ตอนที่ 237 พระจันทร์ในน้ำ ว่างเปล่า

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 237 พระจันทร์ในน้ำ ว่างเปล่า

ตอนที่ขอทานชราผู้นี้เพิ่งลงมือ จี้หยวนซึ่งเปิดตาทิพย์ตลอดเวลาตั้งใจจับตาดูเขา ในที่สุดก็มองเห็นปราณบางอย่างของขอทานชราแล้ว

พูดตามตรงว่าสิ่งที่มองเห็นมีไม่มาก แม้กระทั่งสีสันห้าปราณก็เหมือนกับคนธรรมดา แต่กลับราบเรียบและสงบเหมือนน้ำในถังเป็นอย่างยิ่ง แก่นแท้และจิตวิญญาณเหมือนกับคนธรรมดาเช่นกัน ถึงขนาดซ่อนอยู่ในปราณเพลิง แต่ปราณเพลิงนี้กลับมั่นคงไม่เห็นแรงกระเพื่อมใด ความจริงแล้วถูกปกคลุมด้วยแสงเลือนรางกลุ่มหนึ่ง

น่าเสียดายที่แสงสว่างนี้ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย กระจายตัวไม่รวมกลุ่ม แข็งตัวแต่ไม่เป็นจริง

คนผู้นี้มรรควิถีล้ำลึกจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นคนที่สองที่จี้หยวนเคยเจอในปัจจุบัน แต่ขอไม่พูดว่ามีพลังแข็งแกร่งเท่าไหร่ แค่มรรควิถีอย่างเดียวก็ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ามังกรเฒ่าแล้ว

ส่วนพลังและความสามารถในการสังหาร จี้หยวนรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับมังกรแท้แล้ว ขอทานผู้นี้น่าจะด้อยกว่าขั้นหนึ่ง

แน่นอนว่าเทียบกับตัวจี้หยวนเองต้องแข็งแกร่งกว่าหลายเท่าตัว หากจี้หยวนตอนนี้นับว่าหล่อเลี้ยงห้าปราณในร่างกาย ขอทานผู้นี้ก็นับว่าได้รับความงดงามทั้งสามแล้ว

ตามสถานการณ์ปัจจุบันในโลกของการฝึกปราณ วงห้าปราณมากมายเรียกตนเองว่าเป็นเขตแดนแห่งการรวมศูนย์ ขอทานผู้นี้หากบอกว่าตนเองสำเร็จมรรคเป็นเซียนแท้ คาดว่าคนที่ต่อต้านไม่น่ามีมากเกินไป ถึงอย่างคิดต่อต้านก็ต้องได้รับความยอดเยี่ยมในระดับที่เหนือกว่าถึงจะใช้ได้

แต่มุมมองของจี้หยวนในด้านนี้จริงๆ แล้วสอดคล้องกับมังกรเฒ่าทีเดียว เกือบก็คือเกือบ ขาดไปหนึ่งขั้นก็คือขาดไปหนึ่งขึ้น จุดนี้และขั้นนั้นมีระยะห่างเหมือนคูน้ำ

หากไม่ได้ ‘แท้’ ก็ไม่ ‘อัศจรรย์’

เชื่อว่าบุคคลที่มีมรรควิถีในระดับเดียวกับขอทานชราจริงๆ ย่อมเข้าใจเรื่องนี้

เทียบกับประสบการณ์เล็กน้อยที่ตาทิพย์ของจี้หยวนเห็น ฝั่งขอทานชราตรงข้ามกันพอดี ในสายตาเขาท่านจี้ผู้นี้แม้แต่ตอนสำแดงวิชายังสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมของพลังได้ไม่เท่าไหร่ มองอย่างไรก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าแค่มองก็เห็นทั้งหมดแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับรู้สึกว่าถูกกั้นด้วยภูผาธาราผืนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกบดบังมองไม่เห็น

แต่ขอทานชราคิดว่าตนเองก็ไม่เปิดเผยเท่าไหร่เช่นกัน ต่อให้จับแมวสีเทาตัวนี้แล้วก็ไม่มีลมปราณมนุษย์สักนิด ถึงขนาดเหมือนว่าเป็นเพราะเห็นแสงจันทร์ร่ายกระบี่เป็นอักษรของท่านจี้ ถึงได้จงใจแสดงฝีมือเช่นกัน

‘แสงจันทร์ร่ายกระบี่เป็นอักษร ช่างงดงามเหมือนฝันที่แท้ ง่ายนักสำหรับข้าที่จะเลือกของด้วยมือข้า ดังนั้นข้าใช้ของเล็กน้อยด้วยมือใหญ่ได้’

ขอทานมองหัวหน้าหอดูดาวหลวงที่อยู่ข้างๆ พบว่าอีกฝ่ายนอกจากถือขนมไหว้พระจันทร์สองชิ้นในมือและมองแมวสีเทาที่อยู่บนพื้น หลังจากนั้นความสนใจหลักยังคงอยู่ที่ตัวจี้หยวน ปากเบะเล็กน้อย

‘มองอะไรผิวเผิน ไม่รู้จักมูลค่าของ!’

ขอทานชรามองที่ไกลอีกครั้ง เจ้าที่หายไปแล้ว เหมือนกับไม่คิดจะเข้ามาทักทายสักคำ

เมื่อมองจี้หยวนอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายใช้มือซ้ายเก็บกระบี่เครือเขียวไว้ข้างหลัง มือขวาขยับอยู่ข้างลำตัว เดินมาใกล้ฝั่งนี้ของแท่นหินแล้ว

“ท่านหลู่ลงมือราวกับเด็ดบุปผา ใช้อ่อนพิชิตแข็ง ถือเป็นวิธีการชั้นสูง!”

ได้ยินคำชมของจี้หยวนแล้ว ขอทานชานอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม อย่างไรเสียบางคำพูดต้องเป็นอัจฉริยะบุคคนที่อยู่ในระดับขั้นที่แน่นอนแล้วถึงจะพูดออกมาได้

“ท่านจี้ ท่านคิดจะจัดการแมวตัวนี้อย่างไรหรือ”

ตอนขอทานชราถาม แมวสีเทาที่ถูกมือเขาจับศีรษะไว้กับแท่นหินยังคงดิ้นอยู่

“เมี๊ยว…”

เสียงแมวร้องแหลมเหมือนทารกร้องไห้ เหยียนฉางที่ฟังอยู่ข้างๆ ขนลุกซู่ รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่านี่เป็นสัตว์ปีศาจ

สีขนบนตัวแมวสีเทาส่องแสงชั้นหนึ่ง เหมือนกับมีความรู้สึกว่ามันพองตัว ระหว่างพลังและปราณปีศาจเพิ่มขึ้น คล้ายกับมันคิดหนีออกจากการควบคุมของขอทานชรา

“โอ้ ยังไม่ว่าง่ายอีกรึ”

ขอทานชราใช้มือซ้ายดีดกะโหลกแมวเสีเทาครั้งหนึ่ง

ปึก…แสงบนตัวแมวสีเทากระจายหายไปคล้ายกับฟองอากาศถูกดีดแตก ทั้งตัวแมวยิ่งแข็งทื่อขยับไม่ได้แล้ว

“ปีศาจแมวห้าหาง”

จี้หยวนยืนนิ่งอยู่ข้างๆ จ้องมองแมวสีเทาบนพื้น อย่ามองว่ามันเป็นแมวตัวเล็กขนาดนี้ ความเข้มข้นของปราณปีศาจบนตัวมันน่าประหวั่นมากแล้ว

“เจ้าสัตว์ปีศาจร้าย ฝึกปราณจนถึงวันนี้เกรงว่าทำร้ายผู้อื่นไปไม่น้อยแล้วกระมัง”

“ถูกต้อง ข้าผู้ชราเห็นว่าปราณชั่วร้ายที่วนเวียนบนตัวปีศาจตัวนี้ไม่นับว่าน้อยเลย เก็บมันไว้บนโลกมีแต่จะสร้างหายนะ”

“อืม เช่นนั้นท่านหลู่คิดว่าอย่างไร”

จี้หยวนและขอทานชราค่อนข้างมีความคิดเหมือนๆ กัน

“อย่ามองว่าตอนนี้ข้าจับมันไว้เบาๆ เชียว แต่ใช้วิชากดภูเขากดมันไว้ตรงนี้ ปล่อยมือออกจากแมวตัวนี้เกรงว่าปราณปีศาจจะพุ่งพล่านจนตายในทันที”

ขอทานชราหรี่ตามองปีศาจแมวตัวนี้ ความจริงแล้วตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ปราณปีศาจและพลังแก่กล้าที่อยู่ในปีศาจแมวตัวนี้กำลังคุกรุ่นอย่างต่อเนื่อง ต้องการทะลาย ‘กรงขัง’

“ท่ามกลางผู้เข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ ตำแหน่งของปีศาจตัวนี้ไม่มีทางต่ำเกินไป จะเป็นอย่างไรหากนำมันไปที่แม่น้ำเทียมฟ้า ใช้วิชาวารีดำชักนำพลังแม่น้ำทำให้มันตายตก”

คำพูดของขอทานชราตอนนี้ไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยสักนิด ทว่าต้องการสังหารปีศาจตัวนี้อย่างแท้จริง ปีศาจแมวได้ยินแล้วขนลุกตั้ง ดิ้นแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“เมี๊ยว…เมี๊ยว…”

“ดูสิ แค่ตอนนี้มันยังต่อต้านรุนแรงขนาดนี้ ท่านจี้ ปีศาจแมวห้าหางตัวนี้ ต่อให้เป็นข้าก็ใช่ว่าแค่เป่าลมแล้วจะจัดการได้”

ก่อนหน้านี้จี้หยวนจ้องมองปราณปีศาจและปราณชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นชัดเจนบนตัวแมวสีเทาอย่างเคร่งขรึม แต่ฟังจากคำพูดของขอทานชราแล้ว เขานึกถึงเพลิงสมาธิอย่างอดไม่ได้ สีหน้าบนใบหน้าแปลกประหลาดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มชัดเจน

‘หากน้ำเสียงนี้ของข้ารุนแรงเต็มไปด้วยความโกรธ ก็ไม่ได้น่าฟังขนาดนั้นจริงๆ!’

การแสดงออกเล็กน้อยของจี้หยวนเปลี่ยนแปลง ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของขอทานชรา ทว่าเขาไม่ใช่หนอนในท้องจี้หยวน ไม่แน่ใจว่าเหตุใดท่านจี้ถึงมีสีหน้าเช่นนี้

“จมน้ำตายกลับไม่จำเป็นแล้ว!”

เสียงเย็นชาชัดเจนดังขึ้นแต่ไกล มีคนผู้หนึ่งเดินมาจากนอกแท่นพิธี เป็นมังกรเฒ่าอิงหงคิ้วเครายาวเฟื้อย

มังกรเฒ่าเดินเข้ามาทีละก้าว ถึงแม้ไม่ได้แสดงแสงเทพวิชาอะไร แต่ปราณบนตัวเขาสายนั้นกลับไม่อาจปกปิดได้ ทำให้ขอทานชรามุ่นคิ้ว มองผู้มาเยือนแล้วมองจี้หยวน ด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นอริยะเทพองค์ใด

มังกรเฒ่าย่อมสังเกตเห็นขอทานชราและเหยียนฉางแล้ว ฝ่ายแรกมีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนฝ่ายหลังท่าทางประหลาดใจระคนตื่นเต้น ทว่าทำเป็นใจเย็นอยู่

“ท่านจี้ สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์!”

แม้ปกติแล้วมังกรเจียวไม่ค่อยตามกระแส แต่มังกรเฒ่ารู้ว่าสหายตนเองสนใจเทศกาลประเพณีพื้นบ้านเหล่านี้ทีเดียว รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ชอบความคึกคักมาก

“สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์! อ้อจริงสิ ข้ายังมีขนมไหว้พระจันทร์สองชิ้น แบ่งให้ท่านชิ้นหนึ่งแล้วกัน”

จี้หยวนส่งให้อย่างสบายๆ มังกรเฒ่ารับขนมไหว้พระจันทร์มาแล้วย่อมมองไปยังกระเป๋าเสื้อของขอทานชรา รวมถึงในมือของเหยียนฉางด้วย จากนั้นมองจี้หยวน

แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ไหนเลยจี้หยวนจะไม่รู้ความหมายของเขา

“อย่ามองข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านจะมา มีก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”

“จัดการสิ่งชั่วร้ายนี่ก่อนเถอะ!”

หลังจากกล่าวจบแล้ว ศีรษะของเขากลายเป็นเงา เวลานี้ขอทานชราพลันรู้สึกหวาดกลัว ปล่อยมืออกจากการจับตัวแมวปีศาจอย่างอกไม่ได้

“โฮก…”

เสียงมังกรร้องแผ่วเบาดังขึ้น

เงามังกรยาวเหยียดของมังกรเฒ่ากลับสู่สภาวะเดิม ราวกับพริบตานั้นตาฝาด ส่วนปีศาจแมวหายไปไม่เห็นแล้ว

“เอ่อ…ผู้อาวุโสอิง ท่านกินมันไปแล้วหรือ”

จี้หยวนมองมังกรเฒ่าอย่างงุนงง ยังไม่ทันได้รู้ที่มาของปีศาจแมวเลย กินไปเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง

“ฮ่าๆๆๆ…ท่านจี้เข้าใจผิดแล้ว ข้าผู้ชราเพียงกลืนไม่ได้กิน ไม่เหมือนกัน”

ได้ พูดเช่นนี้จี้หยวนเข้าใจแล้ว มังกรเฒ่ารู้จักแยกแยะ ทว่ารสชาติในท้องมังกรเฒ่านี้คงจะรับได้ยากน่าดู

ขอทานชราเผชิญหน้ากับมังกรเฒ่าแล้วรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ด้วยความประหลาดใจ เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งขึ้น

“ท่าน ท่าน…ท่านคือประมุขมังกรแห่งแม่น้ำเทียมฟ้า!?”

“หึ แล้วเจ้าเล่าเป็นใคร มาก่อความวุ่นวายในต้าเจินของข้ารึ”

มังกรเฒ่าหรี่ตามองขอทานชราผู้นี้ตรงๆ ทำให้ฝ่ายหลังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันยิ่งใหญ่ แต่เหลือบเห็นจี้หยวนอยู่ข้างๆ กลับไม่ได้มีสีหน้ากลัวเกรงอะไร

จี้หยวนรีบก้าวไปข้างหน้า

“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงในวันไหว้พระจันทร์ ต่างฝ่ายต่างมีวาสนาได้พบกัน ผู้อาวุโสหลู่เนี่ยนเซิงก็ไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนธรรมดา ย่อมไม่มีเจตนาล่วงเกินผู้อาวุโสอิง”

คราวนี้ขอทานชราดึงสติกลับมา ตนเองดึงดันแข็งข้อกับมังกรแท้แล้วจะได้อะไร

ทันใดนั้นเขาประสานมือให้มังกรเฒ่า

“คารวะประมุขมังกร”

มังกรเฒ่าไม่ได้พูดจา แต่ก็คารวะกลับตามมารยาท จี้หยวนยิ้มแล้วมองเหยียนฉางที่อยู่ข้างๆ

“ท่านนี้คือหัวหน้าหอดูดาวหลวง ใต้เท้าเหยียนฉาง”

เหยียนฉางเป็นคนฉลาดเฉลียวเช่นกัน แม้ไม่เข้าใจ แต่จากคำพูดเหล่านั้นพอแยกแยะข้อมูลน่าตื่นตะลึงได้ ผู้ชราที่เพิ่งมาถึงตรงหน้าอาจเป็นมังกรตัวหนึ่ง

คืนนี้พูดแล้วเหมือนกับฝันไปสำหรับเหยียนฉาง สิ่งที่เขาเห็นก็ทำให้จิตใจเขาอ่อนล้าเช่นกัน โดยเฉพาะการรำกระบี่ของจี้หยวน…

“ขุนนางเหยียน ขุนนางเหยียน…ขุนนางเหยียน!”

เสียงเข้มงวดดังจากด้านบนติดต่อกันสามครั้ง ขุนนางที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันร้อนใจมาก ยื่นมือจับเหยียนฉางที่ตกอยู่ในภวังค์อย่างอดไม่ได้

“เอ๋?”

เหยียนฉางราวกับตื่นจากฝัน มองซ้ายขวารอบๆ ถึงพบว่าตนเองอยู่ในท้องพระโรง เมื่อเงยหน้ามองขึ้นข้างบน ฮ่องเต้หยวนเต๋อหน้าง้ำแล้ว

“ฝ่าบาท!”

ทันใดนั้นเหยียนฉางรีบโขกศีรษะ เหงื่อเย็นๆ ไหลเต็มกาย เมื่อครู่เพราะได้ยินการถกเถียงเรื่องการชุมนุมวารีปฐพี เขาพลัน ‘กลับไป’ ยังคืนวันไหว้พระจันทร์โดยไม่รู้ตัว

ประเด็นคือเขาไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ถามอะไร

“ขุนนางเหยียนคงเหนื่อยกับงานชุมนุมมาก พักสักช่วงหนึ่งเป็นอย่างไร”

ได้ยินคำกล่าวคล้ายกับเป็นห่วงของฮ่องเต้หยวนเต๋อแล้ว เหยียนฉางกลับยิ่งขนลุกซู่ หลายปีมานี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่คงที่ เขาไม่แน่ใจเลยว่านี่เป็นความเป็นห่วงจริงหรือลวง

ด้วยความตื่นตระหนก เหยียนฉางรีบหยิบถุงผ้าไหมออกมาจากในอกเสื้อ

“ฝ่าบาท! เมื่อคืนกระหม่อมนอนไม่หลับไปชมจันทร์ที่แท่นพิธี โชคดีได้พบเซียนรำกระบี่พร้อมแสงจันทร์พลิ้วไหว เซียนมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้กระหม่อมชิ้นหนึ่งแล้วเหาะจากไป เมื่อกระหม่อมดึงสติกลับมาได้ก็ฟ้าสว่างแล้ว ทำได้เพียงรีบร้อนมาว่าราชการเช้า ทั้งคืนไม่ได้นอนหลับจิตใจไม่แจ่มใส เมื่อครู่จึงเหม่อลอยไป ขนมไหวพระจันทร์นี้กระหม่อมไม่กล้าเก็บไว้ลำพัง ขอถวายแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้หยวนเต๋อหรี่ตามองเหยียนฉางเบื้องล่าง นิสัยคนผู้นี้เป็นเช่นไรเขารู้ดี เห็นถุงผ้าไหมนั้นแล้วพลันมีสีหน้าใคร่รู้

“นำขึ้นมา”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีด้านข้างลงไปรับถุงผ้าไหมมา กลับมาแล้วเปิดออกแทนฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นเล็กและไม่ประณีตปรากฏบนมือของฮ่องเต้ชรา

เห็นขนมไหว้พระจันทร์ธรรมดาถึงขนาดทำขึ้นลวกๆ อย่างชัดเจน บนใบหน้าฮ่องเต้ชรามีความกริ้ว

“นี่คือสิ่งที่เซียนมอบให้รึ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่กล้าพูดปด! จริงสิ หากนำน้ำนิ่งกะละมังหนึ่งมา วางขนมไหว้พระจันทร์แล้วจะลอยอยู่ด้านบน เงาสะท้อนในน้ำไม่มีขนมไหว้พระจันทร์ แต่ปรากฏพระจันทร์แทนพ่ะย่ะค่ะ!”

เหยียนฉางพูดรวดเดียวทั้งหมด ระหว่างนั้นไม่กล้าเช็ดเหงื่อเลยด้วยซ้ำ ในใจกล่าวว่าโชคดีนักที่เขาพบเรื่องนี้ตอนกินขนมไหว้พระจันทร์อีกชิ้นเมื่อคืนนี้

“เอ๋? มีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ!”

ฮ่องเต้หยวนเต๋อตื่นเต้นขึ้นมาในทันที สั่งให้คนนำกะละมังทองแดงมาใบหนึ่ง

ตอนนำขนมไหว้พระจันทร์ลอยบนกะละมัง เขาเห็นเงาสะท้อนในกะละมังเป็นพระจันทร์ดวงหนึ่งจริงๆ ขันที่ที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงพูดไม่ออกเช่นกัน

ขุนนางทั้งหลายเบื้องล่างชะเง้อคอมองไม่น้อย อยากล้อมเข้าไปมองดูเป็นอย่างยิ่ง

“เป็นจริงตามนั้น! เป็นของที่เซียนมอบให้จริงหรือนี่ อา…”

ฮ่องเต้หยวนเต๋อตื่นเต้นมาก มือสั่นจนไม่อาจจับขนมไหว้พระจันทร์ไว้ได้ ขณะยื่นมือจับกลับเฉียดขนมไหว้พระจันทร์ไปเท่านั้น

พรวด…

ขนมไหว้พระจันทร์จมน้ำ ทำลายพระจันทร์อันเป็นเงาสะท้อนโดยตรง ขนมไหว้พระจันทร์ทั้งชิ้นจมน้ำแล้วพลันละลายหายไปราวกับลูกกวาด

“นี่…ข้า…เอ่อ…”

ภาพนี้ทำให้เสียงฮือฮาในตำหนักใหญ่เงียบลง เหยียนฉางมองอย่างงุนงงเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

—————————-