ตอนที่ 256 นักเล่าเรื่อง

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 256 นักเล่าเรื่อง

หวังลี่สวมชุดคลุมยาวสีเทา เดินโซซัดโซเซบนถนนเงียบเหงากลางเมือง ด้วยตอนนี้ฟ้าเพิ่งสว่างไม่นานนัก คนสัญจรบางตาเป็นพิเศษ

“เฮือก… ฮู่ว…”

หวังลี่รู้สึกว่าลมยามเช้าตรู่มีความหนาวเย็นซัดโหม ตัวเขาพลันสั่นเทา

แรกเมาสุรายังอุ่นร้อน ผ่านไปไม่นานรู้สึกหนาว โดยเฉพาะบนถนนยามเช้าหลังฝนช่วงฤดูใบไม้ผลิ

เขาเขย่าไหสุราในมือเล็กน้อย ภายในไม่มีสุราแล้ว หวังลี่เหวี่ยงทิ้งลวกๆ

ไหสุราลอยเป็นเส้นโค้ง กระทบพื้นถนนซึ่งห่างไปไม่ไกล

เพล้ง…

เมื่อเสียงชัดกระจ่างดังขึ้น ไหสุราแตกละเอียดโดยสมบูรณ์ ส่วนหวังลี่กลับเดินโซซัดโซเซห่างออกไป

จี้หยวนก้มมองเศษดินเผาข้างเท้าตน ทั้งมองหวังลี่ซึ่งเดินโซซัดโซเซห่างออกไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ สถานการณ์ปัจจุบันของคนผู้นี้ต่างจากที่ตนคิดอยู่บ้าง

“หวั่นเอ๋อร์… หวั่นเอ๋อร์…”

หวังลี่กล่าวพึมพำ สวมเสื้อรัดกุมเดินต่อไป ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่เมืองหลวงแล้ว แต่อยู่จังหวัดเฉิงซู่ทางตะวันออกของเมืองหลวงติดแม่น้ำเทียมฟ้า ภายในเขตรัฐโยว

เหมือนทุกครั้งยามหวังลี่มาอยู่สถานที่ใหม่ ตำแหน่งที่อยู่คือบ้านคนทั่วไป เช่าห้องริมหนึ่งในนั้นจากเจ้าของบ้าน อาศัยระยะยาวย่อมคุ้มค่ากว่าสถานที่อย่างโรงเตี๊ยมมาก

“หะ… หาว… โอ้ คุณชายหวังท่านเพิ่งกลับมาหรือ”

ชายเจ้าของบ้านบิดขี้เกียจออกมาจากห้องพอดี เมื่อเห็นหวังลี่ซึ่งซวนเซอยู่บ้างจึงส่งเสียงทักทาย

“แหะๆ อรุณสวัสดิ์…”

หวังลี่ประสานมือตัวเอียง เดินไปหน้าห้องริมของตน เปิดประตูซวนเซคว้าลูกบิดถลาเข้าไป ด้วยมือจับลูกบิดแน่นจึงไม่สะดุดล้มลงทั้งตัว

“ไอ้หยา! คุณชายหวังท่านดื่มสุราไปเท่าไหร่กัน!”

ชายเจ้าของบ้านรีบเข้าไปประคองหวังลี่ลงบนเตียง

“ขะ ขอบคุณ…”

หวังลี่ล้มตัวลงบนเตียงก่อนประสานมืออย่างเลอะเลือน จากนั้นค่อยดึงผ้าห่มมาคลุมครึ่งหนึ่ง ไม่นานก็ส่งเสียงกรน

“จิ๊ๆๆๆๆ…”

ชายเจ้าของบ้านส่ายหัว ถอยออกจากห้องก่อนปิดประตู

ภายในเรือนหลักด้านหลังหญิงเจ้าของบ้านสวมชุดออกมา เห็นชายเจ้าของบ้านเพิ่งออกมาจากห้องริม นางเอ่ยถามเสียงเบาอย่างถนัดปาก

“ดื่มเยอะอีกแล้วหรือ”

“อืม… ดื่มไปไม่น้อย ผล็อยหลับไปแล้ว”

“ยามคุณชายหวังคนนี้เพิ่งมายังดีอยู่เลย ตอนนี้กลับเป็นเช่นนี้ตลอด”

“พวกเราเองไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย ขอแค่เขายังจ่ายเงินค่าห้องก็พอแล้ว”

ทั้งสองคนกระซิบพลางกลับไปบ้วนปากล้างหน้า

กระทั่งตะวันคล้อยลงทางตะวันตก หวังลี่ซึ่งนอนอยู่บนเตียงค่อยตื่นขึ้นมา นวดขมับหยัดตัวนั่งบนเตียง มองโดยรอบอย่างมึนงงอยู่บ้าง ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับมาทีละน้อย

สีหน้าหวังลี่ซีดเผือดอยู่บ้าง เขาเลิกผ้าห่มลงจากเตียงก่อนเปิดประตูห้อง แสงอาทิตย์อัสดงแสบตาจนเขาลืมตาไม่ขึ้น ห้องครัวด้านข้างมีควันอาหารลอยล่อง

“คุณชายหวัง ท่านตื่นแล้วหรือ”

หญิงเจ้าของบ้านซึ่งกำลังตากผ้าเห็นหวังลี่เดินออกมา นางยิ้มพลางกล่าวทักทาย

“ซ้อหลิว ตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว”

“พวกเราเองไม่ได้ดูนาฬิกาแดด แต่คาดว่าใกล้ยามโหย่ว[1]แล้วกระมัง ท่านตื่นมาพอดี วันนี้มีปลากิน…”

“ยามโหย่ว? ข้าต้องรีบไปแล้ว…”

เมื่อหวังลี่ได้ยินเวลา เขารีบตบหน้าตัวเอง จากนั้นจึงกลับห้องเก็บของ พัดกระดาษ ไม้เคาะ ตำรา… ทั้งหมดล้วนเก็บเข้าห่อผ้าใบหนึ่ง จากนั้นค่อยถือห่อผ้ารีบออกไปอีกครั้ง

“เฮ้ยๆ คุณชายหวัง ไม่กินข้าวหรือ”

“ไม่กินแล้วๆ ข้ารีบไปเล่าเรื่อง!”

หวังลี่วิ่งออกจากเรือนด้วยท่าทางเร่งรีบ วันนี้ต้องไปเล่าเรื่องที่หอสุราใหญ่แห่งหนึ่ง มีเศรษฐีเหมาหอสุราจัดงานเลี้ยง เชิญแขกมาร่วมยินดีกับบุตรชายที่มีชื่อบนกระดานวสันต์[2] มีคุณสมบัติเป็นขุนนาง

ตอนนี้ยามโหย่วแล้ว ดีไม่ดียามนี้หอสุราคงเริ่มงานเลี้ยงแล้ว หากเริ่มงานเลี้ยงแล้วนักเล่าเรื่องอย่างหวังลี่ยังไปไม่ถึงย่อมถือว่าผิดสัญญา ไม่เพียงอย่าหวังรับเงินส่วนหลัง เงินมัดจำยังต้องคืนด้วย แต่เงินมัดจำใช้ไปหมดแล้ว

ตอนนี้บนถนนผู้คนสัญจรไปมา หวังลี่ท่าทางเร่งรีบ ไม่เช็ดเหงื่อวิ่งเหยาะไปข้างหน้าตลอด รีบร้อนมาถึงนอกหอร่มเย็นบนถนนรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ก่อนหอบหายใจเหมือนวัว

“ฮู่…ฮู่…ฮู่…ฮู่…”

ตอนนี้นอกหอร่มเย็นกำลังมีคนต้อนรับแขก ผู้มีเกียรติทั้งชราและเยาว์วัยทยอยเดินเข้าไปในหอ เมื่อมาถึงนอกหอล้วนประสานมือก่อน

“ท่านเกา ยินดีด้วยๆ!” “คุณชายเกาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย!”

“ฮ่าๆๆๆ… ขอบคุณๆ เชิญเข้ามาก่อน!”

“ท่านเกามีวาสนานัก บุตรชายท่านสอบขุนนางผ่าน ภายหน้าย่อมต่างจากสามัญชนอย่างพวกเราแล้ว!”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ…”

“ท่านเกา คุณชายเกา ภายหน้าต้องดูแลชาวบ้านตัวน้อยอย่างพวกเราหน่อยนะ!”

“ฮ่าๆๆ ท่านหวัง ถ้าท่านเป็นชาวบ้านตัวน้อย ตระกูลเกาของข้าไม่เป็นพ่อค้าเร่ในตลาดหรือ ฮ่าๆๆๆ… รีบเข้ามาเถอะ!”

“ท่านลุงหวังเกรงใจไปแล้ว!”

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

คนตระกูลเกาต้อนรับแขกอยู่ข้างนอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ประสานมือคารวะตอบอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ดูรื่นเริงยิ่งกว่างานมงคลสมรส

หวังลี่พิงกำแพงหอบหายใจหนักอยู่ห่างไปไม่ไกล เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เขาผ่อนคลายลง แต่ในใจกลับเป่าปากโล่งอก ดูท่าว่างานเลี้ยงคงยังไม่เริ่ม

หลังจากผ่อนลมหายใจครู่หนึ่ง หวังลี่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า จัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย ใช้ห่อผ้าด้านหลังเช็ดเหงื่อบนหน้าและลำคอ คราวนี้ฝีเท้าค่อยกลับมาราบเรียบ เดินไปทางหอร่มเย็น

หวังลี่ยังไม่เข้าใกล้ก็ยิ้มประสานมือกล่าวยินดีแล้ว

“ท่านเกา คุณชายเกา ยินดีด้วยๆ ข้าคนแซ่หวังไม่ได้มาช้ากระมัง”

ท่านเกาคือชายชราชุดแพรผู้กระตือรือร้น คุณชายเกาเองรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองคนคารวะตอบอย่างสุภาพ

“คุณชายหวังมาได้เวลาพอดี งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม ข้าสั่งคนครัวเตรียมอาหารไว้ให้ท่านล่วงหน้าแล้ว หลังจากเข้าไปจะมีคนต้อนรับท่าน!”

“ได้ ขอบคุณท่านเกามาก!”

หวังลี่ประสานมืออีกครั้งก่อนรีบเข้าหอร่มเย็นไป ตอนนี้เขาทั้งหิวทั้งกระหาย การจัดเตรียมของท่านเกาตรงใจเขาพอดี

ในฐานะนักเล่าเรื่อง อีกเดี๋ยวต้องสร้างความบันเทิงแก่แขกในงานเลี้ยง คนอื่นกินไปฟังไปได้ หวังลี่กินไปพูดไปไม่ได้ พิจารณาว่าการเล่าเรื่องเป็นงานออกแรง แน่นอนว่าต้องกินข้าวก่อนล่วงหน้า

เมื่อเดินเข้าหอสุรามามีเด็กรับใช้พาหวังลี่ไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสองทันที มีโต๊ะตัวใหญ่เตรียมอาหารพร้อมสรรพแล้ว แต่คนกินข้าวไม่ได้มีแค่หวังลี่คนเดียว ยังมีหญิงบรรเลงฉินเส้อประสานบางส่วน พวกนางขยับตะเกียบเริ่มทานกันก่อนแล้ว เห็นชัดว่าหวังลี่มาสายอยู่บ้าง

“คุณชายหวัง เชิญทานที่นี่เถอะ”

“ได้ ขอบคุณมาก”

เด็กรับใช้ไม่กล่าวอะไรอีก จากไปทำธุระของตนต่อ

หวังลี่ทักทายทุกคนในห้องอย่างอักอ่วนอยู่บ้าง เมื่อตนนั่งลงเริ่มรับประทาน ด้วยทั้งหิวทั้งกระหาย แน่นอนว่ากินดื่มอย่างเอร็ดอร่อย เหล่าหญิงสาวด้านข้างเห็นแล้วอมยิ้มไม่หยุด

ผ่านไปครู่หนึ่ง แขกซึ่งรวมตัวมาหอร่มเย็นเริ่มทยอยน้อยลงแล้ว ท่านเกาซึ่งยิ้มหัวเราะมานานจนกล้ามเนื้อใบหน้าเริ่มปวดคิดเข้าไปในหอสุรา ส่วนคุณชายเกาเข้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว

“ท่านเกา ยินดีด้วยๆ ยินดีที่บุตรชายท่านสอบขุนนางผ่าน!”

เสียงชัดถ้อยชัดคำราบเรียบแต่ไม่ขาดพลังดังขึ้น ทำให้ท่านเกากับบ่าวข้างกายซึ่งเตรียมเข้าไปทั้งเพิ่งหันหลังหมุนตัวกลับมาตามจิตใต้สำนึก พบว่าข้างนอกมีคุณชายชุดเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ นอกจากปิ่นหยกดำบนศีรษะแล้ว บนตัวไม่มีหยกประดับหรือของตกแต่งใด ดูเหมือนเรียบง่ายแต่กลับท่าทางโดดเด่น ประสานมือกล่าวยินดีด้วยหน้าตาอ่อนโยนน่าคบหา

“เอ่อ… คุณชายคือ?”

ท่านเกาคารวะตอบพลางถามอย่างสงสัย

“อ้อ ข้าน้อยจี้หยวน เดิมคิดมาทานอาหารที่หอร่มเย็น เห็นตระกูลเกาเหมาหอสุราฉลองที่คุณชายเกาสอบขุนนางติดจึงถือโอกาสมากล่าวยินดี ยินดีด้วยๆ!”

จี้หยวนชี้ป้ายกระดาษแดงซึ่งพิงอยู่นอกหอ บนนั้นเขียนว่าหอสุราถูกตระกูลเกาเหมาหนึ่งวันเพื่อต้อนรับแขกซึ่งมาฉลองเนื่องในโอกาสคุณชายเกาสอบติด ขออภัยลูกค้าท่านอื่นที่ต้องมาวันหลัง

ท่านเกาเข้าใจกระจ่างพลางประสานมือคารวะตอบ

“อะ อ้อ ขอบคุณคุณชายที่กล่าวยินดี!”

จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย ผ่อนมือสะบัดแขนเสื้อ หันหลังเดินไปทางโรงสุราร้านอาหารอื่นบนถนน

“อ๊ะ คุณชายโปรดหยุดก่อน! หากไม่รังเกียจ เชิญเข้าหอมาร่วมงานเลี้ยงด้วยกันเถอะ”

ท่านเกาเห็นคุณชายแซ่จี้คนนี้ท่าทางไม่ธรรมดา เขาเรียกรั้งอย่างอดไม่ได้ ถึงอย่างไรก็แค่อาหารมื้อเดียว

จี้หยวนหันหลังกลับมา แสร้งทำเป็นใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นค่อยเผยรอยยิ้ม ประสานมือกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

“ข้าคนแซ่จี้เพิ่งมาถึงที่นี่ ได้ยินว่าอาหารของหอร่มเย็นรสชาติเป็นเลิศ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ต้องขอบคุณท่านเกามาก!”

“คุณชายเกรงใจไปแล้ว เชิญ!”

ท่านเกากล่าวเชิญจี้หยวน จากนั้นค่อยเข้าหอสุราไปพร้อมกัน

ด้วยก่อนหน้านี้ไม่รู้จักจี้หยวน แม้ว่าคุณชายท่าทางโดดเด่นคนหนึ่งเช่นนี้บังเอิญมากล่าวยินดี ถือเป็นเรื่องน่าดีใจนัก แต่ไม่อาจเตรียมที่นั่งเอิกเกริกเกินไป ได้แต่เตรียมสถานที่รอบนอกบนชั้นสองให้

จี้หยวนไม่มีปัญหาอะไร ขอกินมีสิทธิ์อะไรมารังเกียจ เห็นชัดว่าคนบนโต๊ะไม่รู้จักมักคุ้นกัน หลังจากคุยกันสองประโยค เมื่ออาหารหอมกรุ่นควันฉุยมาส่ง ทุกคนล้วนกลมเกลียวขึ้นมา

“ทุกท่าน ตระกูลเกาของข้ามีดาวบุ๋นเจิดจรัส เปี่ยมอำนาจวาสนา ทั้งมีบุญเชิญนักเล่าเรื่องที่เคยชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวงมาได้ ตอนนี้ขอเชิญคุณชายหวังลี่เล่าเรื่องให้พวกเราฟัง มาช่วยสร้างความสนุกสนานให้งานเลี้ยง!”

“โอ้ ดียิ่งนัก!”

“ชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวงเชียวหรือ”

“เล่าเรื่องที่พวกเราไม่เคยฟังหน่อย”

“ใช่ๆๆ!”

“หวังลี่? ข้าเหมือนได้ยินชื่อตอนอยู่เมืองหลวง ได้ยินว่าเล่าเรื่องเก่ง มีความสามารถนัก!”

“จริงหรือ”

“มีหรือจะเท็จ!”

จี้หยวนได้ยินคำพูดเปี่ยมความเฝ้ารอของแขกภายในหอ ด้านหน้ามีคนรับใช้ยกโต๊ะตัวหนึ่งมาวางตรงที่วางกลางหอ บนนั้นมีของจำพวกไม้ปลุกสติวางอยู่แล้ว ยังมีคนยกฉากกั้นสองบานขึ้นไป วางล้อมโต๊ะเป็นครึ่งวงกลม

ส่วนหวังลี่นั้นมือถือพัดกระดาษขาว ออกมาจากห้องส่วนตัวซึ่งเป็นห้องเตรียมด้านข้างอย่างช้าๆ เดินมาถึงด้านหลังฉากกั้น ยังมีหญิงสาวบางส่วนถือผีผาหอบพิณออกมา เตรียมตัวอยู่ด้านข้างเช่นกัน

“แขกทุกท่าน วันนี้ตระกูลเกามีเรื่องน่ายินดี ข้าคนแซ่หวังนำเรื่องใหม่ซึ่งทุกท่านไม่เคยฟังมาเล่า เรื่องนี้มีสีสันอัศจรรย์มากทีเดียว เทพเซียนถ่ายทอดผ่านฝัน นามว่าวาสนากวางขาว!”

หวังลี่เปิดเรื่องได้กระจ่าง ยกระดับความสนใจของทุกคนขึ้นอีกขั้นทันที แม้แต่จี้หยวนยังวางตะเกียบลงอย่างตื่นเต้น เขาอยากฟังเรื่องหลังปรับแก้เสร็จของหวังลี่นัก

[1] ยามโหย่ว หมายถึง ช่วงเวลา 17:00 – 19:00 น.

[2] กระดานวสันต์ หมายถึง การสอบบรรจุขุนนางช่วงฤดูใบไม้ผลิ