ตอนที่ 253 ขอเข้าขุมนรก

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 253 ขอเข้าขุมนรก

ยามลู่เฉิงเฟิงกล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงเจืออารมณ์ยิ้มเยาะตนเองอย่างชัดเจน

“นึกถึงยามพวกเราเก้าคนรู้จักกันครั้งแรกที่สำนักเขาแสงคล้อย ตอนนั้นยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ…”

ตอนนั้นจอมยุทธ์น้อยรุ่นเยาว์ซึ่งมาจากต่างทิศทางเก้าคนตามผู้อาวุโสมาฝากตัวกับสำนักเขาแสงคล้อย ปีนั้นพวกเขาแต่ละคนจิตใจฮึกเหิม รวมตัวกันแค่สองสามวัน เผยปณิธานหาญกล้าแห่งยุทธภพ ล้วนรู้สึกเสียดายว่าเจอกันช้าไป

บังเอิญได้ยินว่าที่ใดสักแห่งในรัฐจีมีเสือร้ายจู่โจมคน ทั้งทางการท้องถิ่นยังรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง พวกเขาที่ทะนงตนว่ามีวิชายุทธ์จับมือกัน พากันมุ่งหน้าไปอำเภอหนิงอัน

แม้ว่าลู่เฉิงเฟิงบอกว่าเขาจำชื่ออีกแปดคนได้ไม่หมด แต่เรื่องอดีตซึ่งสำคัญบางส่วนผ่านไปแต่ประจักษ์ชัดในสายตา มีเรื่องอีกมากชัดเจนขึ้นมาตามความทรงจำทีละน้อย เมื่อถึงบางช่วงของความทรงจำ คนไหนทำอะไรล้วนพลั้งปากออกมา

จี้หยวนสัมผัสได้ ไม่ใช่เพราะเขาเอ่ยชื่อเก้าคนนั้นออกมาเมื่อครู่ แต่ยามลู่เฉิงเฟิงนึกถึงความทรงจำช่วงนั้นเขาคิดถึงคนผู้นั้นโดยปริยาย ดังนั้นไม่อาจพูดว่าลืมอีกฝ่ายจริงๆ

ระหว่างนี้จี้หยวนไม่พูดจา แค่ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี

ลู่เฉิงเฟิงไม่ได้รำลึกมากนัก พูดถึงแค่ตอนเจอจี้หยวนที่อารามเทพภูเขาซอมซ่อ ด้วยเรื่องภายหลังจี้หยวนรู้หมดแล้ว

เมื่อพูดเรื่องตอนเจอจี้หยวนครั้งแรกตรงอารามเทพภูเขาจบ เขาเงยหน้ามองจี้หยวน

“ท่านจี้ ท่านว่าถ้าตอนนั้นพวกเราไม่อวดเก่งมาอำเภอหนิงอัน ไม่ละเมอเพ้อพกขึ้นเขาปราบเสือ ผลของเรื่องมากมายจะต่างออกไปหรือไม่”

จี้หยวนเคาะนิ้วกับม้วนหยกซึ่งแปลงเป็นม้วนไม้ไผ่ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนยิ้มพลางกล่าวตอบ

“สำหรับจอมยุทธ์ลู่ ตอนนั้นจอมยุทธ์น้อยลู่แค่ลดประสบการณ์เสี่ยงอันตรายช่วงหนึ่ง วงจรชีวิตไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่างแท้จริงแน่นอนว่าคือตู้เหิง รวมถึงลั่วหนิงซวง จ้าวหลง เยี่ยนเฟย”

สิ่งที่จี้หยวนกล่าวคือความจริง ตอนนั้นหากรวมลู่เฉิงเฟิง มีห้าคนที่นอกจากตระหนกแล้วบนตัวไม่บาดเจ็บแต่อย่างใด สี่คนที่บาดเจ็บแต่ละคนล้วนอาการหนัก ผลกระทบของแต่ละคนล้วนหนักหนา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตู้เหิงซึ่งสุดท้ายเสียแขนขวา แม้แต่ลั่วหนิงซวง จอมยุทธ์หญิงซึ่งเดิมผิวพรรณดุจหิมะน้ำแข็งคนหนึ่ง บนตัวตั้งแต่ฐานคอผ่านอกมาถึงท้องทิ้งบาดแผลลึกหลายรอย แทบไม่ต่างอะไรกับเสียโฉม ภายในสังคมระบบศักดินานี้ สุดท้ายยุทธภพก็มีฝ่ายชายเป็นผู้นำ ชะตากรรมจอมยุทธ์หญิงส่วนใหญ่คือแต่งงานออกเรือน ทั้งโลกของหญิงสาวยังเชื่อมต่อด้วยความรักสวยรักงาม บนตัวมีรอยแผลเป็นน่ากลัวถือว่าส่งผลกระทบอย่างมาก

ส่วนจ้าวหลงผู้ถือกระบองถูกหางเสือโจมตีบาดเจ็บ บาดแผลภายในสาหัส หลายปีนี้ไม่ได้ยินข่าวอะไรจากจ้าวหลง ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรกันแน่

ส่วนเยี่ยนเฟยถูกกรงเล็บคมกริบทำร้ายไม่น้อย แต่ตอนนั้นเผชิญหน้ากับปีศาจและความเป็นตาย กลับทำให้เขาบรรลุหลังจากบาดแผลสมาน

กล่าวโดยรวมคือสี่คนนี้ถือว่าได้รับผลกระทบกับชีวิตอย่างแท้จริง ส่วนลู่เฉิงเฟิงกลับห่างไกลนัก

แน่นอนว่าผู้รับผลกระทบมากที่สุดอาจเป็นตัวจี้หยวน ในช่วงเวลายากลำบากที่สุดนั้น ไม่มีใครมาแบกเขาลงเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน ลู่เฉิงเฟิงยิ้มเยาะตนเองอีกครั้ง

“ท่านจี้สอนสั่งถูกต้อง”

จี้หยวนเห็นท่าทางเปี่ยมประสบการณ์และเศร้าสร้อยของเขา ย่อมผ่านเรื่องนึกเสียใจภายหลังสักอย่างหรือบางส่วนมาแน่ เวลาแบบนี้คนเรามักหนีด้วยการคิดย้อนกลับไปยังอดีต อยากเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในตอนนั้น

“จอมยุทธ์ลู่ ระบายความในใจกับข้าคนแซ่จี้ได้ ไม่มีใครกำหนดว่าจอมยุทธ์องอาจบนยุทธภพจมปลักกับความทุกข์ไม่ได้”

จี้หยวนพูดพลางลุกเดินไปห้องครัว หยิบชามดินเผาสองใบมาวางบนโต๊ะหิน เคาะโคลนผนึกไหสุราจนหลุดออกเบาๆ

เขาดมกลิ่นสุราพร้อมเทลงชามสองใบ

สุรานี้มีกลิ่นวัตถุดิบยาจางๆ ไม่ใช่สุราข้าวบ่มผลไม้ทั่วไป

ลู่เฉิงเฟิงไม่เกรงใจเช่นกัน ยกชามขึ้นมาคำนับจี้หยวนก่อนดื่มสุราชามใหญ่จนหมด เมื่อลิ้มรสสุรา ดวงตาเขาแดงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ท่านจี้ ข้าเคยเจอตู้เหิง ข้าอยากถามท่าน…”

ลู่เฉิงเฟิงเงยหน้ามองจี้หยวน สบสายตากับดวงตาพร่ามัวคู่นั้น

“ท่านเป็นเทพเซียนจริงหรือไม่”

ตอนนั้นแม้ว่าจี้หยวนเคยช่วยชีวิตพวกเขา แต่ความจริงยังไม่เผยวิชาอัศจรรย์เกินไปนัก ผู้สูงส่งแน่นอนว่าคือผู้สูงส่ง แต่วัดวาอารามบางส่วนก็มีผู้วิเศษร้ายกาจเช่นกัน

ตามอายุกับประสบการณ์ที่มากขึ้น เขาเริ่มรู้จักผู้สูงส่งเช่นนี้ บ้างลือว่าน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า ความยำเกรงที่มีต่อจี้หยวนดังแต่ก่อนถดถอยตามความคิดทีละน้อย

แต่ก่อนหน้านี้เจอตู้เหิงอีกครั้ง หลังจากรู้เรื่องบางอย่างจากปากเขา ก็ยิ่งตอกย้ำความลึกลับของท่านจี้อีกครั้ง

“ครั้งนี้จอมยุทธ์ลู่มาหาข้าคนแซ่จี้ หรือมาหาเทพเซียนเล่า”

จี้หยวนกล่าวประโยคหนึ่งก่อนดื่มสุราถูซูนี้ สุราไม่ถือว่าร้อนแรงนัก แต่รสขมกลับเข้มข้นมาก

“ท่านจี้ เฉิงเฟิงได้ยินว่าเซียนมากอภินิหารวิชาแก่กล้า อายุยืนเป็นอมตะมีอิสระเหนือโลก ควบคุมเมฆหมอกและท่องเหินกลางขุมนรกได้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

‘ดูท่าว่ามาหาเทพเซียน’

จี้หยวนทอดถอนใจ ไม่หวั่นเกรงอีก มองกลิ่นอายรอบตัวลู่เฉิงเฟิงแล้วนับนิ้วทำนาย เข้าใจเรื่องราวบางอย่างโดยคร่าว

“ว่าไปแล้ว ปีนั้นเรือนสันตินี้จอมยุทธ์ลู่ออกเงินซื้อแทนข้าคนแซ่จี้ เรื่องบางอย่างหากช่วยได้ ข้าคนแซ่จี้ย่อมช่วยเหลือ”

ลู่เฉิงเฟิงกำลังคิดจะเอ่ยปาก จี้หยวนยกมือห้ามเขา ดวงตาสีเทาจ้องมองเขาอย่างเรียบเฉย

“ข้ารู้ว่าบิดามารดาของเจ้าเสียชีวิตไปไม่นาน ทั้งรับรู้ถึงความเศร้าอาดูรในใจจอมยุทธ์ลู่ แต่คนตายไม่อาจฟื้นคืน อย่ากล่าวถึงข้าคนแซ่จี้ซึ่งไม่นับว่าเป็นเซียนต้าหลัวอะไร ต่อให้เป็นจริงก็ไม่อาจทำให้บิดามารดาเจ้าฟื้นคืนชีพ”

จี้หยวนนับนิ้วครู่หนึ่ง คาดเดาเรื่องรอบตัวลู่เฉิงเฟิงได้รางๆ

วันนี้ลู่เฉิงเฟิงเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก

“ท่านจี้เข้าใจผิดแล้ว เฉิงเฟิงไม่ใช่คนโลภไม่รู้จักพอ ไม่ขอวิชาเซียนจากท่านและไม่หวังให้บิดามารดากลับมาบนโลก เพียงแต่…”

“เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าบนโลกนี้มียมโลกจริงหรือไม่ บิดามารดาข้าอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่ ผู้คนมักพูดว่าบิดามารดาถึงแก่กรรมย่อมเข้าฝันบุตรชาย แต่ข้า ข้ากลับไม่เคยฝันถึงสักครั้ง…”

หลายปีนี้ลู่เฉิงเฟิงเคยภาคภูมิ หยิ่งทะนง ได้รับอะไรมากมาย อีกทั้งสูญเสียไปมาก การเสียชีวิตโดยไม่คาดฝันของบิดามารดา ทำให้หอเมฆาตระกูลลู่เหมือนถล่มลงมาอย่างกะทันหัน เผชิญหน้ากับการโจมตีภายนอกหรือภายในอย่างต่อเนื่อง

เวลานี้ลู่เฉิงเฟิงเพิ่งเข้าใจ ความภาคภูมิใจในอดีตเป็นแค่วิมานในอากาศ เปราะบางเหมือนชื่อเสียงบนยุทธภพซึ่งไม่ได้สร้างจากความสามารถที่แท้จริงของเขา เมื่อเสียการคุ้มครองจากบิดา ในเวลาอันสั้นแม้มีเหล่าสหายเก่าของบิดาคอยช่วย แต่นานเข้าการดูหมิ่นนานัปการก็มาเยือนไม่ขาดสาย

มีผู้มาหาเรื่อง ผู้สังเกตเห็นผลประโยชน์จากฐานะบนยุทธภพของหอเมฆาก็ไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกจอมยุทธ์ที่วางแผนท้าประลองวิชากรงเล็บวิชาฝ่ามือตระกูลลู่เพื่อยกระดับชื่อเสียงบนยุทธภพ

การต่อสู้และยุทธภพล้วนเป็นเช่นนี้ ขุมอำนาจบนยุทธภพได้รับการคุ้มครองจากทางการน้อยนัก เมื่อไม่มีวิชายุทธ์และความสามารถของบิดา คิดจะรักษาตัวให้รอดย่อมต้องแบกรับความอัดอั้นและความจนปัญญามากขึ้น ลู่เฉิงเฟิงยังเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่ลู่เฉิงอวิ๋นซึ่งมีฐานะเป็นเสาหลักของหอเมฆาในปัจจุบันยิ่งหนักกว่า

สิ่งที่ต่างกันคือลู่เฉิงอวิ๋นนิสัยเด็ดเดี่ยวมั่นคง ต้านแรงกดดันอย่างแข็งกร้าว ส่วนเขาลู่เฉิงเฟิงทนไม่ไหว ถูกความจริงบดทำลาย นอกจากฝึกยุทธ์สุดชีวิตในเงามืด ภายในสายตาคนนอกเขากลายเป็นลูกหลานหมดสภาพดื่มเหล้าเมาทั้งวัน คุณชายน้อยแห่งหอเมฆาหายไปแล้ว

รอเมื่อมารดาซึ่งทะนุถนอมตนที่สุดป่วยหนักตายจากไป ลู่เฉิงเฟิงยิ่งเกลียดตนเอง เคียดแค้นตนว่าวิชายุทธ์ไม่ดีพอ ทั้งไม่มีพรสวรรค์มากพอ เกลียดความไร้สามารถของตน อิจฉาถึงขั้นริษยาพี่ชายของตนอยู่บ้าง

ลู่เฉิงอวิ๋น ‘แข็งแกร่ง’ เช่นนี้ แข็งแกร่งถึงขั้นใจกว้างกับน้องชายไม่ได้ความอย่างเขา กัดฟันกล้ำกลืนค้ำจุนหอเมฆาได้ ส่วนเขาลู่เฉิงเฟิงกลับทนแรงกดดันและแขวนหน้าไม่อยู่ วิชายุทธ์ไม่เท่าไหร่ ช่วยอะไรไม่ได้สักนิด สำหรับลู่เฉิงเฟิงที่หวังสูงเกินไปถือเป็นความสิ้นหวังอย่างหนึ่ง

ส่วนการตายของมารดา ยิ่งเหมือนการจู่โจมความสิ้นหวังจนละเอียด สิ่งที่ตามมาคือความเชื่อมั่นพังทลายโดยสิ้นเชิง

เรื่องพวกนี้ลู่เฉิงเฟิงไม่กล้าบอกท่านจี้โดยละเอียด แต่รู้สึกว่าดวงตาสีเทาทั้งสองของท่านจี้เหมือนมองใจคนออก คล้ายมองเห็นเรื่องทุกอย่างนี้

“ท่านจี้ คนตายกลายเป็นผีจริงหรือ บิดามารดาของข้าดูถูกคนไร้ประโยชน์อย่างข้าหรือไม่ หากท่านเป็นเทพเซียนจริง พาข้าลงขุมนรกไปเจอพวกเขาได้หรือไม่”

นี่คือข้อเรียกร้องไร้สาระอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าลู่เฉิงเฟิงเคยถามผู้วิเศษมาเท่าไหร่ ไปศาลเจ้าไม่รู้กี่แห่ง ต่อให้รู้อยู่ว่าความเป็นไปได้ไม่มาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจี้ เขากลับถามอย่างคาดหวังอีกครั้ง

จี้หยวนดื่มสุราในชาม ไม่ได้ตอบทันที แต่ลุกขึ้นเดินไปสองก้าว กระทั่งมาถึงนอกร่มเงา เขามองไปบนท้องฟ้า

“จอมยุทธ์ลู่เคยได้รับมามาก ทั้งสูญเสียไปมาก แต่สิ่งนี้ล้วนเป็นอดีต ดวงตะวันยังอยู่ ยามมืดแค่เมฆบัง เมฆดำย่อมมีวันซ่านสลาย แสงแดดย่อมสาดส่องสู่ผืนดิน”

จี้หยวนหันกลับมามองลู่เฉิงเฟิง

“สำหรับบิดามารดาเจ้า อายุขัยในปรโลกน่าจะยังไม่สิ้นสุด ข้าคนแซ่จี้จะพาเจ้าไปเจอพวกเขาแล้วกัน”