ตอนที่ 280 ไม่กล้านึกภาพ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 280 ไม่กล้านึกภาพ

คำพูดของจี้หยวนทำให้ขอทานชราชะงักไปครู่หนึ่ง มองร่างฮ่องเต้ชราบนแท่นบรรทมแล้วค่อยมองจี้หยวนซึ่งจากไปแล้ว บนใบหน้ามีความรู้สึกซับซ้อนที่ยากจะแยก

“เฮ้อ…”

ขอทานชราถอนหายใจ หมุนกายจากไปเช่นกัน

เสียงร้องไห้ทั้งในและนอกห้องบรรทมลั่นฟ้า ข่าวการสวรรคตของฮ่องเต้แพร่ออกไปข้างนอก ตั้งแต่คนทั้งหลายในตำหนักจนถึงองครักษ์ข้างนอกล้วนคุกเข่าลงและหันหน้าไปทางห้องบรรทม ไม่นานข่าวการสวรรคตของฮ่องเต้หยวนเต๋อก็แพร่ไปทั่วทั้งอาณาจักรเช่นกัน

ขอทานชราเดินออกจากกำแพงวัง มองยมทูตดำจากไปไกลๆ

ตอนนี้วิญญาณฮ่องเต้ชราเพิ่งออกจากร่าง มีร่มบังหยางกั้นแสงสว่างจากฟ้า ร่างวิญญาณไม่ได้รับบาดเจ็บ และไม่ต้องลมยามวิกาลด้วย ปราณมนุษย์สายหนึ่งหายไปจนสิ้น ทว่ายังไม่อาจนับได้ว่าเป็นผี

เมื่อตัดสินใจแล้ว ขอทานชราโคจรวิชาในทันที เดินสองสามก้าวรวดเร็วเหมือนบิน มุ่งหน้าตามไป ตอนผ่านข้างกายยมทูตดำค่อยหยิบเชือกสีแดงทั้งบางและยาวออกจากกระเป๋าเสื้อบนเสื้อเก่าขาด แล้วสะบัดไปทางวิญญาณฮ่องเต้ชรา

ในสถานการณ์ที่ยมทูตดำและฮ่องเต้ชรายังไม่รู้เรื่อง เชือกสีแดงพันเอวฮ่องเต้ชราแล้ว

ทำสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้วขอทานชราปรบมือ จากไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

จี้หยวนที่ล่วงหน้าไปก่อนไม่ได้สนใจขอทานชราอีก แม้หาตัวเขาพบ แต่ไปกะเกณฑ์อิสระของผู้อื่นไม่ได้ เขาออกจากวังหลวงตามลำพัง เดินเลียบถนนสันตินิรันดร์ในจังหวัดจิงจีที่รุ่งเรือง

ทางซ้ายขวาของถนนมีพ่อค้าและชาวบ้านคึกคักเป็นอย่างยิ่ง หลายคนมาจากทางเหนือและทางใต้ แม้รู้ข่าวการสวรรคตของฮ่องเต้ชราแล้ว สำหรับคนเหล่านี้ก็เพียงร้องว่า ‘ไอ้หยา’ หรือ ‘โอ้’ เมื่อดื่มชาหลังมื้ออาหารเท่านั้น

“ท่านจี้ช้าก่อน ท่านจี้ช้าก่อน!”

เสียงขอทานชราดังมาจากข้างหลัง จี้หยวนหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองอีกฝ่ายที่เร่งมาถึงข้างกาย

เมื่อขอทานชรามาถึงแล้ว ทั้งสองคนถึงเดินไปด้วยกัน

“ท่านจี้จะกลับรัฐจีหรือไม่”

“จะกลับไปก่อนพักหนึ่ง ผ่านไปสักพักแล้วค่อยออกเดินทางใหม่”

ได้ยินคำตอบของจี้หยวนแล้ว ขอทานชราร้องอ๋อเสียงหนึ่ง จากนั้นเหมือนกับไม่มีอะไรจะพูด สองคนเดินไปยังศาลเจ้าที่

เพราะความเร็วในการเดินเท้าของทั้งสองคนตอนนี้เท่ากับคนปกติ ครั้นถึงนอกศาลเจ้าที่แล้ว ขอทานชราพลันถามขึ้น

“ท่านจี้ หากตอนนั้นฮ่องเต้ชราจับขนมไหว้พระจันทร์ของท่านได้ ท่านจะออกมาชี้แนะฮ่องเต้ชราสักหน่อยหรือไม่”

บางครั้งจี้หยวนจนใจอยู่บ้าง คนที่ฝึกปราณจนมรรควิถีไม่น้อยเรียกได้ว่าล้ำลึกมักคิดมา แต่บางเรื่องเขาเห็นว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ขอทานชราผู้นี้น่าจะกำลังคิดว่าเหตุใดจู่ๆ เขาคนแซ่จี้ถึงได้ใส่ใจฮ่องเต้ชรานัก อีกทั้งบอกว่าอาจใส่ใจมาโดยตลอด แต่วันนี้จี้หยวนไม่ได้มีความรู้สึกอะไร เพียงนึกขึ้นมาได้

“ผู้อาวุโสหลู่ เขาจับได้ก็คือจับได้ ข้าคนแซ่จี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องพรรค์นี้ด้วยซ้ำ มันก็เป็นแค่ขนมชิ้นหนึ่ง”

“ตอนนั้นท่านตั้งใจมอบให้ไม่ใช่หรือ”

ขอทานชราถามอีก เดิมทีจี้หยวนอยากตอบว่าท่านคิดมากเกินไปแล้ว แต่พลันหมดสนุกจะพูดกับเขา

“เรื่องมาถึงวันนี้ ผู้อาวุโสหลู่ไยต้องคิดถึงเรื่องในอดีตด้วย”

ขอทานชรายิ้ม

“ท่านจี้คิดว่าข้าพูดจาน่าเบื่อกระมัง ใช่ หากพูดถึงการฝึกปราณและเขตแดน ข้าผู้ชราด้อยกว่าท่านขั้นหนึ่ง ตอนที่หยางจงกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาสมควรได้เป็นศิษย์ของข้า เป็นข้าทำให้ท่านจี้รู้สึกผิดหวังแล้ว”

“ไม่ว่าเป็นศิษย์ที่เหลือลมหายใจอยู่ไม่เท่าไหร่หรือไม่ แนวคิดก่อนตายและหลังตายของข้าและหยางจงล้วนแตกต่างกัน มีคำกล่าวว่าตัวตายเหมือนตะเกียงมอด ร่างวิญญาณไม่ใช่คนอีกต่อไป…”

พอได้ฟังขอทานชราพูดแบบนี้ จี้หยวนหันไปมองเขาตามสัญชาตญาณ ความนัยในคำพูดนี้เหมือนจะมีความหมายลึกซึ้ง

“ทำไม ตอนนี้ผู้อาวุโสหลู่อยากรับหยางจงเป็นศิษย์แล้วหรือ แต่ท่านพูดแล้วว่าตัวตายเหมือนตะเกียงมอด ในเมื่อก่อนหน้านี้สนใจความสมบูรณ์ของร่างวิญญาณนี้ ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วหรือ”

ทั้งสองคนเดินถึงศาลเจ้าที่แล้ว ขอทานเด็กในศาลวิ่งออกมาแล้วเช่นกัน หยุดบทสนทนาของทั้งคู่เอาไว้

เพราะจี้หยวนและขอทานชราล้วนปรากฏตัว ไม่ได้สำแดงวิชาพรางตา เทพเจ้าที่จึงไม่ปรากฏกายออกมา

“ท่านปู่หลู่!”

เสี่ยวโหยววิ่งพลางกระโดดเข้ามา ในกระเป๋าเสื้อขอทานตุงมาก แปดส่วนเป็นของเซ่นไหว้ แต่ด้วยนิสัยของขอทานเด็กไม่มีทางขโมยมาแน่นอน

“ท่านจี้!”

หลังจากนั้นขอทานเด็กคารวะจี้หยวน แล้วถึงเข้าใกล้ตัวขอทานชรา นำอาหารในกระเป๋าเสื้อตนเองให้อีกฝ่ายดูราวกับของมีค่า

“ไปเถอะ แม้เป็นของที่เจ้าที่มอบให้เจ้า แต่หากถูกผู้มีศรัทธาเห็นเข้า อาจถูกไล่ออกมาด้วยไม้กวาดก็เป็นได้!”

จี้หยวนเย้าคำหนึ่ง ทำให้ขอทานเด็กหน้าถอดสี รีบลากขอทานชราจากไป

สามคนเพียงประสานมือให้ทางศาลเจ้าที่แล้วหมุนกายไป ฝ่ายจี้หยวนและขอทานชราไปได้พักหนึ่งแล้วถึงค่อยต่อบทสนทนา

คราวนี้ชายชราเปิดเผยกับจี้หยวนในที่สุด

“ท่านจี้ วันนั้นท่านเห็นข้าถูกตัดศีรษะ รู้สึกว่าอัศจรรย์อยู่บ้างหรือไม่”

เรื่องนั้นจะลืมลงได้อย่างไร จี้หยวนพยักหน้าตอบตามตรง

“วันนั้นผู้อาวุโสถูกตัดศีรษะจริง ไม่ได้ใช้วิชาบังตา เลือดที่ติดเป็นคราบล้วนเป็นของจริง อัศจรรย์จริงๆ หากพูดตามหลักการแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกเซียน กระนั้นไม่ใช้วิชาวิเศษและไม่มีกายเนื้อแข็งแกร่งคุ้มกัน ถูกตัดศีรษะเช่นนั้นต้องถึงชีวิตแน่นอน”

“ฮ่าๆ…”

ขอทานชราอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ กล่าวในใจว่าในที่สุดก็มีจุดให้จี้หยวนเลื่อมใสตนแล้ว

“ข้าเตรียมรับศิษย์หยางจงผู้นี้แล้ว รอเขาได้รับโทษจากศาลมืดก่อน แล้วข้าจะไปรับตัวเขาที่ปรโลก ไม่รบกวนท่านจี้ร่วมทางไปด้วย ทว่าขอท่านจี้ทิ้งตำราบัญชาไว้ ที่จังหวัดจิงจีต้องยิ่งไว้หน้าท่านยิ่งกว่า”

“นั่นไม่ยาก แต่ตอนนี้ข้าคนแซ่จี้สงสัยยิ่งนัก ฟังที่ผู้อาวุโสพูดแล้ว ท่านยังทำให้ร่างวิญญาณหยางจงสมบูรณ์ได้หรือ”

ผีฝึกปราณเป็นเรื่องยาก เดินบนเส้นทางเทพยิ่งยากเป็นทบทวี นั่นเป็นเพราะร่างกายไม่สมบูรณ์พร้อม ผีฝึกวิชาร่างทองไม่มีทางมุ่งหน้าสู่คำว่าสมบูรณ์ ที่ขอทานชราพูดถึงไม่เหมือนกับต้องการให้ศิษย์ตนเองเดินเส้นทางเทพสักเท่าไหร่

ยากนักที่จะได้เห็นสีหน้าจริงจังและสงสัยของจี้หยวน ในใจขอทานชราพลันเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ

“ข้าผู้ชรามีวิชาอัศจรรย์ที่คิดค้นมานานแล้ว ตอนนั้นถูกตัดศีรษะก็เป็นเพียงการแสดงแขนงหนึ่ง ร้อยปีมานี้ข้าเลี้ยงดูบัวหยกมรกต บัดนี้ออกดอกแล้วสามหรือห้าดอก มีรากแล้วสิบกว่าราก มันมีค่าเป็นอย่างยิ่ง คล้ายคลึงกับไม้ไผ่เซียน เก็บรักษาวิญญาณที่ออกจากร่างแล้วได้ดีที่สุด ทำให้วิญญาณใหม่ของหยางจงไม่อยู่ในดินแดนแห่งความตายก่อน จากนั้นท่านจี้เดาดูสิว่าข้าผู้ชราคิดทำอะไร”

ตอนที่ขอทานชราพูดถึงบัวหยกมรกต ในหัวจี้หยวนมีภาพหนึ่งผุดขึ้นมา เด็กอวบอ้วนสวมตู้โตวสีแดง จับหงหลิง และเหยียบบนวงแหวนแห่งไฟ

“ผู้อาวุโสหลู่อย่าบอกนะ ว่าท่านไม่เพียงคิดใช้รากบัวหยกมรกตแทนกายเนื้อแท้จริงของหยางจงเท่านั้น”

ขอทานชรารอจี้หยวนพูดว่าไม่รู้ จากนั้นค่อยบอกคำตอบที่น่าประหลาดใจให้อีกฝ่ายฟัง ปรากฏว่าฟังจากคำตอบของจี้หยวนแล้ว เขางุนงงอยู่บ้าง พูดโพลางออกมาทันที

“ท่านเดาได้ด้วยหรือนี่!?”

ข้ายังต้องเดาอีกหรือไร

มุมปากจี้หยวนกระตุกครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ภาพที่ปรากฏในหัวเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เป็นภาพฮ่องเต้ชราหยางจงที่ซีดเซียวมีริ้วรอยทว่าไม่โกรธเคือง และภาพของนาจาที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มทับซ้อนกับภาพของฮ่องเต้ชราแล้ว

“ซี้ด…”

ภาพนี้เหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“เอ่อ ท่านจี้เป็นอะไรไป”

“ผู้อาวุโสหลู่ ท่านเตรียมสร้างกายเนื้อให้หยางจงอีกครั้ง แล้วคิดว่าจะใช้ร่างเด็กหรือรักษารูปลักษณ์เดิมเอาไว้”

ขอทานชราสงสัยยิ่งกว่าเดิม จี้หยวนไม่แปลกใจโดยสิ้นเชิง สีหน้าตกใจสักนิดไม่มีไม่ว่า กลับสนใจถามคำถามประหลาดเสียอย่างนั้น

“ย่อมรักษารูปลักษณ์เดิมไว้ หรือใช้ร่างเด็กจะมีข้อดีอย่างอื่น”

การตอบสนองของจี้หยวนชวนให้ขอทานชราคิดไปในทางนั้น

“ไม่ใช่ๆ รักษารูปลักษณ์เดิมไว้ก็ดี เด็กไม่มีข้อดีหรอก!”

จี้หยวนโบกมือ ท่าทางนั้นทำให้ขอทานชรามองเขาอย่างสงสัย สำหรับขอทานชราแล้ว จี้หยวนผู้นี้แปลกพิลึกเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ ทำได้เพียงขอตำราแล้วพาเสี่ยวโหยวไปศาลมืด

น่าเสียดายที่หลังจากนั้นจี้หยวนมองไม่เห็นอะไร การลงโทษหยางจงของศาลมืดดำเนินไปนานทีเดียว เห็นคนได้รับโทษแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ความชอบของเขา

บัวหยกมรกตของขอทานชราอยู่ที่อื่น กอปรกับขอทานชราไม่ยอมเปิดเผยที่มาที่ไปที่แท้จริงของตนเอง และถึงอย่างไรเสียก็นับว่าเป็นวิชาอัศจรรย์พิเศษ จะให้คนนอกเห็นไม่ได้อย่างแน่นอน

กระทุ้งอยู่หลายครั้งแล้ว ขอทานชรายังคงแกล้งโง่ จี้หยวนคิดว่าตนเองคงไม่ได้เห็นขั้นตอนปั้นคนหลังจากนี้ สุดท้ายจึงบอกลาและจากไป

การสวรรคตของฮ่องเต้ชราเป็นเรื่องใหญ่ของต้าเจินอย่างแท้จริง แต่ก็เหมือนกับไม่นับเป็นเรื่องสำคัญอะไร อย่างน้อยก็ไม่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านธรรมดามากนัก

นอกจากตอนที่รู้ข่าวเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้และเป็นประเด็นร้อนแรงระหว่างดื่มน้ำชาหลังมื้ออาหาร หลังจากนั้นก็ผ่านพ้นไป

พริบตาเดียวก็ถึงวันสุดท้ายของปีติงไห่แล้ว

ในวันที่สามสิบเอ็ดของเดือนสุดท้าย ทุกครัวเรือนของรัฐจีแปะแผ่นกลอนสีแดงและกระดาษแก้วประดับหน้าต่าง หากมีเงินขึ้นมาหน่อยก็แขวนโคมแดงอันใหญ่ ส่วนครอบครัวเศรษฐียิ่งเตรียมประทัดและข้าวของต่างๆ ไว้นานแล้ว และทุกบ้านต้องเตรียมอาหารค่ำคืนส่งท้ายปีอย่างตั้งใจ

ในลานบ้านตระกูลเว่ยแห่งจังหวัดเต๋อเซิ่ง สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ในเรือน มองนอกประตูอย่างเหม่อลอย

“วันที่สามสิบเอ็ดอีกแล้ว…”

ขณะนี้ข้างนอกเริ่มมีหิมะตกลงมา

“ฮูหยิน อากาศหนาวนัก ข้าปิดประตูดีกว่ากระมัง”

สาวใช้ข้างๆ เห็นว่าหิมะเริ่มลงแล้วจึงถาม

“ไม่ต้องหรอก มองหิมะก็ดีเหมือนกัน”

ตอนนี้นอกประตูหน้าของจวนตระกูลเว่ยมีคนสี่คนกำลังเดินมาถึง สองทำของผู้นำเร่งร้อน ท่าทางใจร้อนทนรอไม่ไหว

“หยุด พวกท่านเป็นใคร มาถึงประตูจวนตระกูลเว่ยของข้าด้วยธุระใด”

เว่ยอู๋เว่ยถอดหมวกบังลมของตนเองลง เผยให้เห็นใบหน้าเอิบอิ่ม

“เจ้าว่าอย่างไร!”

“ผู้นำตระกูล!”

“ผู้นำตระกูล!”

คนเฝ้าประตูเหล่านั้นส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นในทันที เว่ยหยวนเซิงทนไม่ไหวนานแล้ว วิ่งเข้าไปในจวนโดยตรง ส่งเสียงร้องเข้าไปในจวนตลอดทาง

“ท่านแม่…ข้ากลับมาแล้ว…ท่านแม่…หยวนเซิงกลับมาแล้ว…!”

เสียงนี้ไม่เพียงดังกังวาน แต่ยังแหลมชัดเจน ทำให้ดังเข้าไปในส่วนลึกในจวนแต่ไกล

สตรีที่นั่งอยู่ในเรือนลุกขึ้นยืนทันที

“เสี่ยวชุ่ย เจ้าได้ยินหรือไม่”

“เหมือนนายน้อยจะกลับมาแล้ว?”

ขณะกำลังพูดอยู่นั่น หยวนเซิงที่ฝีเท้าดุจลมกรดอาศัยความทรงจำวิ่งมาถึงเรือนนอนของมารดาแล้ว

“ท่านแม่!”

มู่ซื่อมองเด็กชายอายุเจ็ดแปดปีตรงหน้า แม้ตัวโตขึ้นไม่น้อย ทว่ามองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นเว่ยหยวนเซิง

“หยวนเซิง!”

“ท่านแม่!”

เว่ยหยวนเซิงโผเข้าหาอ้อมกอดของมู่ซื่อ ออมแรงเอาไว้อยู่บ้างจึงไม่ทำให้นางล้มลง

“ไยตั้งนานแล้วพวกเจ้าไม่กลับมาเยี่ยมแม่ ไยตั้งนานแล้วพวกเจ้าไม่กลับบ้าน…แม่คิดว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ได้เจอพวกเจ้าอีกแล้ว…”

การรอคอยตลอดห้าปียาวนานเกินไป มู่ซื่ออดน้ำตาไหลร้องไห้ส่งเสียงออกมาไม่ได้