ตอนที่ 278 ฮ่องเต้ชราพบขอทานชราอีกครั้ง

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 278 ฮ่องเต้ชราพบขอทานชราอีกครั้ง

เวลาล่วงเลยไปสามวัน

เมื่อแต่งตั้งไท่จื่อเรียบร้อย ฮ่องเต้ชราที่ช่วงก่อนฝืนให้ดูเหมือนว่าแข็งแรง พลันกลับไปมีสภาวะอ่อนล้าก่อนอิ๋นจ้าวเซียนกลับมา ถึงขนาดย่ำแย่ยิ่งกว่า

สองปีก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ชราล้วนเชื่อว่าอย่างน้อยจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสิบกว่าปี ยิ่งเชื่อว่าต้องได้พบเซียนในช่วงเวลานี้ ขอยาอายุวัฒนะจากเซียน

ฮ่องเต้ชรานับว่าโชคดีไม่หยอก ตอนตั้งอกตั้งใจทุ่มเทให้การตามหาเซียน เขาได้รับรู้ข้อมูลมากมาย ล้วนปรากฏร่องรอยของเซียนจำนวนหนึ่ง แม้เหมือนจะไม่ทันแล้ว แต่แน่ใจถึงการมีอยู่ของเซียนก็เพียงพอ

นี่ทำให้ฮ่องเต้ชราเกิดความคิดอยากครองอำนาจประมุขชนิดไม่มีวันตาย บุตรชายอย่างอู๋อ๋องและจิ้นอ๋องก็ไม่นับว่าธรรมดา ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็ไม่เข้าตาทั้งสิ้น

ปรมาจารย์ที่อยู่ในเมืองหลวงเหล่านั้น ถึงบางคนมีความสามารถอยู่บ้าง ทว่าฮ่องเต้ที่เคยเห็นวิชาเซียนของจริงมาแล้วยิ่งมองไม่เข้าตาเป็นอย่างยิ่ง และรู้ว่าคนเหล่านั้นหลอมยาอายุวัฒนะไม่ได้

สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ชราหมดหวังคือสภาพร่างกายย่ำแย่ยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ ตอนที่อิ๋นจ้าวเซียนจัดระเบียบรัฐหวั่นอย่างเด็ดขาดยังดีอยู่ ทว่าหลังจากนั้นย่ำแย่ลงทุกที

ภายในวังหลวงจังหวัดจิงจิ ณ ตำหนักส่วนพระองค์ ฮ่องเต้หยวนเต๋อนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนแท่นบรรทม

ถึงอากาศไม่ถือว่าหนาวเย็น แต่ฮ่องเต้หยวนเต๋อในตอนนี้กลัวหนาวมาก ภายในตำหนักถูกจุดเตาถ่านสร้างความอบอุ่นตลอดเวลา

ฮ่องเต้หยวนเต๋อที่เพิ่งดื่มยาเสร็จถึงเหนื่อยล้ามาก แต่ด้วยสภาพจิตใจอ่อนแอ หลับตาแล้วกลับนอนไม่หลับ

ขณะนี้จี้หยวนอยู่ภายในตำหนัก ยืนอยู่ข้างแท่นทรรทมฮ่องเต้ชราพลางมองอีกฝ่าย

สำหรับทหารคุ้มกันต่างๆ ภายในตำหนัก ย่อมทำอะไรคนอย่างจี้หยวนไม่ได้ กระนั้นฮ่องเต้ผู้เป็นประมุขความจริงแล้วส่งผลถึงปราณของอาณาจักร มีปราณสีดอกยี่เข่งพัวพันกาย ในบางระดับขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ แต่ตอนนี้ลมปราณเขาอ่อนเป็นอย่างยิ่ง

“ฮู่…ฮู่…ฮู่…”

สุดท้ายฮ่องเต้ชราก็นอนไม่หลับ จึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเพดานพลางหอบหายใจและเหม่อลอย

ตอนนี้จี้หยวนสงสัยมากว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หากเป็นชาติก่อนของจี้หยวน คาดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้สัมผัสบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนี้เห็นเขาแล้วกลับพบว่าไม่ว่าจะเป็นชาวนาที่ทำงานหนักตลอดชีวิตหรือฮ่องเต้ผู้นำอาณาจักร ก่อนตายล้วนมีสภาพเดียวกัน ฝ่ายหลังอาจย่ำแย่ยิ่งกว่า

“ฮู่…มีคน…อยู่หรือไม่”

ฮ่องเต้ชราถามด้วยเสียงแหบแห้ง

ขันทีชราที่เดิมสัปหงกอยู่ข้างๆ ตื่นเต็มที่ทันที รีบย่ำเท้าเดินมาตอบเสียงเบาใกล้แท่นบรรทม

“ฝ่าบาท บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ชรามองเขา ส่ายหน้า ทั้งแววตาและสีหน้าดูเหนื่อยอ่อน ความจริงแล้วจี้หยวนยืนอยู่ข้างขันทีชรา ทว่าขันทีชราโค้งกายเข้าใกล้ฮ่องเต้ ส่วนจี้หยวนยืนเอามือไพล่หลัง

“ฝ่าบาทต้องการอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีชราถามอย่างระมัดระวัง เสือตายแล้วบารมียังคงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้ยังไม่ตายนะ

แต่ฮ่องเต้ชรากลับไม่ได้มองขันทีชรา เพียงเบิกตากว้างเล็กน้อย มองข้างกายขันทีชราแล้วยื่นมือสั่นเทาออกไป คิดคว้าอะไรบางอย่างตรงหน้า

ขันทีชราหลี่ซือเจ๋อมองไปด้านข้าง จากนั้นกวาดสายตาไปรอบๆ นอกจากตนเองแล้วไม่มีคนอื่น

“ฝ่าบาท ขอกระหม่อมถามพระองค์สักเรื่องได้หรือไม่”

เสียงราบเรียบทว่านุ่มนวลของจี้หยวนพลันดังขึ้นในหูฮ่องเต้หยวนเต๋อ ทำให้ฝ่ายหลังเบิกตาโพลง ลมหายใจกระชั้นขึ้นเล็กน้อย

“ฮู่…ฮู่…ฮู่…เชิญ เชิญถาม!”

จี้หยวนยิ้ม

“ตอนนั้นผู้อาวุโสหลู่น่าจะถามพระองค์ที่หน้าท้องพระโรง แต่สุดท้ายแล้วพวกพระองค์มีโอกาสทว่าไร้วาสนา กระหม่อมพาเขามาอีกครั้งได้ พระองค์อยากพบเขาหรือไม่”

“ฮู่ ฮู่ๆ…ทำให้ข้า กลับมาแข็งแรงดังเดิมได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินคำถามของฮ่องเต้ชรา จี้หยวนส่ายหน้า

“เป็นตายยังคงเป็นไปตามวัฏจักรของฟ้าดิน ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ต่างอะไรกับตะเกียงน้ำมันใกล้มอด มีเวลาอยู่อีกไม่กี่วันเท่านั้น อยากกลับมาแข็งแรงดังเดิมคงสายไปแล้ว”

“นั่น…แล้วเหตุใด…

จี้หยวนรู้ว่าฮ่องเต้ชราคิดถามอะไร จึงยิ้มตอบอีกครั้ง

“พาเขามาแล้วฝ่าบาทต่อว่าเขาสักสองเขาถือว่าใช้ได้ อย่างน้อยก็นับว่าคลายปมในใจไปได้ส่วนหนึ่ง สภาพของฝ่าบาทในตอนนี้ เขาน่าจะยอมเข้าเฝ้าอยู่”

ตอนที่ฮ่องเต้ชราสนทนากับจี้หยวนด้วยสีหน้ามึนงง ขันทีชราหลี่ซือเจ๋อที่อยู่ด้านข้างมองฮ่องเต้แล้วมองอากาศธาตุข้างกาย ในใจเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“ฝ่าบาทเป็นอะไรไป ฝ่าบาท?”

ขันทีชรายื่นมือไปเขย่าตรงหน้าฮ่องเต้ชรา ทว่าดวงตาของฮ่องเต้ชราไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่ตัวเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับมองไม่เห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น

“ฝ่าบาทกำลังคุยกับใครหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…”

เสียงขันทีชราดังขึ้นอย่างอดไม่ได้ ทำเอานางกำนัลและขันทีที่คอยท่าอยู่ข้างนอกตื่นตกใจ มีนางกำนัลสองคนและขันทีสองคนรีบวิ่งสั้นๆ เข้ามาข้างใน

“หลี่กงกง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

หลี่ซือเจ๋อมองแท่นบรรทม จากนั้นมองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าย่ำแย่สุดขีด

“เตรียมน้ำแกงโสม ฝ่าบาทอาจไม่ไหวแล้ว รีบไปบอกองค์ชายทุกองค์ ใต้เท้าต่างๆ รวมถึงเหล่าพระชาและสนมด้วย! เร็วเข้า!”

“ขอรับ!”

“เจ้าค่ะ!”

ขันทีและนางกำนัลหลายคนตาตื่นหน้าตั้ง รีบร้อนวิ่งออกไป ข้าราชบริพารและองครักษ์กลุ่มหนึ่งข้างนอกรู้ข่าวแล้วเร่งกระจายตัวกันไปส่งข่าวต่อเช่นกัน

จี้หยวนมองทิศทางที่ขันทีและนางกำนัลจากไป ก่อนจะมองขันทีชราหลี่ซือเจ๋อที่มีสีหน้าเป็นกังวล

“ฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมพาเขามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชรามองจี้หยวนอย่างไม่เข้าใจ หอบหายใจหลายเสียงแล้วถามว่า

“เจ้า เจ้าเป็นใคร”

ขันทีชราหลี่ซือเจ๋อรีบเดินไปอยู่ตรงข้ามสายตาฮ่องเต้ชรา ตอบรับเสียงดังฟังชัด

“ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมเอง กระหม่อมหลี่ซือเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทจำกระหม่อมไม่ได้แล้วหรือ กระหม่อม…”

ฮ่องเต้ชราพลันโมโห ยื่นมือปัดป่ายหลี่ซือเจ๋อ

“เจ้า…ไสหัวไป…”

ขันทีชราถูกฮ่องเต้ชราถลึงตาใส่แล้วตกใจอกสั่นขวัญแขวน ขดตัวหลบอยู่ด้านข้าง

จี้หยวนมองขันทีชรา

“ด้วยอาการของฝ่าบาทในตอนนี้ จะบันดาลโทสะไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หลี่กงกงผู้นี้เป็นห่วงฝ่าบาทจนใจว้าวุ่น เขามองไม่เห็นกระหม่อม ส่วนกระหม่อมเป็นใคร ฮ่าๆ…”

จี้หยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“ฝ่าบาทจำขนมไหว้พระจันทร์ที่คว้าไว้ไม่ได้ต่อหน้าท้องพระโรงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เดิมจี้หยวนอยากหยอกเย้าว่า ‘ฝ่าบาทได้ดื่มน้ำที่เหลือจากขนมไหว้พระจันทร์หรือไม่’ แต่คิดแล้วไม่กระตุ้นอารมณ์ฮ่องเต้ชราผู้นี้จะดีกว่า

“อืม…ที่แท้เป็นเช่นนี้…ท่านเซียน…”

“ในเมื่อกระหม่อมปรากฏตัวเข้าเฝ้าฝ่าบาท ย่อมมีวาสนากับฝ่าบาทอยู่บ้างแล้ว แต่กลับไม่ใช่เช่นที่ฝ่าบาทคิด”

เมื่อมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้หยวนเต๋อเข้าใจแล้ว ยกมือสั่นเทาขึ้นคารวะ

“รบกวนแล้ว ท่านเซียนไปเชิญท่านเซียนหลู่เถอะ…”

จี้หยวนตอบกลับด้วยมารยาทเช่นกัน

“เช่นนั้นฝ่าบาทฝืนทนหน่อย ผู้อาวุโสหลู่เป็นผู้อัศจรรย์มรรคเซียนของโลกนี้ อาจตามตัวไม่พบก็ได้ กระหม่อมขอตัวก่อน”

พูดจบแล้วจี้หยวนเดินออกไปข้างนอก ในสายตาของฮ่องเต้ชรา ระหว่างที่จี้หยวนเดินนั้นร่างกายจางหาย ไม่นานนักก็หายวับไป

“ฮู่…ฮู่…ฮู่ๆ…”

ฮ่องเต้ชรานอนลงบนแท่นบรรทมอีกครั้ง ความตื่นเต้นเกินขนาดเมื่อครู่นี้ทำให้เขาหมดแรง หอบหายใจอย่างชัดเจน

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ คนจากในและนอกวังได้รับข่าวแล้วล้วนรีบมา

“เสด็จพ่อ!”

“ฝ่าบาท!”

“ฝ่าบาท…”

เสียงหลายเสียงทั้งเป็นห่วงจริงและปลอมดังมา องค์ชาย เครือญาติ และขุนนางใหญ่มากมายพากันมาถึง

ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้หยวนเต๋อรำคาญ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ แม้แต่เริ่นกุ้ยเฟยก็เพียงมาเยี่ยมเยียนนานๆ ครั้ง ตอนนี้พลันได้ยินข่าวจากวังหลวง ทุกคนล้วนรีบมาที่นี่

นี่เป็นเพียงพวกที่มาถึงเร็ว ยังมีคนอีกมากกว่านี้ที่ยังอยู่ระหว่างทาง

ฮ่องเต้ชรามองทุกคนแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรมาก

มีขันทียกน้ำแกงโสมร้อยปีเข้ามาอย่างระมัดระวัง เริ่นกุ้ยเฟยหยิบช้อนเตรียมป้อนน้ำแกงให้ฮ่องเต้ทันที แต่กลับเห็นฮ่องเต้ชราโบกมือ บ่งบอกว่ายังไม่กินตอนนี้

นอกวังหลวง จี้หยวนมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ศาลเจ้าที่ แม้การตามหาขอทานชราจะเป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับฮ่องเต้ชรา ทว่าสำหรับจี้หยวนนั้นคาดเดาร่องรอยของขอทานชราได้นานแล้ว

หากอีกฝ่ายออกจากต้าเจินแล้วนั่นเป็นเรื่องยาก แต่ในเมื่อรู้ว่าพวกเขาอยู่ภายในอาณาเขตต้าเจินแน่ๆ เช่นนั้นจี้หยวนเดาว่าหลู่เนี่ยนเซิงต้องอยู่ในจังหวัดจิงจีตอนที่ฮ่องเต้หยวนเต๋อกำลังจะสิ้นพระชนม์

ไม่แน่ว่าหลังจากกลับไปเยี่ยมเรือนสันติที่รัฐจีเมื่อครั้งก่อน ขอทานทั้งมุ่งหน้าไปเมืองหลวงแล้ว

ในจังหวัดจิงจีแห่งนี้ คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจี้หยวนที่สุดก็คือเจ้าที่จังหวัดจิงจีผู้มีร่างกายกำยำ เจ้าที่ผู้นี้นับได้ว่าเป็นเจ้าที่ที่ล่ำสันที่สุดในบรรดาเทพเจ้าที่ที่จี้หยวนเคยพบตลอดหลายปีนี้

ถึงหน้าศาลแล้วยังไม่ทันเดินเข้าไปข้างใน เพียงเสียงลอดเข้าไปในศาล ไม่นานนักเจ้าที่ก็ปรากฏกายพบจี้หยวนแล้ว

ยังคงเป็นรูปร่างแข็งแกร่งสูงใหญ่ ยังคงเป็นเคราและดวงตาสีดำขลับ ยังคงเป็นไม้เท้าที่ใช้ต่างอาวุธหนักได้ เทพเจ้าที่ปรากฏกายแล้วยิ้มพลางประสานมือให้จี้หยวน

“ท่านจี้ มาหาข้าผู้ชราด้วยเรื่องใดหรือ”

จี้หยวนรีบตอบกลับด้วยมารยาท

“รบกวนเจ้าที่ช่วยข้าคนแซ่จี้ตามหาคนคนหนึ่ง ผู้อาวุโสคนนั้นมีนามว่าฮวาจื่อ น่าจะอยู่ที่จังหวัดจิงจี”

“โอ้ นั่นไม่ยาก!”

เจ้าที่เคาะไม้เท้ากับพื้น ทันใดนั้นมีระลอกคลื่นเกิดขึ้นให้เห็น เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงยามจี้หยวนใช้วิชาคุมเทพอยู่บ้าง ทว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“พบแล้ว เขาไม่ได้หายไปไหน ท่านจี้ตามข้ามาเถอะ!”

เจ้าที่แบกจี้หยวนไว้บนไหล่ เงาร่างทั้งสองคนพลันแทรกลงไปในพื้นดิน หลังจากนั้นครู่เดียวก็โผล่ออกจากข้างสะพานแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมือง ขอทานชราและเด็กสองคนกำลังงีบอยู่ใต้สะพานพอดี

“เอ่อ ท่านจี้ก็อยู่ที่เมืองหลวงหรือ”

ขอทานชราขยี้ตา ถามด้วยความประหลาดใจคำหนึ่ง

“หึ ผู้อาวุโสหลู่ตามข้าไปเถอะ”

“ไปที่ใด”

จี้หยวนมองขอทานเด็กแล้วมองขอทานชรา ในใจหัวเราะเย้ย ทว่าปากกลับถามอย่างจริงจัง

“วังหลวง ข้ามาเชิญท่านไป ให้เกียรติกันหน่อยได้หรือไม่”

“ให้เกียรติท่านจี้…นั่นย่อมต้องให้อยู่แล้ว!”

ขอทานชราลังเลเล็กน้อย สุดท้ายลุกขึ้นยืน

ภายในวังหลวงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม องค์ชายหลายองค์ พระชายาจากวังหลังทั้งหลาย ไปจนถึงขุนนางคนสำคัญซึ่งรวมไปถึงอิ๋นจ้าวเซียนล้วนอยู่ข้างในห้องบรรทมแล้ว ข้างนอกยืนไว้ด้วยขุนนางและราชนิกูลมากมาย

จี้หยวนนำทางขอทานชราเข้าไปในวังหลวง ส่วนขอทานเด็ดรออยู่ที่ศาลเจ้าที่

ตอนทั้งสองคนเดินไปถึงรอบนอกของห้องบรรทม มองเห็นยมทูตดำและเจ้าหน้าที่ผีคอยท่าอยู่ข้างนอกแล้ว เห็นทีฮ่องเต้ชราใกล้สวรรคตแล้วจริงๆ

ทว่าฮ่องเต้ชราจากไปแล้วจะไม่เข้าสู่ศาลมืด เนื่องจากส่งผลกระทบต่อปราณอาณาจักรต้าเจิน จึงจะเข้าศาลบูรพกษัตริย์ก่อนแล้วถึงเข้าสู่สุสานราชวงศ์

แต่นี่หมายความว่าศาลมืดใจกว้างแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ยังคงต้องตามต่อ เพียงเพราะตำแหน่งวิญญาณเข้าสู่ศาลบูรพกษัตริย์แล้วช่วยคุ้มครองอาณาจักรต้าเจิน ไม่มีทางถูกศาลมืดลงโทษทำให้วิญญาณแตกสลาย และยืนยันว่าจะผ่านเคราะห์นี้ไปได้

เปรียบกับคนธรรมดา แน่นอนว่ามีข้อดีเช่นกัน ขอเพียงต้าเจินไม่ล่มสลาย สุสานราชวงศ์ที่โลกวิญญาณไม่มีทางขาดข้าวของอย่างกระดาษเงินกระดาษทอง แต่เมื่อหมดอายุขัยวิญญาณแล้ววิญญาณยังคงต้องกลับสู่สวรรค์ การเสวยสุขอยู่ที่ศาลบูรพกษัตริย์ชั่วนิรันดร์เป็นเพียงความฝันลมแล้งของผู้ที่อยู่ในสุสานราชวงศ์ในโลกวิญญาณเท่านั้น

จี้หยวนและขอทานชราเข้ามา คนอื่นๆ ล้วนมองไม่เห็น มีเพียงฮ่องเต้ชราเท่านั้นที่มองเห็นสองคนเปลี่ยนจากเลือนรางเป็นชัดเจน ค่อยๆ เดินมาถึงข้างแท่นบรรทม

ทว่าสภาพของฮ่องเต้ชราในตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ ลุกไม่ขึ้นและไม่มีเรี่ยวแรงพูดจาแล้ว

“โสม น้ำแกงโสม!”

ในที่สุดฮ่องเต้ชราก็เอ่ยปาก น้ำแกงโสมที่อุ่นร้อนตลอดถูกป้อนเข้าสู่ปากของฮ่องเต้ชราอย่างระมัดระวังโดยเริ่นกุ้ยเฟย

น้ำแกงโสมร้อยปีช่วยชีวิต เมื่อเข้าปากแล้วลมปราณไหลเวียน สีหน้าของฮ่องเต้ชราพลันมีสีเลือดขึ้นมาทันใด

————————————————————————————