ตอนที่ 238 เปิดฉากงานชุมนุม

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 238 เปิดฉากงานชุมนุม

ตอนมือถือขนมไหว้พระจันทร์เห็นพระจันทร์ในกะละมังเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะปีก่อนฮ่องเต้หยวนเต๋อเริ่มร้องขอเซียน น้อยครั้งนักมีช่วงที่พึงพอใจ และไม่มีครั้งใดที่เขาได้ถือของล้ำค่าจากวาสนาเซียนเหมือนกับครั้งนี้

ถึงแม้ได้เห็นนิมิตมงคลจากสวรรค์เมื่อคืนก่อนวันปีใหม่ แต่ก็เห็นเพียงดอกไม้นานาพันธุ์ในสวนดอกไม้เบ่งบาน แค่เห็นไม่ได้สัมผัส แต่ขนมไหว้พระจันทร์กลับได้เห็นของจริงได้สัมผัสกับมือ อีกทั้งกินได้ด้วย

วินาทีที่ขนมไหว้พระจันทร์จมน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอบ ในใจฮ่องเต้หยวนเต๋อถึงขนาดว่างเปล่าไปในพริบตา

“นี่…ข้า…เอ่อ…ทำอย่างไรดี นี่จะทำอย่างไรดี…”

เวลานี่ฮ่องเต้ชราเผยสีหน้างุนงงต่อหน้ากลุ่มขุนนางอย่างหาได้ยาก มองดูกะละมังน้ำนี้แล้วไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้แต่เศษขนมไหว้พระจันทร์สักนิดก็ไม่เหลือ

เขามีความรู้สึกว่าขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้จมน้ำแล้วไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ

ฮ่องเต้หยวนเต๋อมองขันทีชราที่อยู่ไม่ไกล

“ข้าจับมันไว้ไม่ได้หรือ”

เห็นฮ่องเต้มองตนเอง ขันทีชราข้างๆ เพียงรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพึง กล่าวเสียงเบาต่อเนื่อง “บ่าวไม่รู้ บ่าวไม่รู้…”

“จับไว้ไม่ได้ จับไว้ไม่ได้…”

ฮ่องเต้หยวนเต๋อมองมือขวาตนเองที่ยังคงสั่นเทา ตอนที่ดึงสติกลับมาได้พลันมองขุนนางเหยียนที่อยู่ในตำหนัก

เหยียนฉางที่เดิมทีตะลึงงันเช่นกันตื่นตกใจในทันที ราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดใส่ตัวจนหนาวสั่น กลัวว่าฮ่องเต้จะบันดาลโทสะใส่ตนเอง

“ขุนนางเหยียน มีขนมไหว้พระจันทร์เพียงชิ้นเดียวหรือ”

ตอนนี้ไหนเลยเหยียนฉางจะกล้าพูดความจริง ต่อให้พูดความจริงแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถทำขนมไหว้พระจันทร์ได้อีก จึงทำได้เพียงคุกเข่าโขกศีรษะให้ฮ่องเต้

“ฝ่าบาท! นี่เป็นสิ่งที่เซียนมอบให้ กว่าจะได้มาสักชิ้นยากเย็นนัก กระหม่อมมิกล้าเก็บงำไว้พ่ะย่ะค่ะ!”

เห็นคำพูดเหยียนฉางสัตย์ซื่อมากพอ อีกทั้งเมื่อครู่แน่ใจแล้วว่าเป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่เซียนมอบให้จริง พูดตามตรงว่าหากอยู่ในสถานที่อื่น คงมีคนไม่มากเท่าไหร่ที่จะมอบขนมไหว้พระจันทร์นี้ให้

ขุนนางในท้องพระโรงล้วนเงียบเสียง แม้แต่ขุนนางที่ชอบต่อต้านงานชุมนุมเหล่านั้นก็ไม่พูดจาเช่นกัน ฮ่องเต้หยวนเต๋อกวาดสายตามองครั้งหนึ่ง สุดท้ายมองที่ตัวเหยียนฉาง

อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับทำความผิดใหญ่หลวงอะไร ฮ่องเต้หยวนเต๋อยิ่งไม่มีที่ระบายความอึดอัดในใจ ผ่านไปเนิ่นนานค่อยสงบอารมณ์ลงได้

“ขุนนางเหยียนลุกขึ้นเถอะ เรื่องเซียนมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้เจ้าเป็นความจริง มอบม้วนกระดาษภาพวาดให้เขาชุดหนึ่ง ส่วนเรื่องงานชุมนุมวารีปฐพี ขุนนางเหยียนและขุนนางกรมพิธีการทุกคนต้องลงแรงลงใจมากหน่อยแล้ว…”

“รับบัญชา!”

“รับบัญชา!”

เหยียนฉางลุกขึ้นยืน รับบัญชาร่วมกับขุนนางใหญ่หลายกรม เขาลอบถอยหายใจอย่างแรง ได้รับรางวัลหรือไม่ไม่สำคัญ ไม่ถูกลงโทษถือเป็นโชคดีที่สุดแล้ว

“จบว่าราชการเช้าเถอะ”

เมื่อพูดจบแล้ว ฮ่องเต้หยวนเต๋อลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเสียงดังกับขันทีชรา

“จบ…ว่าราชการ…”

ตอนขันทีชรากำลังจะรีบตาฮ่องเต้ไป เห็นฝ่ายหลังหรี่ตาชำเลืองมองตนเองและหน้าบัลลังก์มังกร ทันใดนั้นพลันรู้กัน กวักมือเรียนขันทีหนุ่มสองคนแล้วชี้ไปยังกะละมังทองแดง

“ยกมาด้วย อย่าให้หกแม้แต่หยดเดียว!”

“ขอรับ!”

ขันทีหนุ่มสองคนก้าวไปข้างหน้า ยกกะละมังทองแดงขึ้นเดินจากไปอย่างระมัดระวัง

ขุนนางในท้องพระโรงมองหน้ากัน บ้างมองไปข้างนอกด้วยความใคร่รู้ และมีคนเข้ามาถามความเหยียนฉางเสียงหนึ่ง อีกทั้งมีขุนนางฉ้อฉลเหล่านั้นมองเหยียนฉางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจากไป

วันที่ยี่สิบเดือนแปด ทั่วทุกพื้นที่ของต้าเจินประกาศรายการสอบแล้ว แต่ที่จังหวัดจิงจีนี้ เรื่องใหญ่ที่สุดย่อมเป็นวันฉลองครบรอบพระชนมายุครบเจ็ดสิบปีของฮ่องเต้หยวนเต๋อ อีกทั้งงานชุมนุมวารีปฐพีที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ก่อนถึงวันนี้มีผู้ฝึกปราณจากเขาล้อมหยกคุมวาโยหรือขี่เมฆมาถึงจังหวัดจิงจี รอบนอกเมืองหลวงตอนนี้อย่างน้อยมีผู้ฝึกเซียนตัวจริงยี่สิบหรือสามสิบคนรวมตัวกันอย่างหาได้ยาก

ทว่าใครๆ ล้วนรู้ขั้นตอนของงานชุมนุมล่วงหน้า จึงไม่มีใครปรากฏตัวเมื่อหลายวันก่อน

เช้าตรู่ของวันนี้ ชาวบ้านว่างหลายคนและคนจากทั่วทุกที่ของต้าเจินมารวมตัวกันที่เมืองหลวงเพื่อดูความคึกคัก ล้วนพากันมุ่งหน้าไปยังทางตะวันออกของเมือง

แท่นพิธีขนาดมโหฬารดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง สูงเหนือกว่าสิ่งก่อสร้างมากมายภายในตัวเมืองจังหวัดจิงจี และพื้นที่ว่างตรงแท่นพิธีบริเวณทิศตะวันออกของเมืองยิ่งมีสิ่งก่อสร้างที่แข่งขันกับแท่นพิธีได้ไม่เท่าไหร่

จี้หยวนก็เหมือนกับคนอื่นๆ ตามกลุ่มคนไปยังทางตะวันออกของเมือง ตอนไปถึงที่นั่นก็เบียดเสียดกันแล้ว

“โอ๊ยๆๆ อย่าเบียดสิ!”

“ฮ่องเต้อยู่ที่ใด ขึ้นไปบนแท่นพิธีแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่รู้สิ ทหารอารักขาตรงนั้นกั้นไว้อยู่ อาจจะยังไม่ได้ขึ้นไปกระมัง”

“ไอ้หยา แท่นพิธีนี้สูงเกินไป มองไม่เห็นอะไรบนนั้นเลย!”

“ใช่ เห็นหน้าตานักพรตบนแท่นพิธีได้ไม่นานเท่านั้น”

“ทำแบบนี้ได้อย่างไร”

“ไม่เป็นไร หากเทียบกับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แท่นพิธีเหล่านั้นไม่สูงเลย”

“โอ๊ยอย่าบ่นเลย ดูทางนั้น พวกนักพรตมากันแล้วใช่หรือไม่”

“ท่าทางแปลกๆ แบบนั้น ต้องใช่แน่!”

จี้หยวนเอนไปทางซ้ายเอียงไปทางขวา ความจริงแล้วตรงไหนก็เสียงดังไปหมด ไม่มีจุดชมทิวทัศน์ที่ใช้ได้เช่นกัน วันเช่นวันนี้ บินขึ้นท้องฟ้าคงไม่เหมาะสม รอบข้างไม่มีหอคอยสูงเลยสักแห่ง จึงมีความรู้สึกอิจฉา ‘ผู้ถูกเลือกร่วมการแข่งขัน’ เหล่านั้นอยู่บ้าง

ตอนนี้แท่นพิธีสูงสามจั้งถูกทหารอารักขาถือหอกและง้าวกลุ่มใหญ่ขวางอยู่ ทำให้ชาวบ้านไม่อาจเข้าใกล้แท่นพิธีในรัศมียี่สิบจั้งได้ ส่วนนักเวทที่รวมตัวกันมาจากทั่วทุกพื้นที่ของต้าเจินกำลังเดินมาจากทั้งสี่ทิศ

พระราชโองการของฮ่องเต้หยวนเต๋อกล่าวว่า ไม่จำกัดเฉพาะพระ นักพรตเต๋า บัณฑิตขงจื๊อ และประชาชนทั่วไป ขอเพียงเป็นผู้สูงส่งล้วนมาเยือนได้ ดังนั้นจำนวนคนที่นี่จึงไม่น้อย คนประเภทไหนก็มีทั้งสิ้น

บางคนเป็นพระ บางคนเป็นนักพรต บางคนแต่งกายแปลกทรงผมประหลาดดูไม่ค่อยธรรมดา ผู้ที่ร่างกายเหมือนคนแคระหรือตัวใหญ่เหมือนยักษ์ก็ใช่ว่าน้อยเช่นกัน

เวลานี้ชาวบ้านเห็น ‘นักเวทผู้สูงส่ง’ กลุ่มนี้พลันตื่นเต้นขึ้นมา ส่วนความรู้สึกเคารพกลับไม่ได้มากเท่าไหร่

“พวกเจ้าดูๆ ตรงนั้น บนใบหน้าเขียนสีเหมือนกับแสดงละครเลย เขาก็เป็นนักเวทหรือ”

“นั่นไม่เท่าไหร่ รีบดูทางตะวันตก บนหน้าห้อยห่วงเหล็กเยอะขนาดนั้น นั่นก็ด้วย ทรงผมเหมือนกับดาบ…”

“ทางนั้นๆ! นักเวทคนนั้นเก่งจริงๆ!”

“ไอ้หยา จริงด้วย เป็นผู้สูงส่งตัวจริง บนตัวมีงูตัวใหญ่พันอยู่ด้วย!”

ตอนชาวบ้านกำลังสนทนากัน ขุนนางจากสำนักหอดูดาวและขุนนางจากกรมพิธีการบนแท่นสูงตรวจสอบนักเวทที่อยู่ข้างล่างเช่นกัน

เหยียนฉางมองคนแปลกๆ พวกนี้แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ จนกระทั่งเห็นขอทานหนึ่งชราหนึ่งเด็กอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนถึงค่อยสบายใจขึ้นไม่น้อย

เมื่อนักเวททุกคนประจำที่ เหยียนฉางพยักหน้าให้ขุนนางในสำนักหอดูดาว จากนั้นก้าวไปส่งสัญญาณมือให้กับทหารอารักขา

เหล่าขุนนางถอยไปยืนในตำแหน่งที่เหมาะสมบนแท่นสูงอย่างช้าๆ ทหารอารักขาที่มีวิชายุทธ์สูงหลายคนยืนตรงริมแท่นสูง แทบจะในวินาทีเดียวกันนั้นเองปราณแท้ทั่วร่างไหลเวียน พวกเขายืดอกตะโกนเสียงดัง

“นักเวททุกท่านขึ้นแท่น…”

ทหารอารักขาทุกคนตะโกนพร้อมกัน คลื่นเสียงดังไปทั้งสี่ทิศ ท่ามกลางนักเวทมากมายข้างล่างถึงกับมีคนเกิดเสียงหึ่งๆ ในหู บางคนฮึกเหิม บางคนกระวนกระวายอย่างชัดเจน ก่อนที่ทุกคนจะพากันขึ้นแท่นไป

ฮ่องเต้หยวนเต๋อที่นั่งอยู่ตรงกลางแท่นพิธีลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ มองไปยังนักเวทหลายแขนงที่ขึ้นมาจากสามทิศทาง เหล่าขุนนางทยอยลุกขึ้นตามเขาเช่นกัน

“ขุนนางเหยียน เซียนรำกระบี่ใต้ดวงจันทร์ที่เจ้าพูดถึงตอนนั้นอยู่ที่นี่หรือไม่”

“เอ่อ…กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของฮ่องเต้ เหยียนฉางไม่กล้าพูดอะไรมากโดยสิ้นเชิง ฮ่องเต้ก็รู้สึกได้จริงๆ ว่าไม่อาจได้คำตอบจากปากเขา เพียงคลายความตึงเครียดที่เกิดจากความคาดหวังลงได้บ้าง

เมื่อนักเวทเหล่านี้ขึ้นมาหมดแล้ว สีหน้าของฮ่องเต้หยวนเต๋อพลันเปลี่ยนจากความคาดหวังเต็มเปี่ยมเป็นเคร่งขรึม บัดนี้กลับไปนั่งที่เดิมแล้ว

หลังจากนั้นเหยียนฉางและขุนนางกรมพิธีการประกาศรายการในงานชุมนุมวารีปฐพีนานมาก ยืดยาวเกินไปอยู่บ้าง นักเวทไม่น้อยง่วงงุนกันหมด

“หากมีผู้ไม่เคารพกฎเกณฑ์ แสร้งว่ามีความสามารถให้ประหารทันที!”

องครักษ์ที่มีวิชายุทธ์ล้ำเลิศสองคนข้างๆ ลุกขึ้นยืนประกาศเสียงดัง

“หากมีผู้ไม่เคารพกฎเกณฑ์ แสร้งว่ามีความสามารถให้ประหารทันที!”

ทันใดนั้นนักเวทมากมายตื่นเต็มตาแล้ว

เหยียนฉางถือประกาศหลวง กล่าวเสียงดัง

“ขอภูผาธาราต้าเจินมั่นคง ขอฝ่าบาททรงอยู่ค้ำฟ้ายาวนานเป็นหมื่นปี!”

ทหารรักษาพระองค์และทหารอารักขาพูดเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง ขุนนางราชสำนักและองค์ชายหลายองค์ก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

“ขอภูผาธาราต้าเจินมั่นคง ขอฝ่าบาททรงอยู่ค้ำฟ้ายาวนานเป็นหมื่นปี!”

นักเวทเหล่านั้นรับรู้ได้ถึงแววตาดุจสายฟ้าของทหารอารักขามากมาย หวนรำลึกถึงรายละเอียดมารยาทที่ได้รับการกำชับก่อนหน้า จึงส่งเสียงดังขึ้นด้วยเช่นกัน

“ขอภูผาธาราต้าเจินมั่นคง ขอฝ่าบาททรงอยู่ค้ำฟ้ายาวนานเป็นหมื่นปี!”

บนแท่นพิธีส่งเสียงดัง ทหารรักษาพระองค์ล่างแท่นก็ตะโกนเสียงดังด้วย ทำให้โดยรอบแท่นพิธีที่ปกคลุมด้วยด้วยกลิ่นอายอันเคร่งขรึมเข้มข้นนี้ แม้แต่ชาวบ้านมากมายก็พูดขึ้นตามอย่างอดไม่ได้

จี้หยวนยืนอยู่รอบนอก สองมือไพล่หลังเงยหน้ามองท้องฟ้าเหนือแท่นพิธี สิ่งที่มองเห็นย่อมเป็นปราณมนุษย์

‘ต้าเจินแห่งนี้มีพื้นเพไม่ตื้นเขิน ถึงแม้ฮ่องเต้หยวนเต๋อจะเริ่มเลอะเลือน แต่ก็ยังห่างจากเวลาหมดลมหายใจอยู่นานโข’

ท่ามกลางคลื่นเสียงนี้ สี่มุมของแท่นพิธีมีทหารกล้ามใหญ่ถือค้อนยืนอยู่หน้าฆ้องทองแดง ชักนำลมปราณทั่วกายแล้วพลันโบกค้อน

ตึง…

เสียงฆ้องสะเทือนฟ้า ประกาศว่างานชุมนุมวารีปฐพีเริ่มต้นขึ้นแล้ว

หลังจากนั้นยิ่งเป็นขั้นตอน ‘สำแดงวิชาฝึกปราณ’ อันแสนยาวนาน นักเวทหลายแขนงบนแท่นหากไม่นั่งขัดสมาธิก็โบกมือสืบเท้า ใช้วิธีของตนเองขอพรจากสวรรค์แทนต้าเจินและฮ่องเต้ จนกระทั่งก่อนจบวันล้วนไม่อาจออกไปได้

ฝ่ายฮ่องเต้และขุนนางใหญ่ทั้งหลายทยอยกันจากไป ใครใคร่กลับวังกลับ ใครใคร่กลับจวนกลับ ทว่าสิ่งที่จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างแท้จริงก็คือผู้สูงส่งนักเวทหลายแขนงซึ่งสำแดงเคล็ดวิชาที่เหลือระหว่างแปดวัน

ฮ่องเต้รู้เช่นกันว่ามีคนเสแสร้งแกล้งทำไม่น้อย คนที่เขาอยากพบย่องเป็นผู้สูงส่งมีอภินิหารอย่างแท้จริง

ท่ามกลางนักเวททั้งกลุ่ม ขอทานชราจูงมือขอทานเด็ก ใช้ดวงตาเย็นชาชำเลืองมองความพิเศษของ ‘นักเวท’ สี่ห้าพันคนนี้ จากนั้นก้มหน้ามองพื้นแท่นพิธี

ขณะที่ปราณมนุษย์เพิ่มขึ้นเต็มที่ บนพื้นแท่นพิธีมีลายตัวอักษรคมชัดค่อยๆ ปรากฏขึ้น หยิบยืมคุณลักษณะปราณของนักเวททั้งหมดอย่างเงียบเชียบ ดึงมันไว้ภายใต้ปราณมนุษย์ ทำให้ประสาทสัมผัสมืดบอดไปมาก

ครืน…

ท้องฟ้ามีเมฆดำหนาแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฟ้าแลบกลางท้องฟ้ากลับไม่มีฝนตก อำนาจฟ้ากดข่มสายนั้นทำให้บนแท่นพิธีที่ไม่ว่าเป็นมนุษย์หรือมารล้วนไม่สงบเป็นเท่าทวี

สูงขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ มีมังกรเจียวเวียนวนอยู่แปดตัว สายฟ้าเมฆดำไม่เพียงเป็นอภินิหารของเผ่ามังกร ยิ่งมีแรงชักนำคุณลักษณะปราณเป็นอย่างสูง

เผ่ามังกรบนท้องฟ้ามองผ่านชั้นเมฆลงไปข้างล่าง บนแท่นพิธีเล็กเหมือนชิ้นขนมนั้น เทียบอักษรยากคาดเดากำลังทอประกายวิญญาณวิบวับ

ครืน…เปรี้ยง…

สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าชั้นเมฆบนฟ้า ฟาดลงบนฆ้องทองแดงมุมหนึ่งของแท่นพิธี ทำเอาชายร่างกำยำและทหารอารักขาโดยรอบรีบกระโจนตัว นักเวทที่อยู่ใกล้เหล่านั้นยิ่งหวาดกลัวไม่เป็นสุข

ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่มุงดูอยู่รอบแท่นพิธีเห็นฟ้าผ่า ต่างก็เร่งฝีเท้ากลับบ้านใครบ้านมัน อย่างไรเสียวันนี้ก็คงไม่เห็นอะไรแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภาพชาวบ้านจากไปนี้นำความไม่สบายมาสู่ผู้เป็นมารนอกรีตมากมายบนแท่นพิธีเข้มข้นนัก