ตอนที่ 254 เปลี่ยนแปลงด้วยฝันเดียว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 254 เปลี่ยนแปลงด้วยฝันเดียว

ได้ยินคำพูดของจี้หยวน ลู่เฉิงเฟิงซึ่งเดิมเตรียมตัวผิดหวังอึ้งงันครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยได้สติกลับมาว่าท่านจี้พูดอะไร

“ท่านจี้ ท่านพูดจริงหรือ”

ลู่เฉิงเฟิงลุกขึ้นจากม้านั่งหินทันที เผยสีหน้าตกใจมองจี้หยวน

“มีศาลมืดจริงหรือ ท่านเป็นเทพเซียนจริงหรือ”

จี้หยวนนั่งลงข้างโต๊ะอีกครั้ง รินสุราถูซูชามหนึ่งให้ตัวเอง หลังจากลิ้มรสเขาค่อยมองลู่เฉิงเฟิงอีกครั้ง

“จอมยุทธ์ลู่น่าจะเป็นคนอำเภออวี้ชางจังหวัดเต๋อเซิ่งกระมัง”

“ถูกต้อง แม้ว่าอำเภออวี้ชางไม่ใหญ่ แต่เป็นเขตเชื่อมต่อของจังหวัดเต๋อเซิ่งกับจังหวัดเทียนเยวี่ย ถือว่าเจริญรุ่งเรือง บนยุทธภพด้วยการมีอยู่ของหอเมฆาจึงมีชื่อเสียงอยู่บ้าง”

จี้หยวนพยักหน้า มือในแขนเสื้อนับนิ้วเล็กน้อยก็รู้ว่าอำเภออวี้ชางไม่มีเทพหลักเมืองท้องถิ่น แต่อยู่ใต้การปกครองของจังหวัดเต๋อเซิ่ง

“ท่านจี้ พวกเราออกเดินทางเมื่อไหร่ ศาลมืดไปอย่างไร”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คำพูดจากปากท่านจี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อมั่น แค่เพียงพริบตาลู่เฉิงเฟิงก็ละทิ้งความสงสัย เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นและกระวนกระวายขึ้นมา

จี้หยวนมองเขาพลางกล่าว

“จอมยุทธ์ลู่ ดื่มสุรามากขนาดนี้ ไม่เมาหรือ”

“หา? ข้าเพิ่งดื่มไปชามเดียว ไม่มีทางเมา… หรอก…”

ในสายตาลู่เฉิงเฟิงใบหน้าจี้หยวนพร่ามัวเรื่อยๆ หรือกล่าวว่าตนเวียนศีรษะขึ้นเรื่อยๆ โคลงเคลงครู่หนึ่งเท้ายืนไม่มั่นคง เขานั่งบนม้านั่งหิน จากนั้นค่อยตัวอ่อนยวบหมอบลงบนโต๊ะ

คราวนี้หนังตาเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็เข้าสู่แดนฝัน

“เฮ้อ…”

จี้หยวนซึ่งใช้วิชามายาสะกดจิตลู่เฉิงเฟิงถอนใจเบาๆ

จากนั้นจี้หยวนยื่นมือตบตัวลู่เฉิงเฟิง ลู่เฉิงเฟิงกึ่งโปร่งแสงถูกตบออกมาจากร่าง ท่าทางสับสนมึนงงดูอึ้งงันอยู่บ้าง

แม้ว่าไม่เคยเรียนวิชาดึงวิญญาณมาโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้จี้หยวนคิดพลิกแพลงจนทำได้เช่นนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากนัก แค่วิธีการหยาบหน่อยเท่านั้น

“ดูแลกายเนื้อของเขาให้ดี”

จี้หยวนกล่าวกับต้นพุทราก่อนสะบัดแขนเสื้อ ลู่เฉิงเฟิงซึ่งดูอึ้งงันคนนี้ถูกเก็บเข้าแขนเสื้อ จากนั้นจี้หยวนย่างเท้าไปหนึ่งก้าว ร่างลอยขึ้นจากพื้น เพียงชั่วขณะก็หายไปบนฟ้า

ใต้ต้นพุทราบนโต๊ะหิน ลู่เฉิงเฟิงยังขยับปากขมุบขมิบตลอด คล้ายว่ากำลังฝัน

ผ่านไปราวไม่ถึงครึ่งชั่วยาม จี้หยวนปรากฏตัวอยู่นอกศาลหลักเมืองจังหวัดเต๋อเซิ่งแล้ว เมื่อสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง เบื้องหน้าหยินหยางสับเปลี่ยน กลายเป็นหน้าประตูนรกของศาลมืด

ปราณหยินที่นี่เข้มข้นมาก ทั้งเป็นเขตแดนระหว่างหยินหยาง ตัดขาดจากแสงแดด

เวลานี้จี้หยวนค่อยปล่อยวิญญาณลู่เฉิงเฟิงในแขนเสื้อออกมา ฝ่ายหลังถูกปราณหยินพุ่งเข้าใส่ทำให้ได้สติกลับมา มองซ้ายมองขวาเห็นจี้หยวนอยู่ข้างกาย เขาค่อนข้างสบายใจ

ตอนนี้มาถึงยมโลก ร่างกึ่งโปร่งแสงของลู่เฉิงเฟิงกลับเหมือนกายเนื้อร่างจริง ไม่ดูว่างเปล่าอีก

“ท่านจี้ พวกเราอยู่ที่ไหน ทำไมรู้สึกมืดเช่นนี้ เมื่อครู่ยังกลางวันอยู่ไม่ใช่หรือ ที่นี่ไม่ค่อยเหมือนลานบ้านของท่านเลย”

“อยู่ที่ไหน หึๆๆ…”

จี้หยวนหัวเราะ ยื่นมือชี้ไปข้างหน้าพลางกล่าว

“เจ้าว่าอยู่ที่ไหนเล่า”

ลู่เฉิงเฟิงมองตามนิ้วมือจี้หยวนไป สิ่งปลูกสร้างคล้ายด่านเมืองอยู่ตรงหน้า แผ่นป้ายบนนั้นมีตัวอักษรเจือแสงสลัว เขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘ประตูนรกจังหวัดเต๋อเซิ่ง’

“ประตูนรกจังหวัดเต๋อเซิ่ง… ประตูนรก!”

ลู่เฉิงเฟิงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน รู้สึกถึงความเยียบเย็นระลอกหนึ่งทันที เดินเข้าใกล้จี้หยวนตามจิตใต้สำนึก

“ทำไม จอมยุทธ์ลู่กลัวหรือ หึๆ ตอนนี้กลัวก็สายไปแล้ว ไปเถอะ!”

จี้หยวนไม่ลากเขา ตนเดินออกจากเขตเชื่อมต่อหยินหยาง ก้าวไปทางประตูนรกก่อน ลู่เฉิงเฟิงเหลือบมองไปด้านหลัง ถึงกับเห็นฝูงชนขวักไขว่ในโลกภายนอกอยู่รางๆ เขาลังเลครู่หนึ่ง แต่ยังตามจี้หยวนไป

ทั้งสองคนออกจากเขตเชื่อมต่อหยินหยาง ยมทูตดำเฝ้าประตูศาลมืดเห็นพวกเขาทันที

“ผู้มาเยือนเป็นใคร เหตุใดถึงบุกเข้าเขตศาลมืดจังหวัดเต๋อเซิ่ง”

แต่ยังไม่รอให้จี้หยวนกล่าว เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ หลังจากเห็นผู้มาเยือนชัดเจน ยมทูตดำสองสามคนตกตะลึงทันที รีบค้อมตัวคารวะ

“คารวะท่านจี้!”

“ที่แท้ก็เป็นท่านจี้มาเยือนศาลมืด ท่านโปรดรอสักครู่ พวกเราจะแจ้งใต้เท้าหลักเมืองทันที!”

ยมทูตดำคนหนึ่งกล่าวเช่นนี้ ก่อนเข้าประตูนรกไปทันที

จี้หยวนประหลาดใจอยู่บ้าง ยมทูตดำบางคนจำตนได้ไม่ถือว่าแปลก แต่ทำไมยมทูตดำใกล้ประตูนรกเหล่านี้เหมือนรู้จักตนกันหมด

สิ่งที่เขาไม่รู้คือ ‘สอนเทพท่องโลก’ เป็นภาพมีชื่อเสียงของศาลมืดจังหวัดเต๋อเซิ่งแล้ว แขวนอยู่ในโถงกรมบุญบาป

เดิมเรื่องสอนเทพท่องโลกอัศจรรย์ยิ่ง แม้ว่าไม่แพร่งพรายสู่ภายนอก แต่ในศาลมืดจังหวัดเต๋อเซิ่งกลับแพร่หลายมาก ยมทูตดำส่วนใหญ่ล้วนเคยได้ยิน แต่ไม่มีวาสนาได้เห็น กอปรกับยมทูตดำไม่มากก็น้อยมักหาเรื่องวิ่งไปยังกรมบุญบาป เมื่อเห็นภาพนั้นส่วนใหญ่ล้วนแอบมองโดยละเอียด

ลู่เฉิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างตกใจมากกว่ายินดี คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ยมทูตดำยังรู้จักท่านจี้ แต่ตอนนี้เขาตกใจเร็วเกินไปแล้ว

รอเมื่อเข้าสู่ศาลมืด เทพหลักเมืองจังหวัดเต๋อเซิ่งมาพบตรงโถงหลักเมือง ทั้งมาสอบถามและส่งคนตามหาบิดามารดาตระกูลลู่ซึ่งเสียชีวิตไปด้วยตัวเอง คราวนี้จึงทำให้ลู่เฉิงเฟิงรู้ว่าท่านจี้มีความสามารถมากแค่ไหนกันแน่

ครั้งนี้ไม่ได้พาบิดามารดาตระกูลลู่มาตรงโถงบางแห่งของศาลมืดโดยเฉพาะ แต่พาลู่เฉิงเฟิงไปเรือนหยินของตระกูลลู่

ยามลู่เฉิงเฟิงเจอบิดามารดาตน เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หลังจากร้องเรียก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่’ เขาวิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าวิญญาณสองตน

ส่วนบิดามารดาตระกูลลู่ตอนแรกคิดว่าลู่เฉิงเฟิงตายด้วย ไม่วายโศกเศร้าเช่นกัน เวลานี้จี้หยวนจึงรู้ว่าผีก็ร้องไห้ได้

ทว่าความเศร้าเช่นนี้สืบเนื่องไม่นานนัก เมื่อทราบว่าลู่เฉิงเฟิงไม่ตาย แต่ขอร้องคนพาตนมาศาลมืดเพื่อหาบิดามารดา ผู้อาวุโสสองคนอึ้งงันครู่หนึ่ง สั่งสอนบุตรชายยกใหญ่ทันที

หาเรื่องมาสถานที่อย่างศาลมืดด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขาผู้เป็นพ่อแม่โกรธจนควันออกหูจริงๆ ลู่เฉิงเฟิงซึ่งกำลังเศร้าอาดูรถูกต่อว่าจนมึนงง จี้หยวนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเห็นแล้วอยากหัวเราะ

รอเมื่อลู่เฉิงเฟิงตามจี้หยวนออกมาจากศาลมืด สีหน้ายังมึนงงอยู่บ้าง ตั้งแต่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ บิดามารดาไม่เคยต่อว่าเขาเช่นนี้มาก่อน

“จอมยุทธ์ลู่รู้สึกอย่างไรบ้าง”

นอกประตูนรก จี้หยวนถามอย่างหยอกล้อ ความรู้สึกของลู่เฉิงเฟิงสับเปลี่ยนหลายครั้ง สุดท้ายค่อยเผยรอยยิ้ม

“รู้สึก… ซับซ้อนอยู่บ้าง…”

“ฮ่าๆๆ…”

จี้หยวนหัวเราะ ยกมือเก็บวิญญาณเขาเข้าแขนเสื้อ ออกจากศาลมืดกลับอำเภอหนิงอันไปทั้งอย่างนั้น

ภายใต้ต้นพุทรากลางเรือนสันติ มีแสงแดดพร่างพร้อยสายหนึ่งลอดผ่านช่องว่างของกิ่งใบซึ่งส่ายไหวตามลมพอดี กระทบลงบนใบหน้าของลู่เฉิงเฟิง

“อะ… อืม…”

ได้รับแรงกระตุ้นจากเส้นแสงนี้ ลู่เฉิงเฟิงซึ่งกำลังหลับฝันตื่นขึ้นมาช้าๆ เงยหน้ามองโดยรอบ นึกได้ว่าอยู่ในบ้านท่านจี้ เมื่อมองบนโต๊ะอีกครั้ง สุราถูซูกับชามสุราวางอยู่ตรงนั้น แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของจี้หยวน

“เมื่อครู่… ข้าดื่มจนเมาหรือ”

ความทรงจำเลือนรางอยู่บ้าง คล้ายว่ามาถึงกลางลานแล้วเพิ่งดื่มสุรากับท่านจี้เล็กน้อย ก่อนเมาพับอยู่หน้าโต๊ะ

“เหมือนว่าฝันไป…”

ยามคิดเช่นนี้เขานึกถึงเรื่องในฝันขึ้นมากะทันหัน เรื่องอื่นเลือนรางยิ่ง สิ่งเดียวที่จำได้ชัดเจนคือเขาฝันถึงบิดามารดา ทั้งยังถูกบิดามารดาต่อว่า โดนต่อว่าอย่างหนัก แต่เสียงต่อว่านั้นกลับไม่เสียดหูแม้แต่น้อย บางครั้งยังต่อว่าถึงลู่เฉิงอวิ๋นยกใหญ่

ภายในเสียงต่อว่าเจือความห่วงใยพวกเขาสองพี่น้อง ไม่กล่าวถึงหอเมฆาแม้แต่น้อย

ลู่เฉิงเฟิงคิดพลางส่งเสียงหัวเราะดัง ‘แหะๆๆ’

“จอมยุทธ์ลู่ตื่นแล้วหรือ ข้าคนแซ่จี้ต้มชาแก้เมาไว้ ลองชิมชาน้ำผึ้งดอกพุทราของข้าเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ดื่มเชียวนะ”

จี้หยวนมองลู่เฉิงเฟิงซึ่งยิ้มโง่อยู่ เขายกถาดรองชาออกมาจากห้องครัวด้วยรอยยิ้ม นั่งลงหน้าโต๊ะก่อนรินน้ำชาหยดน้ำผึ้งส่งให้ลู่เฉิงเฟิง

น้ำชาอึกหนึ่งลงสู่ท้อง ความปรารถนาจะระบายความในใจของลู่เฉิงเฟิงเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง

อาศัยชาน้ำผึ้งหอมกรุ่น ครั้งนี้ลู่เฉิงเฟิงไม่ได้ปกปิดซ่อนงำ บอกเล่าความเปลี่ยนแปลงช่วงหลายปีนี้กับจี้หยวน หลังจากพูดเรื่องพวกนี้เสร็จ เขายังกล่าวถึงเรื่องฝันเห็นบิดามารดาและถูกด่า ทั้งยังให้จี้หยวนช่วยทำนายฝัน

จี้หยวนเห็นเขาจำเรื่องศาลมืดส่วนใหญ่ได้เลือนราง แต่จำช่วงถูกบิดามารดาด่าเปิงได้ฝังลึก นอกจากเย้ยตนเองในใจว่าฝีมือหยาบสู้ยมทูตดำไม่ได้แล้ว เขากลับรู้สึกว่าแบบนี้เหมาะสมกว่า

ช่วงบ่ายผ่านไปกว่าครึ่ง ลู่เฉิงเฟิงไม่เรียกร้องเรื่องอื่นอีก คล้ายว่าแค่มาระบายความในใจจริงๆ เขาซึ่งปล่อยวางลงได้ย่อมรู้จักพอ

หลังจากดื่มน้ำชากาหนึ่งหมด ลู่เฉิงเฟิงลุกขึ้นบอกลาอย่างเป็นธรรมชาติ

“วันนี้พูดคุยกับท่านจี้ ทำให้เฉิงเฟิงบรรเทาจิตใจโศกเศร้า หอเมฆายังมีธุระติดพัน เฉิงเฟิงไม่รบกวนแล้ว!”

จี้หยวนยิ้มพลางคารวะตอบ

“ได้ จอมยุทธ์ลู่เดินทางปลอดภัย ช่วยพี่ชายดูแลหอเมฆาให้ดี ถือเป็นวีรกรรมกล้าหาญไม่ด้อยกว่าการท่องยุทธภพ!”

ลู่เฉิงเฟิงพยักหน้าเคร่งขรึม ประสานมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากบอกลาเขาสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป

จริงอยู่ว่าเขาเคยฟังตู้เหิงพูดถึงความอัศจรรย์ของท่านจี้มาบ้าง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่ต้องขออะไรกับท่านจี้แล้ว

ยามใกล้ก้าวออกจากเงาต้นไม้ ในหูได้ยินเสียงแหวกอากาศดังมา ลู่เฉิงเฟิงสะบัดมือตามจิตใต้สำนึก คว้าพุทราแดงเพลิงผลหนึ่งมาจากเหนือศีรษะ

เมื่อเงยหน้ามองด้านบน ใบไม้เขียวขจีเหมือนไม่มีผลพุทรา ยามลมพัดกิ่งไหวจึงเห็นสีแดงสดเป็นครั้งคราว

“นี่มัน? ท่านจี้ ผลไม้ของท่านหล่นลงมาแล้ว”

จี้หยวนโบกมือเล็กน้อย ชี้ไปทางต้นพุทรา

“รับไว้เถอะ มันมอบให้เจ้า”

“ฮ่าๆๆๆ… ได้ ขอบคุณท่านจี้ เฉิงเฟิงขอตัวก่อน!”

ยามมาฝีเท้าหนักอึ้ง ยามไปมือเท้ากลับว่องไว จี้หยวนส่งถึงประตูเรือน ทอดมองกลิ่นอายเขาอีกครั้ง จิตใจปลอดโปร่งจนฮึกเหิมแล้ว ทั้งหมดเปลี่ยนแปลงด้วยฝันเดียว