีกประโยคหนึ่ง

“รัฐหวั่นยังมีเรื่องอะไรควรให้พูดถึงอีกหรือไม่”

วินาทีนี้สายสืบหลายคนไม่ได้กล่าววาจาในทันที แต่หลังจากนั้นหลายลมหายใจล้วนมองตากัน

จิ้นอ๋องมุ่นคิ้ว ส่วนอู๋อ๋องอดตำหนิเสียงดังไม่ได้

“มีก็รีบพูด หรือว่าคิดปิดบังฝ่าบาท”

“กระหม่อมมิกล้า! กระหม่อมมิกล้า!”

สายสืบหลายคนตกใจกลัวจนรีบก้มหัวโค้งตัว น้อมรับความผิดกับฮ่องเต้หยวนเต๋อ สุดท้ายสายสืบที่เป็นผู้นำกลุ่มแข็งใจเอ่ยปาก วันนี้จังหวัดจิงจีวางแผนจัดงานชุมนุมวารีปฐพี สำหรับฮ่องเต้ที่ตอนนี้สนใจเรื่องราวทางนั้นอยู่แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องนี้

เรื่องที่รัฐหวั่นน่ากลัวพอจะทำให้คนจินตนาการได้ง่าย ไม่ค่อยกล้าพูดอยู่บ้าง

“ทูลฝ่าบาท นอกจากเรื่องการปกครอง ตอนนี้รัฐหวั่นมีอีกสองเรื่อง…หนึ่งในนั้นคือฮูหยินของเจ้าเมืองอิ๋นคลอดบุตรชายคนหนึ่ง…”

“โอ้ ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย เจ้าเมืองอิ๋นถือเป็นบุคคลสำคัญของอาณาจักร ต้องเตรียมของขวัญส่งไปหน่อย”

คำพูดครึ่งแรกของฮ่องเต้นั้นกล่าวกับตนเองพร้อมรอยยิ้ม ส่วนครึ่งหลังกล่าวกับขันทีชราข้างกาย จากนั้นมองสายสืบอีกครั้ง รอเขาพูดต่อไป

สายสืบมองขุนนางใหญ่และองค์ชายโดยรอบ

“เรื่องที่สอง…เรื่องที่สองก็คือตอนนี้ที่รัฐหวั่นเล่าลือเรื่องมังกรตกจากฟ้าลงสู่ทะเลสาบไพศาลกันหนาหู…”

ฮ่องเต้หยวนเต๋อชะงัก จ้องมองสายสืบแล้วกล่าว

“มังกรตกจากฟ้า?”

พูดก็พูดไปแล้ว สายสืบไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก

“พ่ะย่ะค่ะ มีหลายคนที่รัฐหวั่นรู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะชาวบ้านในหมู่บ้านสะพานโค้งคู่เห็นเองกับตา เล่ากันว่าวันที่ยี่สิบเดือนสี่ จังหวัดลี่ซุ่นพลันมีเมฆดำทั่วท้องฟ้า สายฟ้าแลบ ฟ้าร้องสนั่น ชาวบ้านได้ยินเสียงร้องมังกร อีกทั้งได้ยินเสียงเหมือนวัวแก่ร้องอีกด้วย จากนั้นมีมังกรฝ่าเมฆดำตกลงมาจากท้องฟ้า กระแทกลงตรงหุบเขาใกล้หมู่บ้านสะพานโค้งคู่…”

สายสืบเงยหน้ามองฮ่องเต้อย่างระมัดระวังครั้งหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายจ้องตนเองเขม็ง จึงกลืนน้ำลายแล้วค่อยกล่าวต่อ

“วันนั้นเกิดพายุฝนกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว ชาวบ้านหมู่บ้านสะพานโค้งคู่ยิ่งได้ยินเสียงมังกรเหมือนวัวร้องอยู่เรื่อยๆ มองเห็นเงามังกรมหึมากลางสายฝนเหนือหมู่บ้าน แต่ทุกคนถูกเสียงมังกรร้องทำให้ตกใจจนหมดสติไปในเวลาอันสั้นนั้น…หลังจากนั้นพลันเกิดน้ำท่วมใหญ่ ไหลบ่าจากคูน้ำไปยังทะเลสาบไพศาล ชาวบ้านริมฝั่งที่เห็นเหตุการณ์ไม่รู้กี่คน ทั้งหมดล้วนบอกว่าเงามังกรขนาดใหญ่ซ่อนตัวเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ…ตอนนี้ร่องรอยมังกรว่ายน้ำผ่านยังอยู่ที่หน้าสะพานโค้งคู่ คูน้ำยิ่งขยายออกหลายเท่าเพราะมังกรว่ายน้ำผ่าน…กระหม่อมพูดจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจากสายสืบพูดจบยังคงไม่กล้ามองฮ่องเต้ ทว่าฝ่ายหลังเหม่อลอยอึ้งงันพึมพำกับตนเอง

“มีมังกร? มีมังกร…มังกรตกจากฟ้า…พื้นที่รัฐหวั่นมีมังกรตกจากฟ้า…”

————————————-