ตอนที่ 235 คนธรรมดากลับปลอดภัย

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 235 คนธรรมดากลับปลอดภัย

จี้หยวนชอบวิธีฝึกปราณในความฝันของตนเอง ไม่เพียงเพราะฝึกปราณภายใต้การปรากฏชัดของเขตแดนในความฝันสะดวกสบายยิ่งกว่า ยังสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงและคำนึงถึงผลของการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณได้อย่างน่าอัศจรรย์

อีกทั้งเพราะภายใต้สภาวะคล้ายฝันคล้ายไม่ฝันพรรค์นี้ จิตวิญญาณของจี้หยวนอยู่ในภวังค์ความคิดของภูผาธาราเขตแดนอันเชื่อมโยงถึงความเป็นจริง บางครั้งมักจะรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่างได้

อย่างเช่นอยู่ในเมืองหลวงตอนนี้ อยู่ใกล้กันมากพอจึงเชื่อมโยงกับจวนตระกูลฉู่ได้ แม้ในความฝันจี้หยวนไม่อาจเห็นได้ด้วยตนเองเอง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความขึ้นลงที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

คนตระกูลฉู่บุญหนาทีเดียว นอกจากไม่ได้เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ยังร่ำรวยอนาคตไกล มีความสัมพันธ์อันดีกับจิ้นอ๋อง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

ถึงแม้ตำราในห้องหนังสือจะปกคลุมด้วยฝุ่นเป็นส่วนใหญ่ ถึงเพราะเหตุนี้ถึงทำให้บัญชาถูกระงับ แต่วันนี้ยังคงได้เห็นดวงตะวันอีกครั้ง วิธีการนี้ไม่นับว่ายอดเยี่ยมอะไร เกือบถูกปีศาจร้ายลวงล่อด้วยซ้ำ

จี้หยวนหัวเราะเสร็จแล้วไม่สนใจอีก นอนฝึกปราณบนเตียงต่อไป แต่ทางฝั่งจวนตระกูลฉู่กลับไม่สบายใจ

นายใหญ่ฉู่ถือกระดาษขนาดเท่าหน้าตำรา คุณชายใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ยิ่งถือตะเกียงเข้ามาใกล้เล็กน้อย ทำให้คนตระกูลฉู่และข้ารับใช้ทุกคนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

“ท่านพ่อ เมื่อครู่ตัวอักษรนี้เหมือนกับส่องแสงหรือ”

“ใช่…”

“ใครกันเป็นคนเขียน”

นายใหญ่ฉู่มองไปรอบๆ สายตาวาดผ่านข้ารับใช้ทุกคน เขารู้ว่าคนในตระกูลไม่มีใครเขียนตัวอักษรที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ ยิ่งรู้ว่าตัวอักษรนี้ไม่ใช่ของธรรมดา

“จริงสิ ประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัดชุดนี้ ใครอ่านเป็นคนสุดท้าย”

นายใหญ่ฉู่มองและถามคนที่อยู่รอบๆ ย่อมไม่ได้รับคำตอบใด ถึงขนาดที่ว่าหลายคนลืมไปแล้วว่ามีตำราชุดนี้อยู่ด้วย หนังสือในห้องหนังสือเยอะเกินไปจริงๆ หากไม่ได้มานั่งแช่ที่นี่บ่อยครั้งไม่มีทางจำได้

คิดดูแล้วนายใหญ่ฉู่ก็เปลี่ยนวิธีถาม

“ใครรับผิดชอบทำความสะอาดห้องหนังสือ ท่านอาสวี่รู้หรือไม่”

ในฐานะที่ผู้อาวุโสสวี่เป็นพ่อบ้านที่ได้รับความเชื่อถือที่สุดในจวน ย่อมรู้ว่าคนใดทำความสะอาดห้องหนังสือ เขามองซ้ายมองขวา ทว่าภายในห้องโถงชั้นแรกของหอตำรากลับไม่มี

“พาตัวเฉียนเต๋อกับซุนฟู่กุ้ยมา!”

เมื่อตะโกนบอกข้ารับใช้ข้างนอกแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง ข้ารับใช้สองคนที่เดิมทีกำลังจะผ่อนรีบร้อนมาถึง

พูดให้ถูกต้องคือพวกเขาไม่ได้ทำความสะอาดหอตำราเพียงอย่างเดียว ยังรับผิดชอบเก็บตำราเข้าที่เดิมด้วย ดังนั้นจำเป็นต้องรู้หนังสือ

เห็นพวกเขามาแล้ว นายใหญ่ฉู่ที่ย้ายตนเองไปอยู่ข้างโต๊ะหนังสือแล้วชี้ประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัดและเทียบอักษรที่อยู่บนมือตลอด

“จำตำราชุดนี้และเทียบอักษรแผ่นนี้ได้หรือไม่”

เมื่อเห็นประวัติศาสตร์ร้อยปีและแผ่นเทียบอักษร ข้ารับใช้สองคนจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ตัวอักษรนี้งดงามมากจริงๆ หลังจากเก็บขึ้นมาในตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่ถึงเวลาทำความสะอาดชั้นวางล้วนอดไม่ได้ต้องหยิบออกมาดูอยู่ครู่หนึ่ง

“เรียนพ่อบ้าน จำได้ขอรับ”

คนตระกูลฉู่ตื่นเต้นขึ้นมา

“รู้หรือไม่ว่าเป็นแขกจากตระกูลใดทิ้งไว้”

“เอ่อ…ข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ ตอนนั้นพบประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัดชุดนี้อยู่บนโต๊ะชั้นสามของหอตำรา อีกทั้งมีเทียบอักษรแผ่นนี้วางอยู่บนตำราด้วย พวกข้าคิดว่าเป็นคุณชายคนไหนหรือนายใหญ่อยากอ่าน แต่ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่มีใครแตะต้อง จึงจัดเรียงตำราและเทียบอักษรวางกลับไว้ที่เดิม”

คนในบ้านรู้เรื่องในบ้านของตนเอง ชั้นสามของหอตำรามีคนไปน้อยมากจริงๆ นายใหญ่ฉู่ถามอีกว่า

“เกิดขึ้นเมื่อใด”

“เอ่อ…ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว น่าจะหลายปีก่อนกระมัง…”

คำตอบของข้ารับใช้ทำให้คนตระกูลฉู่ต้องมองหน้ากัน เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างอย่างน่าประหลาด

สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจตามหาต้นตอของเรื่องนี้ได้ รู้เพียงคนที่ทิ้งเทียบอักษรไว้ไม่มีทางธรรมดา เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้คำว่าผู้สูงส่งเรียกอีกฝ่าย

พ่อบ้านสวี่พอจะจำเรื่องบ้างอย่างได้ ปีนั้นอยู่ในช่วงฤดูหนาวมีหิมะตก เรื่องนิมิตมงคลที่จวนจิ้นอ๋องก่อปัญหามากมาย เขาเคยรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวไม่ธรรมดาที่หอตำรา จึงลองค้นหาจนทั่วหอตำราแล้ว กระนั้นไม่พบอะไรทั้งสิ้น…

เรื่องนี้แม้แต่การปั้นน้ำเป็นตัวก็เทียบไม่ได้ ยิ่งคล้ายกับตนเองสงสัยเทพสงสัยผี พ่อบ้านสวี่จึงไม่ได้พูดออกไป

ตอนนี้ ‘ผู้สูงส่ง’ ที่หนีออกจากจวนตระกูลฉู่วิ่งโดยไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรแล้ว ขอเพียงออกจากจวนตระกูลฉู่ให้ได้โดยเร็ว พวกเขาวิ่งออกจากถนนสันตินิรันดร์ผ่านตรอกสองตรอก หนีจนถึงโรงฟืนที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงมุมไหนถึงกล้าหยุดพักหายใจ

“ฮู่…ฮู่…ฮู่…ช่าง ช่างน่ากลัวเหลือเกิน…”

“เฮ้อ…เฮ้อ…ชะ ใช่ คิดว่าต้องตายเสียแล้ว!”

ทั้งสองคนเป็นผู้อาวุโสอายุหกสิบถึงเจ็ดสิบปี ตอนนี้ผมกระเซิงเหงื่อแตกเต็มตัว ไหนเลยจะยังมีมาดของเซียนแบบเมื่อครู่นี้ ไม่เหมือนทั้งคนและผี

พักได้ครู่หนึ่งแล้วถึงจะหายใจทัน

“แสงสีขาวเมื่อครู่กวาดโดนข้าแล้วรู้สึกเหมือนถูกทุบบนหัวใจ นั่นเป็นวิชาเทพอะไรกัน ดูท่าตระกูลฉู่จะไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”

“ไอ้หยา นอกจากเหมือนถูกสายตาน่าครั่นคร้ามจ้องมองแล้ว ร่างกายก็เริ่มสั่นเทิ้มคิดวิ่งหนีออกไปข้างนอกอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ เหมือนกับไม่ฟังคำสั่งอย่างไรอย่างนั้น วิชาเทพพรรค์นี้อย่าไปทำความเข้าใจเลย…”

“ใช่ๆๆ อย่าไปทำความเข้าใจเลย!”

ทั้งสองคนคุยกันแล้วยังคงรู้สึกกลัว เมื่อพักผ่อนได้ครู่ใหญ่แล้วถึงจัดระเบียบเครื่องแต่งกายแล้วออกไป พกความกระวนกระวายหลายส่วนและความไม่สบายใจที่มากกว่ากลับไปทางสถานพักม้า

ช่วงเวลาที่อยู่ในต้าเจิน พวกเขากลายเป็นไต้ซือที่ได้รับความเคารพชื่นชมจากหลายๆ คน อาลัยอาวรณ์ความรู้สึกนี้จริงๆ ไม่ว่าอยากได้อะไรขอเพียงอ้าปากพูดก็มีคนเตรียมไว้ให้แล้ว

หวังเพียงว่าคนตระกูลฉู่จะไม่เอาความ เช่นนั้นเมื่อถึงสภานพักม้าแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็น ‘ไต้ซือ’ ที่เหนือกว่าผู้สูงส่งคนอื่นระดับหนึ่งอีกครั้ง

ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองคนเดินออกมาจากโรงฟืนอย่างลับๆ ล่อๆ ต้องการกลับไปยังสถานพักม้า

กระนั้นเดินไปช่วงหนึ่งแล้ว เลี้ยวไปมาก็ยังหาเส้นทางที่คุ้นเคยไม่เจอเสียที ก่อนหน้านี้วิ่งออกจากจวนตระกูลฉู่รีบร้อนเกินไป สนใจแค่หนีเอาชีวิตรอด กลับไม่รู้ว่าหนีไปถึงไหนแล้ว

จังหวัดจิงจีแห่งนี้เป็นเมืองอันดับหนึ่งของต้าเจิน ทุกตรอกภายในเมืองครองพื้นที่ไม่น้อยมีสิ่งก่อสร้างรวมอยู่มาก ทั้งสองคนมาที่นี่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ตกกลางคืนแล้วไม่หลงทางคงแปลกน่าดู

เพราะพักอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้จึงมืดค่ำแล้ว ตรอกนี้ล้วนมืดมน ชัดเจนว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนหลับกันหมดแล้ว

“เฮ้อ ต้องเคาะประตูบ้านคนถามทางหรือไม่”

หญิงชราผู้นั้นเพิ่งเสนอ ก็ถูกคนด้านข้างลากถอยหลังไปหลบในเงาของบ้านเรือนหลังหนึ่งแล้ว

“ชู่…”

ขณะที่ชายชราทำสัญญาณไม่ให้พูด ยันต์สองแผ่นที่มือซ้ายและขวาติดอยู่บนหน้าผากของพวกเขาสองคน

จากนั้นผู้อาวุโสทั้งสองอยู่ตรงนั้นมืดๆ ไม่กล้าหอบหายใจเสียงดัง

ในสายตาของพวกเขา เงาดำเลือนรางสองสายแฉลบจากไกลเข้ามาใกล้ ระหว่างเดินเข้ามากวาดสายตามองรอบๆ อยู่เสมอ เมื่อชำเลืองเห็นเงาดำที่ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ ชัดเจนว่าความเร็วในการเดินหน้าของอีกฝ่ายช้าลงเล็กน้อย ทำให้ผู้ซ่อนตัวทั้งสองต้องกลั้นหายใจ

โชคดีที่ทั้งสองคนเหมือนกับคิดไปเอง เงาดำเลือนรางสองสายนั้นยังคงไม่หยุดฝีเท้า ไม่นานก็หายไปจากหัวถนนขนาดเล็กภายในตรอก

ผ่านไปอีกพักใหญ่ ทั้งสองคนถึงกล้าแน่ใจว่าเงาดำเดินไปไกลจนรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวตรงนี้อีก

“ฮู่…เป็นผู้ลาดตระเวนราตรี!”

“อืม ปราณหยินเข้มข้นมาก สมแล้วที่เป็นผู้ลาดตระเวนของพื้นที่เมืองหลวงแห่งต้าเจิน ข้าว่าต่อให้พวกเราสู้สุดชีวิตก็เอาชนะไม่ได้”

“สู้?”

ชายชราที่เพิ่งปลดยันต์ออกเพื่อลดการสูญเสียพลังวิญญาณมองหญิงชราด้วยความแปลกใจ

“อย่าพูดเล่นเลย เมื่อพวกเราได้รับตำแหน่งปรมาจารย์แล้ว ยืดอกอย่างมั่นใจและตั้งหลักอย่างมั่นคงในต้าเจินได้แล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ทั้งสองคนเพิ่งตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพพื้น เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงร้องอ๊ากยาวเหยียดน่าเวทนา

‘มีพวกสมองนิ่มอยากตายหรือ’

ความคิดที่ผุดขึ้นในใจไต้ซือสองคนในทันใดนั้น คืออาจมีพวกไม่รู้จักตายบางคนใช้วิชามารทำร้ายคนในเมืองหลวง อย่างไรเสียใครๆ ก็มาเข้าร่วมงานชุมนุมทั้งนั้น

จากนั้นการตอบสนองต่อมาก็คือรีบหนีไปให้ไกลหน่อย หากคนจากศาลมืดรู้ตัว ถูกดึงวิญญาณไปก็ไม่ใช่เรื่องสนุกแล้ว

ทั้งสองคนรีบวิ่งไปยังทิศทางตรงข้ามกับที่ยมทูตดำจากไป กระนั้นวิ่งไปไม่พ้นสองก้าวก็มีเสียงดังขึ้นข้างหน้า

“อ๊าก…อ๊าก…”

เทียบกับเสียงร้องน่าเวทนาเมื่อครู่นี้ เสียงในตอนนี้หวีดแหลมเหมือนกับเด็กทารกร้องไห้ ทำให้ผู้ฝึกมารทั้งสองขนลุกซู่

“ไม่ใช่คน!”

“รีบไปเร็ว!”

ทั้งสองคนที่หวาดกลัวหลายต่อหลายรอบในคืนนี้ตอบสนองแล้ว ปราณวิญญาณบนกายและพลังอันน้อยนิดไหลเวียนขึ้นมา แปะยันต์ใหม่อีกครั้ง กระนั้นด้วยยังหลงทางจึงยังคงวิ่งวนอยู่ในตรอก

เดินไปเดินมาถนนข้างหน้ากว้างขึ้นไม่น้อย คล้ายกับมีถนนขนาดใหญ่ที่ถูกแสงจันทร์ส่องสว่าง พวกเขาดีใจจนแทบคลั่ง รีบเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า

ขลุก…

ขลุก…

เท้าสองคนสะดุดบันไดหิน เสียการทรงตัวถลาไปข้างหน้า

ซ่า…

ซ่า…

ละอองน้ำผืนใหญ่กระเด็นขึ้น ข้างหน้าไหนเลยจะเป็นถนนขนาดใหญ่ แต่เป็นแม่น้ำสายเล็กในเมืองต่างหาก

“พลั่กๆ…อึก”

“อึก…พลั่กๆ…”

ไต้ซือสองหน้าทิ่มน้ำ มือเท้าปัดป่ายอย่างต่อเนื่อง ปากคายฟองอากาศออกมาไม่หยุด กวนน้ำทำให้หยดน้ำกระเด็นไปทั่วทีป แต่กลับไม่มีเค้าลางว่าจะพลิกตัวและเคลื่อนไหวใดๆ ได้เลยอย่างน่าประหลาด

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ไต้ซือสองคนเพียงชักกระตุกอยู่บนผิวน้ำเล็กน้อยเป็นครั้งคราว เคลื่อนไหวน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ขยับเขยื้อนอีก…

แมวสีเทาตัวหนึ่งกระโดดบนหลังคาเรือนรอบๆ หลายครั้ง สุดท้ายตกลงบนหลังศพในแม่น้ำ

“เมี๊ยว…เหมียว…”

เสียงแมวร้องเหมือนเสียงทารกร้องไห้ ซ่อนความรู้สึกดุร้ายที่ทำให้คนที่ได้ยินขนลุกตั้ง ร่างกายยิ่งหมอบลงบนศพทั้งสอง สูดปราณสีขาวเทา

เมื่อคายปราณสีขาวเทาจนเกลี้ยง ร่างกายของแมวสีเทาถึงค่อยสบายขึ้น มันบิดขี้เกียจอย่างพอใจ

ใต้แสงจันทร์ เงาทีห่างด้านหลังแบ่งออกเป็นห้าส่วน

ช่วงเวลาสำคัญในตอนนี้ คนทั่วไปไม่กล้าก่อความวุ่นวาย ตรงกันข้ามกลับลงมือง่ายและผลอดภัยยิ่งกว่าสำหรับผู้ฝึกมาร อยู่ที่สถานที่อย่างสถานพักม้ายังดี แต่เมื่อเดินเล่นอยู่ข้างนอก เช่นนั้นตายก็เท่ากับตายแล้ว หยินหยางสองหนทางล้วนไม่ข้องเกี่ยวกัน ถึงจะสนใจแต่ไม่มีทางตรวจสอบได้