ตอนที่ 268 ธิดามังกรบันดาลโทสะ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 268 ธิดามังกรบันดาลโทสะ

ได้ยินเสียงตวาดเดือดดาลของเซียวหลิง จี้หยวนตอบอย่างจริงจังประโยคหนึ่ง

“เมื่อสิบกว่าวันก่อน ไม่มากไม่น้อย ทองคำห้าร้อยตำลึง”

เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ จี้หยวนเดินเข้ามาใกล้สองก้าว ลากเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งมานั่ง สายตาเหลือบมองไปใต้โต๊ะ

บุตรมังกรและธิดามังกรสบตากัน เดินมาหน้าโต๊ะก่อนนั่งลงด้านข้าง ฝ่ายแรกยังได้กลิ่นอาหารบนโต๊ะด้วย

เซียวหลิงไม่สนใจสองคนที่อยู่ด้านข้าง เขาแค่หรี่ตาจ้องมองจี้หยวน ขอเพียงไม่โง่ย่อมมองลำดับความสำคัญออก แม้ว่าการกระทำของเขาไม่ถือว่าลึกลับ แต่หาเขาเจอตรงเวลาและสถานที่อย่างแม่นยำถือว่าแปลกประหลาดแล้ว

ตอนนี้เขาอาศัยแสงตะเกียงเปลวเทียนมองคนตรงหน้าอย่างชัดเจนในที่สุด โดยเฉพาะดวงตาอีกฝ่ายยังเป็นสีเทาด้วย

“หึๆ ไร้สาระอย่างยิ่ง เจ้าของโรงเตี๊ยม… เจ้าของโรงเตี๊ยม…”

เซียวหลิงเรียกสองสามครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา เขาตกใจทันที หรืออีกฝ่ายมียอดฝีมือดักซุ่มอยู่ข้างนอกด้วย

“พวกท่านเป็นใครกันแน่ ข้าคนแซ่เซียวจำไม่ได้ว่าตนเคยล่วงเกินใคร”

เซียวหลิงมองหญิงงามข้างกายตนตามจิตใต้สำนึก เมื่อครู่อีกฝ่ายเรียกแซ่เดิมนาง บางทีอาจรู้ว่าคนข้างกายเป็นใคร

หากคิดตามตรรกะคนทั่วไป ยามอีกฝ่ายตรวจสอบเบื้องลึกของเขาเซียวหลิง น่าจะตรวจพบเรื่องคนข้างกายด้วย

“ทองคำห้าร้อยตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อย เหตุใดข้าคนแซ่เซียวถึงจำเรื่องค้างเงินไม่ได้”

“แน่นอนว่าเจ้าย่อมจำไม่ได้ ด้วยตอนค้างเงินเจ้าไม่อยู่ที่นั่น”

จี้หยวนกล่าวอย่างนึกสนุกอยู่บ้าง ไม่รอให้เซียวหลิงส่งเสียงกรุ่นโกรธก็กล่าวต่อ

“จังหวัดเฉิงซู่แห่งรัฐโยว บนเรือวิจิตรริมแม่น้ำระเบียบ ไถ่ตัวคนหน้าตาเหมือนแม่นางต้วนข้างกายเจ้า”

เมื่อเอ่ยปากออกมาเซียวหลิงลุกขึ้นทันที

“เป็นไปไม่ได้! นั่นมัน…”

เมื่อกล่าวถึงครึ่งหนึ่ง เซียวหลิงกลับไม่พูดต่อ สีหน้าแปรเปลี่ยนหลายครั้ง ต้วนมู่หวั่นที่อยู่ด้านข้างทำหน้าตกใจเช่นกัน

จี้หยวนไม่รีบร้อน รอคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย

แต่อิงเฟิงเห็นเซียวหลิงชักช้าไม่พูดต่อ เขามองจี้หยวนก่อนเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้

“เจ้ามีปราณขุนนางเวียนวนเลือนราง คิดว่าคงเป็นลูกขุนนาง น่าจะมีวิชาอยู่บ้าง แต่การเปลี่ยนตัวแม่นางหงซิ่วออกมาจากเรือวิจิตรโดยไร้สุ้มเสียง ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ เข้าใจความหมายของข้ากระมัง”

“หึๆ ข้าคนแซ่เซียวไม่เข้าใจ!”

เซียวหลิงแค่นหัวเราะเริ่มแกล้งโง่ ใต้โต๊ะมือเก็บเศษเงินกลับไป แต่หยิบยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของลับภายในแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ

“จริงสิ คุณชายท่านนี้ ท่านบอกว่าข้าติดค้างทองคำห้าร้อยตำลึง ข้าคนแซ่เซียวจะคืนให้แล้วกัน มีตั๋วเงินจำนวนมากพอใบหนึ่งพอดี”

เมื่อเซียวหลิงกล่าวประโยคนี้จบ สองมือระเบิดปราณดั้งเดิม พลิกโต๊ะแปดเซียนทันที สะบัดยันต์เหลืองในมือออกมา

“เทพจวนเขียวรับคำสั่ง!”

ฟุ่บ…

แสงแดงเจิดจรัสหลายสายพุ่งออกมาจากมือเซียวหลิง คล้ายมีแสงอสรพิษสีแดงมากมายพลุ่งพล่านออกมา

การเคลื่อนไหวต่อไปของเซียวหลิงคืออุ้มต้วนมู่หวั่นที่อยู่ข้างกายขึ้นมา เอ่ยกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราไปกันเถอะ” ก่อนโคจรปราณดั้งเดิมและแรงมหาศาล เบี่ยงตัวพุ่งไปริมหน้าต่าง

ปึง…

เมื่อเสียงดังขึ้น เซียวหลิงซึ่งอุ้มต้วนมู่หวั่นถูกกำแพงไม้ดีดกลับมา มึนศีรษะราวกับชนกำแพงเหล็ก

กำแพงไม้ไม่ถูกชนทลายตามคาด แน่นอนว่าการอุ้มหญิงงามหนีไปพร้อมกันย่อมไม่เกิดขึ้น

“ไป? ไปไหน”

เซียวหลิงส่ายศีรษะซึ่งยังมึนงงอยู่บ้าง ร่างกายดูแข็งทื่อเล็กน้อย หันหลังกลับไปทีละนิด ต่อให้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านหลังเขายังใจสั่นสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

โต๊ะแปดเซียนซึ่งถูกเขาพลิกตลบและสุราอาหารบนโต๊ะ ทั้งหมดลอยอยู่กลางอากาศ สุราไม่หกอาหารไม่หล่นถ้วยจานไม่แตก หญิงสาวคนนั้นสะบัดแขนเสื้อ สุราอาหารจอกสุรารวมถึงโต๊ะพากันกลับสู่จุดเดิม ทุกอย่างล้วนกลับเป็นแบบเดิม

ในมืออิงเฟิงถือยันต์เหลืองแผ่นหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดึงมาจากมือเซียวหลิงนั่นเอง

บนยันต์ผีวาดมีเส้นยุ่งเหยิงส่งเดชมากมาย สิ่งเดียวที่พิเศษอยู่บ้างคืออักษร ‘จวนเขียว’ บนนั้นมีแสงธรรมคลุมเครือบางส่วนไหลวน เขาจับเล่นครู่หนึ่งก่อนมอบให้จี้หยวนที่ไม่เคยขยับตัวด้วยสองมือ

“ท่านอาจี้โปรดดู”

จี้หยวนรับมาดูเล็กน้อย ลายเส้นแดงยุ่งเหยิงมองไม่ออกว่าเขียนเพื่ออะไร แต่ตัวอักษรบนนั้นคล้ายประกาศิตอยู่บ้าง แต่กลับมีความแตกต่างกันมาก

แม้ว่าไม่เข้าใจลายยันต์นี้ แต่สามารถสันนิษฐานการใช้งานส่วนหนึ่งจากทิศทางการพุ่งตัวของลายยันต์เมื่อครู่ได้ สถานการณ์เมื่อครู่แสดงให้เห็นว่าพวกเซียวหลิงไม่ใช่คนธรรมดาบริสุทธิ์ที่ไม่รู้อะไรเลย

เมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นตระหนกอยู่บ้าง จี้หยวนคลายยันต์ออก เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“รู้หรือไม่ว่าหากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาสามคนอยู่ที่นี่ เมื่อครู่คงถูกอสรพิษนับหมื่นกัดกร่อนใจแล้ว…”

จี้หยวนขมวดคิ้ว เงยหน้ามองทั้งสองคนที่ยังตื่นตระหนก ท่าทางราบเรียบ แต่เสียงกลับเหมือนคลื่นราวอสนีบาต

“วิชามารกระหายเลือด ใช้เลือดหล่อเลี้ยงยันต์ อาศัยแค่ยันต์แผ่นนี้ศาลมืดย่อมดึงวิญญาณพวกเจ้าไปรับทัณฑ์ได้ ลายยันต์ร้ายกาจเช่นนี้ใครมอบให้กันแน่”

การตำหนิของจี้หยวนแฝงท่าทางสั่นสะท้านใจ ทำให้เซียวหลิงกับต้วนมู่หวั่นรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนชาวาบทั้งตัว เหมือนได้ยินเสียงฟ้าร้องกระหน่ำในคืนฝนพรำยามเยาว์วัย

รอเมื่อเสียงของจี้หยวนสิ้นสุดลงครู่ใหญ่ เซียวหลิงกับต้วนมู่หวั่นค่อยได้สติกลับมา ถึงอย่างไรต้วนมู่หวั่นก็ไม่มีสภาพจิตใจเหมือนเซียวหลิง ภายใต้ความตื่นตระหนกนางสะอื้นแก้ต่าง

“นะ นี่เป็นสิ่งที่เทพเซียนมอบให้ ไม่ใช่วิชามารอะไร… พวกเราแค่อยากอยู่ด้วยกันเท่านั้น เทพเซียนช่วยเหลือจึงมีวันนี้ ฮะ ฮือ…”

“เทพเซียนอะไร เทพเซียนคนไหน เทพจวนเขียวที่เจ้าเรียกเมื่อครู่หรือ พูดให้ชัดเจนหน่อย!”

อิงเฟิงทนเสียงร้องห่มร้องไห้ของหญิงสาวคนนี้ไม่ได้อยู่บ้าง

เซียวหลิงปลอบต้วนมู่หวั่นซึ่งถูกทำให้เสียขวัญ สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ทั้งสามคนภายในห้องไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือผี สรุปคือแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ หวังว่าหากยกฐานะของเทพเซียนคนนั้นมาพูดแล้วคงกำราบอีกฝ่ายได้

“หา?”

อิงรั่วหลีรู้สึกประหลาดใจ

เซียวหลิงมองนางเล็กน้อย ผ่อนลมหายใจก่อนกล่าวต่อ

“ไม่ผิด ผู้ช่วยพวกเราคือเทพีอิงแห่งแม่น้ำเทียมฟ้า สองปีก่อนนางเห็นข้ากับหวั่นเอ๋อร์ครองรักกันอย่างลำบากแต่ไม่อาจอยู่ด้วยกัน ภายใต้ความซาบซึ้งจึงปรากฏตัวมาช่วยพวกเรา ไม่เพียงสำแดงวิชาแปลงเป็นหวั่นเอ๋อร์ ยังมอบยันต์คุ้มกายแผ่นนี้ให้พวกเราด้วย…”

“เจ้า ว่า อะไร นะ!?”

อิงรั่วหลีทนไม่ไหวแล้ว น้ำเสียงเจือความกังขาปนขุ่นเคือง เสียงแหลมสูงนั่นทำให้ทุกคนรวมถึงจี้หยวนตกใจ

นางจ้องมองทั้งสองคนครู่หนึ่ง แค่นหัวเราะขึ้นมาทันที

“หึๆๆ…”

“ข้าเดาว่าเทพีแม่น้ำคนนั้นต้องกำชับเจ้าแน่ ยันต์นี้ต้องดื่มเลือดเป็นระยะๆ เลือดวิญญาณดีที่สุด เลือดคนรองลงมา เดรัจฉานรั้งท้ายใช่หรือไม่”

“เจ้า…”

“ข้ารู้ได้อย่างไร หึ สอนคนใช้วิชามารหล่อเลี้ยงยันต์ อนาคตอีกสิบปีสิบกว่าปีหลายสิบปี เจ้าจะพึ่งยันต์นี้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยใช้มันทำร้ายคนจึงทำอะไรราบรื่น แต่ความอยากอาหารของยันต์นี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ เลือดสัตว์เอาไม่อยู่จนใช้เลือดคน คนน้อยลงจนไม่พอย่อมฆ่ามากขึ้น…”

จี้หยวนไม่รู้เลยว่ายันต์ร้ายกาจเช่นนี้ ฟังอิงรั่วหลีกล่าวออกมาแล้วอดปาดเหงื่อไม่ได้ แววตาซึ่งมองเซียวหลิงอีกครั้งเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าผู้กรุ่นโกรธคือเทพีแม่น้ำตัวจริง

จี้หยวนกับบุตรมังกรธิดามังกรต่างมองออกว่าเซียวหลิงไม่ได้โกหก ด้วยเหตุนี้อิงรั่วหลีจึงยิ่งโกรธ

“เจ้าว่าคนผู้นั้นเรียกตัวเองว่าเทพีแม่น้ำเทียมฟ้าหรือ มอบของชั่วร้ายเช่นนี้ให้เจ้า เจ้าเชื่อนางหรือ”

ตอนนี้อิงรั่วหลีมีอานุภาพข่มขู่คน อานุภาพเทพหมุนวนรางๆ ทำให้คนธรรมดาสองคนตื่นตระหนกใจสั่นระรัวไม่หยุด เซียวหลิงโคจรปราณดั้งเดิมเต็มกำลังยังรู้สึกว่าปากสั่น

“ตะ ตอนนั้นเทพเซียนเหยียบคลื่นมา ทั้งเผยวิชาอัศจรรย์หลายครั้ง ข้าเป็นแค่คนธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะใช้มันหรือ…”

“ดังนั้นเจ้าเลยเชื่อ? ต่อให้นางมอบยันต์ชั่วร้ายเช่นนี้กับเจ้าหรือ”

เซียวหลิงเงียบไป แววตาไหววูบอยู่บ้าง อิงรั่วหลีเห็นแล้วยิ้มหยันยิ่งกว่าเดิม

“ดูท่าว่าในใจเจ้าคงสงสัย แต่กลับรับมาอย่างยินดี ข้าเดาว่านางคงมีเงื่อนไข เงื่อนไขนี้คือการหล่อเลี้ยงยันต์ใช่หรือไม่”

อิงเฟิงเห็นน้องสาวกรุ่นโกรธอย่างหาได้ยาก เขาแอบเดินมาข้างจี้หยวนพลางกล่าวเสียงเบา

“ท่านอาจี้ รั่วหลีไม่เคยโกรธเช่นนี้มาก่อน… มรรควิถีนางสูงกว่าข้า… หากเสียการควบคุมคงต้องพึ่งท่านอาจี้แล้ว…”

จี้หยวนหันกลับมามองเขา ทั้งมองธิดามังกร ความรู้สึกบนหน้าพิกลอยู่บ้าง

เห็นชัดว่าอิงรั่วหลีได้ยินคำพูดที่พี่ชายตนกล่าวต่อหน้าจี้หยวน นางหันกลับมาถลึงตามองเขา จากนั้นค่อยยิ้มอักอ่วนมาทางจี้หยวน

หลังจากนั้นธิดามังกรค่อยผ่อนคลายอารมณ์ลงเล็กน้อย หันหน้ามองไปทางเซียวหลิงและต้วนมู่หวั่นใหม่อีกครั้ง ภายในดวงตาแสงเทพวูบไหว

“เจ้าปีศาจนั่นบอกว่าตนเป็นเทพแม่น้ำเทียมฟ้า เช่นนั้นพวกเจ้าลองเดาดูว่าข้าเป็นใคร”

เมื่อธิดามังกรกล่าวประโยคนี้จบ นางสะบัดแขนทั้งสองข้าง การเปลี่ยนแปลงบนตัวหายไป ใบหน้างดงามขึ้นเรื่อยๆ เครื่องแต่งกายเรืองแสง

แค่ชั่วขณะหญิงสาวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเทพแม่น้ำสง่างามน่าเกรงขามสวมชุดเต็มยศ ผ้าคาดสีทองเส้นหนึ่งพาดผ่านแขนเสื้อลอยตัวราวเกลียวคลื่น

“หากเดาไม่ออก ข้าจะบอกใบ้ให้ ข้าชื่อว่าอิงรั่วหลี!”