ตอนที่ 299 เจ้าจะตายไม่ตาย

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 299 เจ้าจะตายไม่ตาย

จี้หยวนแปลกใจในการตอบสนองของปีศาจวัวอยู่บ้าง

ถึงเขาไปโรงเตี๊ยมมาแล้ว แต่ความเร็วของปีศาจวัวแม้ไม่ช้า อีกทั้งไม่ได้ใช่วิชาหลบหนีพิเศษอะไร อยากตามให้ทันย่อมมีวิธีอยู่แล้ว กระนั้นก็อาจเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าจี้หยวนตั้งใจคอยอยู่ที่นี่

“ข้าไปโรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์ในเมืองมาแล้ว…”

เมื่อได้ยินจี้หยวนยืนยัน ปีศาจวัวผ่อนลมหายใจ ทว่ายังคงถามอีก

“แล้วขนนี้เจ้าได้มาจากที่ใด ในโรงเตี๊ยมหรือ”

จี้หยวนได้ยินมันถามแล้วประหลาดใจทีเดียว

“เจ้าไม่รู้ว่าขนนี้ร่วงอยู่ที่โรงเตี๊ยมหรือ”

คิดไม่ถึงว่าจี้หยวนถามจบแล้ว ปีศาจวัวกลับรีบย้อนถาม

“อ๋อ ได้มาจากที่โรงเตี๊ยมก็ดี ข้าคิดว่า…อืม เจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าขนนี้เป็นของใครใช่หรือไม่”

ทั้งสองสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง

ปีศาจวัวเห็นจี้หยวนมีสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก มันถอนหายใจโล่งอกอย่างน่าประหลาด

“ฮู่…ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ที่มีท่วงท่าสงบนิ่งอย่างเจ้าคงไม่พูดเรื่อยเปื่อย เห็นทีเจ้าไม่พบนาง อีกทั้งไม่รู้จักนางด้วย!”

จี้หยวนไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง แม้จะมีความสงสัยอัดแน่นอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ากลับขมวดคิ้วเท่านั้น

“ไยเจ้าถึงพูดแบบนี้ คนที่เจ้ากลัวเป็นใครกัน”

พูดแล้วจี้หยวนพลันฉุกคิดขึ้นได้ ปีศาจวัวตัวนี้ไม่ขี่ลมปีศาจและไม่ใช้วิชาหลบหนีอะไร เพียงใช้วิชาบังตาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จี้หยวนจึงมองขนในมือตนเองแล้วถาม

“ตลอดทางที่เจ้าเดินมา หรือว่ากำลังหลบหนีมัน”

“ไม่ใช่หลบหนีนางแล้วต้องหลบหนีเจ้าหรือ”

ปีศาจวัวยอกย้อนคำหนึ่ง พิจารณาจี้หยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ข้าขอแนะนำให้เจ้าทิ้งขนอัปมงคลนี้ไปเสีย คนผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร ขนนี้เหมือนกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น หากมันยาวขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่านางเข้ามาใกล้แล้ว ข้าขอตัวล่ะ!”

ปีศาจวัวชี้ที่หลังคอตนเอง พูดจบแล้วเตรียมตัวเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทว่าตอนที่ปีศาจวัวหมุนกาย จี้หยวนจับจ้องตรงหลังคอของมันเพื่อสังเกตอย่างละเอียด มองเห็นว่ามีขนบางๆ สีน้ำตาลเข้มอยู่ตรงนั้น สีสันใกล้เคียงกับขนในมือจี้หยวนทีเดียว

เห็นทีขนสีน้ำตาลเข้มบนมือจี้หยวนจะเป็นขนที่ปีศาจวัวดึงมาจากคอตนเอง

“เจ้าเหมือนจะไม่ใช่ปีศาจที่มีปราณสกปรกตั้งแต่กำเนิด ไยถึงแบกสตรีเอาไว้ ในเมื่อเจ้าหลบหนีศัตรูคู่แข่ง แบกคนเอาไว้ไม่เหนื่อยแย่หรือ”

จี้หยวนลุกขึ้นยืน เพียงย่ำเท้าครั้งเดียวก็หอบลมบริสุทธิ์ไปถึงตรงหน้าปีศาจวัวแล้ว ขวางทางไปของมันเอาไว้

ปีศาจวัวแฉลบไปด้านข้างแล้วก้าวไปข้างหน้าต่อ ทว่าถูกจี้หยวนขวางทางอีกครั้ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปยังทิศทางไหนก็ไปต่อไม่ได้ทั้งสิ้น

“เจ้าเรื่องเยอะเสียจริง! มีมรรควิถีอยู่บ้างก็อวดอ้างหรือ เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกเซียน รู้จักการล่วงประเวณีของมนุษย์หรือไม่ พวกเขาลงมือจู่โจมข้าก่อน ในเมื่อมีเจตนาร้าย หากตายก็สมควรแล้ว ข้าจะไม่กินนางและไม่ฆ่านาง ถึงเวลาแล้วจะปล่อยนางเอง”

“แล้วเจ้าจับนางไปทำอะไร”

จี้หยวนถามด้วยความสงสัย

“ข้า…ข้าจะพานางไปสั่งสอน! ข้าถูกวางแผนล่อลวง หรือว่าข้าสั่งสอนนางไม่ได้เลย ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว! เจ้าอย่ามาขวางข้า ไม่เช่นนั้นก็อย่ากล่าวโทษที่ข้าต้องลงมือ”

สายตาจี้หยวนฉายความเจ้าเล่ห์ พิจารณาปีศาจวัวโดยละเอียดอย่างอดไม่ได้ ทว่าหลังจากสายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าปีศาจวัวพริบตาหนึ่ง ก็ถูกขนสีน้ำตาลที่หลังคอของมันดึงดูดความสนใจแล้ว พบว่าขนเริ่มยาวขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“แย่แล้ว กลั้นไว้ไม่อยู่ นางต้องมาแล้วแน่ๆ!”

ปีศาจวัวกล่าวด้วยความตกใจ ยื่นมือดึงขนยาวที่หลังคอตนเองทันที หลังจากโยนทิ้งไว้ข้างทางแล้วพ่นไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งใส่ผ่ามือ จากนั้นทาบที่หลังคนตนเองอย่างแรง แสงเจือจางกลุ่มหนึ่งกะพริบวูบวาบระงับการงอกใหม่ของขนที่หลังคออย่างบ้าคลั่ง

จี้หยวนชะงักก่อนนึกขึ้นได้ในทันที หันไปยังทางมาด้วยความงุนงง

“แย่แล้ว เยี่ยนเฟย!”

กระบี่เครือเขียวข้างหลังเผยปราณกระบี่ คมกระบี่ส่งเสียงดังหึ่ง ทำลายวิชาบังตาที่ปีศาจวัวกำลังใช้ในตอนนี้ จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันระวัง รับสตรีบนไหล่ปีศาจวัวแล้วเดินไป

จากนั้นจี้หยวนไม่หยุดฝีเท้า หมุนกายอ้อมปีศาจวัวไป เดินกลับไปยังทางขามาอย่างเร่งรีบ เจตจำนงมังกรเหินพัวพันลมบริสุทธิ์ ยิ่งเร่งความเร็วมากกว่าเดิม

“สารเลว! เจ้าผู้ฝึกเซียนชิงตัวสตรีได้หรือ!”

ปีศาจวัวหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ข้างหลัง พ่นไอสีขาวระอุออกมาจากในจมูกด้วยระลอกหนึ่ง จี้หยวนที่อยู่ไกลลิบเพียงหันมามองมันเท่านั้น คร้านจะพูดจาไร้สาระ ไม่หยุดฝีเท้าเลยสักนิด

ปีศาจวัวนิสัยไม่เลว บนกายมีปราณสกปรกไม่มากเท่าไหร่ อีกทั้งมรรควิถีไม่ต่ำเตี้ย หากต้องการประมือต้องใช้ความพยายามไม่น้อย ประเด็นคือหากไม่ใช้ท่าไม้ตายคงเอาชนะมันไม่ได้ เมื่อใช้ท่าไม้ตายแปดส่วนสังหารอีกฝ่ายได้ ตอนนี้เยี่ยนเฟยอาจเกิดเรื่องแล้ว จี้หยวนย่อมต้องรีบกลับไปก่อน

“เจ้าๆๆๆ…”

ปีศาจวัวเห็นจี้หยวนไม่สนใจตนเองโดยสิ้นเชิง และพริบตาเดียวก็หนีออกไปได้ไกลมาก มันคิดตามไปด้วยความร้อนใจ แต่คลำท้ายทอยแล้วลังเลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดได้ร่องรอยของจี้หยวนก็หายไปแล้ว

ระยะสิบลี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอหนานเต้า เยี่ยนเฟยกำลังลงมือกับใครบางคน

ตอนนี้มีคนประหลาดสี่คนล้อมรอบเยี่ยนเฟย เล็บยาวเฟื้อยใบหน้าซูบตอบ แม้งุนงงแต่ความเร็วกลับไม่ช้า กระโดดขึ้นลงกระโจนตัวล้อมจู่โจมเยี่ยนเฟย

เยี่ยนเฟยเปลี่ยนท่าร่าง กระบี่ยาวในมือเปลี่ยนฝั่งซ้ายขวาหมุนกลับไปมา ไอสังหารดุดันกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ฟันกระบี่ออกไปรวดเดียวหกเจ็ดครั้ง

เคร้งๆๆ…

ฉัวะๆๆ…

หลังจากต้านกรงเล็บจู่โจมจากคนประหลาดสองคนได้แล้ว เยี่ยนเฟยฟันคนหนึ่งในนั้นจนเกิดแผลลึกเห็นกระดูกหลายแผล ทว่าอีกฝ่ายเหมือนกับไม่รู้สึกเจ็บโดยสิ้นเชิง บาดเจ็บแบบนี้แล้วยังคงจู่โจมเยี่ยนเฟยตามเดิม ถึงขนาดต้องการรัดตัวเขาไว้ด้วย

เยี่ยนเฟยย่ำเท้ากระโจนไปข้างหลังสี่ห้าจั้ง ระหว่างนั้นสะบัดกระบี่สร้างเงากระบี่ผืนหนึ่ง

เคร้งๆๆๆ…

“พวกเจ้าเป็นคนหรือผี ไยมาจู่โจมข้า”

เยี่ยนเฟยถามจบยังไม่ทันหอบหายใจ อีกฝ่ายก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง เขาไม่สนใจสูดลมหายใจแล้ว ทำได้เพียงยกกระบี่เข้าต่อสู้ต่อไป

ความเร็วของคนประหลาดพวกนี้รวดเร็วจริงๆ อีกทั้งมองข้ามความเจ็บปวด ทีแรกเยี่ยนเฟยถูกรุกคืบจนจนตรอกเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ชินกับการล้อมจู่โจมของพวกมันแล้ว ท่วงท่าไร้กฎเกณฑ์ ตอบสนองเชื่องช้าอย่างชัดเจน กลายเป็นว่าเขาเหวี่ยงกระบี่ได้จังหวะมากยิ่งขึ้น

หลังจากใช้วิชาตัวเบาตีลังกาแล้ว เยี่ยนเฟยพลิกตัวฟาดกระบี่กลางอากาศ ตัดศีรษะคนประหลาดได้สองคน

ศพไร้ศีรษะสองศพดุกดิกเล็กน้อย จากนั้นลมลงบนพื้นไป

‘ตายได้ก็ดี!’

เห็นศพนอนอยู่บนพื้น เยี่ยนเฟยมั่นใจขึ้นมาก ตายไปแล้วสอง เหลือแค่สองก็จัดการง่ายขึ้นมาก

ขณะคิดได้แบบนั้น จมูกพลันได้กลิ่นแปลกสายหนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าสายตาพร่าเลือนไปชั่วครู่ ประสบการณ์การต่อสู้ที่ได้จากในยุทธภพหลายปีมานี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบที่มีเงื่อนไข

วินาทีนี้ใต้เท้าระเบิดท่าร่าง กระโจนไปด้านข้างอย่างแผ่วเบา ทว่าคนยังอยู่กลางอากาศก็รู้สึกว่าตรงเอวถูกบ่วงรัดไว้ ร่างกายถูกฉุดกระชากไปอีกทิศทางหนึ่ง

พร้อมกับที่เปลี่ยนทิศทาง เยี่ยนเฟยยังไม่ทันมองเห็น มือแกว่งกระบี่ไปข้างหน้า ทว่าแรงสะท้อนกลับของคมกระบี่คล้ายกับฟันลงบนหนังฟอกที่เหนียวและทนทานเป็นอย่างยิ่ง ฟันไม่ขาดโดยสมบูรณ์

ตอนนี้เยี่ยนเฟยก้มหน้าลง มองเห็นอะไรบางอย่างรัดเอวตนเองแล้ว

‘เส้นผม!?’

เยี่ยนเฟยประหลาดใจมาก ทันใดนั้นเสียงสตรีรื่นหูดังมาแล้ว

“ก่อนจับวัวตัวนั้นได้ จับบุรุษหน้าขาวอย่างเจ้าได้ก่อนก็ไม่แย่อะไร ฮิๆๆๆๆ…”

บนต้นไหวขนาดใหญ่ริมป่าไกลออกไปมีสตรีนั่งอยู่คนหนึ่ง แต่ที่จริงผมยาวมากจนน่ากลัว ผมกลุ่มหนึ่งยิ่งยื่นยาวมัดร่างเยี่ยนเฟยไว้ กระชากไปทางนางอย่างรวดเร็ว

ตอนเยี่ยนเฟยมองไป สตรีนางนี้กำลังมองมาพอดี สองสายตาสอดประสาน เยี่ยนเฟยพลันรู้สึกว่าสติพร่าเลือน กลิ่นแปลกในจมูกยิ่งเข้มข้นขึ้น

ผีร้าย? ปีศาจ?

ความคิดมากมายเกิดขึ้นในสมองเยี่ยนเฟย เขาอาศัยสติที่ยังคงแจ่มชัด กระตุ้นจุดลมปราณทั้งหมดทั่วร่าง ยิ่งโคจรปราณแท้ปิดกั้นจมูกตนเองเอาไว้

“ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ฮ่าๆๆๆ…”

เยี่ยนเฟยใช้ปราณแท้คิดประคองสติให้แจ่มชัด แต่ยังคงมึนศีรษะอยู่บ้าง

ชิ้ง…

เสียงกระบี่ชัดแจ้งดังขึ้น ในดวงตาของเยี่ยนเฟยเต็มไปด้วยแสงสีเงิน

“กรี๊ด…”

เสียงร้องน่าเวทนาของสตรีดังขึ้นในหูเยี่ยนเฟย ขณะเดียวกันแรงดึงร่างกายเขาพลันผ่อนลงเช่นกัน ทำให้เขาตกลงเบื้องล่าง

เมื่อเยี่ยนเฟยตกลงบนพื้นกลับมีคนประคองเขาไว้ รู้สึกว่าลมปราณสดชื่นเย็นสบายสายหนึ่งไหลเข้าสู่ร่างกายจากข้างหลัง ความรู้สึกเวียนศีรษะหายไปจนสิ้นในพริบตา

เยี่ยนเฟยสะบัดศีรษะแล้วมองไปข้างหลัง คนที่ยืนอยู่ก็คือจี้หยวน

“ท่านจี้!”

“อืม เจ้าถูกปีศาจล่อลวง นั่งและโคจรปราณให้ดี”

ขณะจี้หยวนพูด ความสนใจของเขาล้วนอยู่ที่ร่างสตรีซึ่งเสียศูนย์บนต้นไหว เทียบกับปีศาจวัวแล้ว สตรีนางนี้มีปราณปีศาจของแท้รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง

แรงควบคุมของกระบี่เครือเขียวค่อนข้างย่ำแย่ ดังนั้นตอนใช้อานุภาพกระบี่ค่อนข้างน้อยหรือต้องการความละเอียดอ่อน จี้หยวนล้วนสะบัดกระบี่ด้วยตนเอง

เมื่อครู่กระบี่นั้นเก็บงำปราณเป็นอย่างยิ่งเพราะเยี่ยนเฟยอยู่ใกล้แค่คืบ แต่ตอนนี้สตรีนางนี้ยังคงลุกขึ้นนั่งพร้อมมองมาทางนี้ด้วยสายตาอาฆาต จำต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

สตรีที่ล้มลงบนพื้นเมื่อครู่นี้ถูกกระบี่แล้ว ปราณปีศาจก่อนหน้านี้กระจายไป แต่ตอนนี้ปราณสกปรกรุนแรงรวมกับปราณปีศาจอบอวล แสงเงารอบข้างคล้ายกับถูกปราณปีศาจรบกวน สีสันยามค่ำคืนยิ่งมืดครึ้มกว่าเดิมอย่างชัดเจน มีเพียงดวงตาเรียวคู่เดียวที่ทอแสงออกมา

ขณะนี้มือซ้ายของจี้หยวนถือกระบี่ไพล่หลัง กระบี่เซียนเพียงเผยด้ามกระบี่ออกมามุมหนึ่ง มือขวาโบกอยู่ข้างหน้า สามารถชักกระบี่ได้ตลอดเวลา แม้สีหน้าเขาเรียบเฉย แต่ความจริงเพิ่มความระมัดระวังเป็นยี่สิบส่วนแล้ว

เขาแบ่งสติสนใจเยี่ยนเฟยพริบตาเดียว จากนั้นกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งลอยออกจากแขนเสื้อจี้หยวน

เพียงพูดว่า “จอมพลังจงมา” จอมพลังเกราะทองร่างใหญ่กำยำผิดปกติปรากฏข้างๆ จี้หยวน อีกทั้งประสานมือคารวะจี้หยวน

“นายท่าน!”

จี้หยวนชำเลืองมองจอมพลังแล้วกำชับอย่างไม่ยี่หระ

“ปกป้องดูแลจอมยุทธ์เยี่ยนท่านนี้”

“รับบัญชา!”

จอมพลังเกราะทองค่อยๆ ยืดตัวตรง ก้าวออกไปก้าวหนึ่งยังตรงหน้าเยี่ยนเฟย บนใบหน้าสีแดงไร้ความรู้สึก

จี้หยวนเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อันดุเดือดแล้ว หากสถานการณ์ไม่ดีก็ให้จอมพลังสังหารปีศาจสาวนางนี้เต็มกำลังได้เลย

แต่เรื่องราวกลับพัฒนาไปอีกทิศทางหนึ่งในเวลานี้ เมื่อเห็นจี้หยวนเรียกจอมพลังเกราะทองออกมา ความโกรธแค้นของปีศาจสาวค่อยๆ หายไปทีละน้อย

นางสังเกตจี้หยวนอย่างละเอียดกลับพบกระบี่เซียนที่ทอแสงสีเขียวรางๆ ข้างหลัง สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา

“กระบี่เซียนเครือเขียว! ท่านคือจี้หยวนหรือ!”

“ใช่!? เจ้ารู้จักข้าหรือนี่”

จี้หยวนหรี่ตาพิจารณา เพราะเมื่อเขากล่าวตอบออกไป ชัดเจนว่าปราณปีศาจของสตรีนางนี้ปั่นป่วนไม่น้อย

ตอนนี้เองเสียงวัวร้องสายหนึ่งดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่า

“ฮ่าๆๆๆๆ…ถือโอกาสตอนนี้นางป่วยใกล้ตาย ต้องขอบคุณท่านจี้ที่ช่วยข้า! มอ…”

แสงสีเหลืองสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เงาลวงมหึมาพุ่งเข้าใส่สตรีนางนั้น

ตึง…

พื้นดินสั่นไหว ตรงที่สตรียืนอยู่มีฝุ่นตลบอบอวล จี้หยวนยืยนิ่งอยู่กลางลมที่พัดขึ้นไม่ขยับเขยื้อน จอมพลังเกราะทองนอกจากขวางฝุ่นและเศษหินแทนเยี่ยนเฟย มันก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดอีก

ตึง…ตึง…ตึง…

กีบเท้าขนาดใหญ่ย่ำพื้นอย่างต่อเนื่อง เสียงปีศาจวัวก่อนหน้านี้ยังคงดังต่อเนื่อง

“ดูสิว่าเจ้าจะตายไม่ตาย ดูสิว่าเจ้าจะตายไม่ตาย…”