ตอนที่ 301 น้องเยี่ยนกับพี่หนิว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 301 น้องเยี่ยนกับพี่หนิว

“ท่านจี้ สี่คนนั้นคือ?”

เมื่อเห็นจี้หยวนพ่นไฟเผาคนที่ล้อมโจมตีตนก่อนหน้านี้เป็นเถ้าถ่าน เยี่ยนเฟยเอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้

แต่จี้หยวนยังไม่ตอบ ปีศาจวัวด้านข้างกลับพูดน้ำไหลไฟดับ

“สี่คนนั้นไม่ใช่คนแล้ว ล้วนถูกสตรีชั่วร้ายนั่นดูดแก่นพลังจนเกลี้ยง ดูท่าว่ากายเนื้อยังไม่ตาย แต่ไม่มีความรู้สึกและไม่มีจิตสำนึก มีแค่การโจมตีโดยสัญชาตญาณ นานเข้ารอกายเนื้อตายแล้ว พอเปลี่ยนเป็นภูตศพจะลำบากยิ่งกว่าเดิม ถึงตอนนั้นคาดว่าคงไม่ต่างจากผีดิบเท่าไหร่”

เยี่ยนเฟยขมวดคิ้วมองกระบี่ยาวของตน มิน่าสี่คนนั้นถึงประหลาดเช่นนี้ จากนั้นค่อยนึกถึงเป้าหมายเดิมซึ่งตนกับท่านจี้ตามออกมาขึ้นได้โดยพลัน

“ท่านจี้ หากกล่าวเช่นนี้ ผู้ร้ายในโรงเตี๊ยมก็คือปีศาจสาวเมื่อครู่หรือ”

จี้หยวนได้ยินแล้วมองปีศาจวัวที่อยู่ด้านข้าง

“อะแฮ่ม แหะๆ… น้องชายท่านนี้กล่าวไม่ผิด คนร้ายคือสตรีชั่วร้ายนั่น!”

ปีศาจวัวกล่าวสรุปอย่างหน้าไม่อาย สายตาเหลือบมองจี้หยวน พบว่าอีกฝ่ายไม่โต้แย้ง แต่กลับหยิบเส้นผมซึ่งเก็บได้ใหม่นั่นมานับนิ้วคำนวณ ปีศาจวัวพูดคุยกับเยี่ยนเฟยอย่างอบอุ่น

“น้องชายท่านนี้ ดูท่าว่าเจ้าเป็นแค่จอมยุทธ์ธรรมดา ข้าคนแซ่หนิวชอบรำทวนควงกระบอง พวกเรามารู้จักกันดีหรือไม่ ข้าชื่อหนิวป้าเทียน เป็นอย่างไร น่ายำเกรงหรือไม่! เจ้าชื่ออะไรเล่า”

แม้ว่าเยี่ยนเฟยรู้สึกกดดันอยู่บ้าง แต่ยังกุมกระบี่ประสานมือ

“เยี่ยนเฟย”

“อ้อ…”

ปีศาจวัวตอบรับคราหนึ่ง จากนั้นค่อยบุ้ยปากกล่าวเสียงเบาไปทางจอมพลังเกราะทอง

“เขาเล่า เจ้าหมอนี่ดูท่าไม่น่ายุ่งด้วยนัก ทั้งยังค่อนข้างเฉยชา ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เพียงไม่พูดจา แม้แต่ตายังไม่กะพริบ เมื่อครู่ตอนเห็นสตรีชั่วร้ายนั่นยังทำท่าเหมือนไม่เห็นใครในสายตา”

เยี่ยนเฟยมองจอมพลังเกราะทอง กล่าวอย่างลังเลเล็กน้อย

“ข้าคนแซ่เยี่ยนก็ไม่ทราบ แค่ได้ยินท่านจี้เรียกเขาว่าจอมพลัง…”

จี้หยวนนับนิ้วอยู่นาน สุดท้ายคือทักษะยังไม่พอ ทำนายอะไรไม่ได้ ได้แต่เก็บสิ่งนั้นไปอย่างจนปัญญา

เขาเหลือบมองปีศาจวัวกับเยี่ยนเฟย เห็นเจ้าวัวคุยกับเยี่ยนเฟยเช่นนี้แล้วรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง

“ไปเถอะ กลับเข้าเมืองกัน เรื่องคืนนี้พอฝืนนับว่าจบลงแล้ว”

จี้หยวนพูดจบแล้วสะบัดมือ จอมพลังเกราะทองเรืองแสงซ่านสลาย กลายเป็นกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งตกสู่มือเขา จากนั้นค่อยถูกเก็บเข้าแขนเสื้อ

ภาพนี้หนิวป้าเทียนเห็นแล้วอึ้งงันเล็กน้อย ก่อนหน้านี้มันไม่เห็นขั้นตอนยามจอมพลังถูกเรียกออกมา แต่ขณะที่มันยังตกตะลึงอยู่ จี้หยวนกลับก้าวเดินจากไปแล้ว

จี้หยวนไม่ได้สำแดงวิชาอะไร แค่เดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าว่องไว เยี่ยนเฟยมองหนิวป้าเทียนก่อนประสานมือบอกลา จากนั้นค่อยเร่งตามฝีเท้าจี้หยวน

ปีศาจวัวยืนอิดออดอยู่จุดเดิมครู่หนึ่ง ทั้งลองเดินตามสองสามก้าว พบว่าจี้หยวนเดินเร็วขึ้นแต่กลับไม่ตอบสนองอะไร มันรีบเร่งฝีเท้าตามช่วงหนึ่ง สุดท้ายค่อยเดินตามอยู่กับเยี่ยนเฟย

หนิวป้าเทียนมั่นใจว่าจี้หยวนมีวิชาร้ายกาจสามารถจัดการสิ่งที่หยั่งรากตรงต้นคอมันได้แน่ แม้ว่าสุดท้ายแล้วตอนนี้ยังไม่ค่อยกล้าเชื่อใจจี้หยวน แต่ถ้าปล่อยโอกาสนี้ไปคงไม่พอใจเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้คืนนั้นทั้งสามคนจึงกลับมาอำเภอหนานเต้าพร้อมกัน

พวกเขากลับโรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์ก่อน นำหญิงสาวหมดสติคนนั้นไปคืนห้องเดิม จากนั้นค่อยไปหาสถานที่กินข้าว

แน่นอนว่าอาหารมื้อก่อนหน้านี้หมดแล้ว จี้หยวนไม่กินข้าวได้ แต่ต่อให้วิชายุทธ์ของเยี่ยนเฟยดีแค่ไหนสุดท้ายก็เป็นคนธรรมดา แม้ว่าไม่กินสักมื้อสองมื้อคงไม่ถึงขั้นทนไม่ไหว แต่แน่นอนว่าต้องหิว เมื่อเข้าเมืองและไม่ขาดเงินก็ไม่จำเป็นต้องกินขนมเปี๊ยะ

ทว่าตอนกลับมาเวลาผ่านไปนานมากแล้ว โรงเตี๊ยมร้านอาหารมากมายปิดหมดแล้ว จำเป็นต้องไปหาโรงเตี๊ยมแห่งอื่น ถือโอกาสค้างแรมและให้โรงเตี๊ยมนำของที่เหลือในห้องครัวออกมาทั้งหมด

ยามลงทะเบียนโรงเตี๊ยม หลงจู๊ยังพึมพำเรื่องฟ้าผ่าเมื่อครู่ตลอด

ผ่านไปหนึ่งเค่อกว่า บนโต๊ะทรงเหลี่ยมตรงโถงโรงเตี๊ยม จี้หยวนกินอาหารเล็กน้อยก่อนกลับไปพัก เหลือแค่เยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนนั่งอยู่ตรงนั้น

ระหว่างทางกลับมาเยี่ยนเฟยถือว่ารู้จักกับหนิวป้าเทียนแล้ว ทั้งจี้หยวนยังเคยสื่อจิตบอกเขาว่าถึงแม้วัวตัวนี้เป็นปีศาจ แต่นิสัยถือว่าไม่เลว แค่ไม่มีเรื่องกับมันก็ไม่เป็นไร

สิ่งสำคัญกว่าคือมนุษย์มักมองแค่รูปลักษณ์ภายนอก หน้าตาเรียบง่ายของปีศาจวัวไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกถูกคุกคามจริงๆ เยี่ยนเฟยจึงไม่ถือว่ากลัวเจ้าวัวตัวนี้

นอกจากนี้เยี่ยนเฟยกับเจ้าวัวอยู่ตรงโถงโรงเตี๊ยมต่อเพราะต่างความคิด ฝ่ายแรกอยากรู้เรื่องเซียนปีศาจมากหน่อย ฝ่ายหลังอยากรู้เรื่องจี้หยวน

เมื่อครู่ตอนจี้หยวนยังอยู่และนั่งบนโต๊ะเดียวกัน เจ้าวัวไม่กล้าพูดมากเกินไป ส่วนเยี่ยนเฟยกินอาหารดื่มสุราคลายกลุ้ม รอเมื่อจี้หยวนจากไป นัยน์ตาเจ้าวัววาววาบ ย้ายก้นมานั่งบนเก้าอี้ยาวใกล้เยี่ยนเฟย

“น้องเยี่ยน ดูท่าว่าอารมณ์เจ้าคงไม่ค่อยดีนัก”

เยี่ยนเฟยถอนใจ ดื่มสุราในจอก มองปีศาจวัวอย่างจริงจัง

“ผู้อาวุโสหนิว วิชายุทธ์ติดตัวข้า สำหรับท่านถือว่าสร้างภัยคุกคามไม่ได้ใช่หรือไม่”

“เฮ้ยๆๆ อย่าแบ่งฐานะเลย เรียกว่าพี่หนิวก็พอ พี่หนิว…”

ด้านหนึ่งเจ้าวัวเอ่ยแก้คำพูดเยี่ยนเฟย อีกด้านยิ้มระรื่นรินเหล้าให้เยี่ยนเฟย คนธรรมดาทั่วไปมีหรือมันจะตีสนิทเช่นนี้ แต่วันนี้ต้องสร้างสัมพันธ์ให้ได้

“ความจริงแล้วน้องเยี่ยนวิชายุทธ์ร้ายกาจไม่ธรรมดา สำหรับเผ่าปีศาจทักษะโจมตีสังหารบางส่วนสำคัญมากเช่นกัน แค่คนธรรมดาแขนขาบาง ใช้การไม่ค่อยได้จริงๆ”

เหล่าหนิวพูดถึงตรงนี้แล้วรีบกล่าว

“แต่เจ้าต่างออกไป มีท่านจี้อยู่ เจ้าสามารถขอเรียนวิชาเซียนได้!”

เยี่ยนเฟยยิ้มก่อนส่ายหัวเล็กน้อย

“ท่านจี้ไม่สอนข้าหรอก ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้ สรุปคือข้าเข้าใจ ต่อให้ข้าเอ่ยปากขอ ท่านจี้ก็ไม่มีทางถ่ายทอดวิชาเซียนให้ข้า กลับจะดูถูกข้าแทน…”

เหล่าหนิวรินสุราให้เยี่ยนเฟยอีกครั้ง

“เฮ้อ น้องเยี่ยนเป็นมังกรในหมู่คนจริงดังคาด ถึงกับมีความรู้สึกเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าขอถามสักประโยค น้องเยี่ยนรู้จักกับท่านจี้เมื่อไหร่ เจ้ารู้เรื่องท่านจี้มากแค่ไหน อ้อๆๆ มาๆๆ ดื่มเหล้าๆ ชนจอกๆ!”

เจ้าหนิวยกชามสุราชนกับเยี่ยนเฟย จากนั้นค่อยดื่มต่อเนื่อง ตัวมันใบหน้าไม่เปลี่ยนสี เยี่ยนเฟยกลิ่นเหล้าคลุ้งอยู่บ้าง

“ตอนนี้คิดดูแล้วเกือบจำรายละเอียดบางส่วนเมื่อปีนั้นไม่ได้…”

“โธ่เอ๋ย เล่ามาเถอะ แค่ลองเล่า ข้าคนแซ่หนิวเจอน้องเยี่ยนครั้งแรกแต่รู้สึกสนิทเหมือนเพื่อนเก่า ทั้งนับถือท่านจี้มาก อยากทำความรู้จักหน่อย!”

เยี่ยนเฟยมองใบหน้าธรรมดาถึงขั้นทึ่มซื่อตรงหน้า ยากจินตนาการว่านี่คือปีศาจร้ายกาจตนหนึ่ง

“ว่าไปแล้วปีนั้นก็มีปีศาจตนหนึ่ง… ต้นฤดูใบไม้ผลิเมื่อสิบสองปีก่อน ณ รัฐจีแห่งต้าเจิน เจ้าสำนักเขาแสงคล้อยมีชื่อเสียงโด่งดังบนยุทธภพ ข้าตามผู้อาวุโสไปที่นั่นเพื่อฝากตัว รู้จักสหายร่วมอุดมการณ์อีกแปดคน…”

อำเภอหนิงอันเกิดภัยเสือร้าย จอมยุทธ์น้อยเก้าคนซึ่งมาเที่ยวเล่นรัฐจีจับมือกัน รับประกาศจากทางการมุ่งหน้าไปกำจัดภัยให้ปวงชน

ผลคือเจอเสือร้ายซึ่งเป็นภูตตัวหนึ่งกลางป่า เกือบจบชีวิตคาปากเสือ แต่ได้จี้หยวนช่วยไว้จึงเอาชีวิตรอดมาได้

หนิวป้าเทียนฟังอย่างจริงจังนัก ระหว่างนั้นตัดบทน้อยมาก ยิ่งไม่ลืมรินเหล้าให้เยี่ยนเฟย กระทั่งเยี่ยนเฟยเล่าเรื่องอำเภอหนิงอันเมื่อปีนั้นจบค่อยคิดอะไรได้

“จากนั้นวันนี้ตอนกลางวันค่อยเจอท่านจี้ตรงศาลาห้าลี้นอกเมืองอีกครั้ง หึๆ พวกโจรถ่อยไม่รู้จักดีชั่วคิดจะปล้นทรัพย์ทำร้ายท่านจี้…”

เยี่ยนเฟยไม่ได้เล่าเรื่องตามล่าคนร้ายคืนนี้ เขาถอนใจคีบเนื้อแพะตุ๋นซึ่งกลายเป็นวุ้นชิ้นหนึ่งเข้าปากค่อยเคี้ยว

“ตอนนั้นท่านจี้ยอมปล่อยภูตเสือร้ายนั่นไปจริงหรือ จากนั้นภูตเสือร้ายยังเคารพท่านจี้เหมือนศิษย์ด้วยหรือนี่”

“ใช่แล้ว เหตุการณ์นั้นภาพจำฝังลึก ข้าลืมไม่ลง”

แววตาหนิวป้าเทียนไหววูบ ยกชามสุราขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ปากยังกล่าวพึมพำ

“เซียนนำทาง…”

“พี่ อึก… พี่หนิวท่านว่าอะไรหรือ”

“อะ อ้อ ไม่มีอะไรๆ น้องเยี่ยนพวกเราดื่มต่อเถอะ หลงจู๊ สั่งเหล้าๆ เหล้าหมดอีกแล้ว เหล้าพวกเจ้าผสมน้ำใช่หรือไม่”

หลงจู๊ซึ่งงีบหลับตรงโต๊ะถูกเสียงตะโกนของหนิวป้าเทียนปลุก เขามองโต๊ะกินข้าวเพียงหนึ่งเดียว ไหสุราสองใบเล็กบนโต๊ะทรงเหลี่ยมกับอีกสองใบที่กลิ้งอยู่ใต้โต๊ะหมดเกลี้ยงแล้ว

“ดื่มมากขนาดนี้ไม่กลั้นปัสสาวะแย่หรือ…”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“ไม่มีอะไรๆๆ ลูกค้ารอสักครู่ ข้าจะนำเหล้ามาให้พวกท่านเดี๋ยวนี้!”

หลงจู๊ตอบรับรวดเร็ว รีบบอกลูกจ้างว่าไปนำเหล้ามา ใครสนว่าพวกเขาดื่มมากแค่ไหน ต่อให้ดื่มจนตายก็ไม่เป็นไร เงินมาไม่รับถือว่าโง่เง่าเต่าตุ่น

กระทั่งเที่ยงคืน เยี่ยนเฟยถูกหนิวป้าเทียนแบกกลับห้อง ถือว่าถูกเจ้าวัวมอมจนเมาแอ๋จริงๆ เกือบพูดเรื่องตนฉี่รดกางเกงตอนเด็กบนโต๊ะสุราแล้ว

เมื่อถึงห้องเยี่ยนเฟย หนิวป้าเทียนวางเขาลงบนเตียง แม้ว่าไม่ถอดเสื้อให้ แต่ยังห่มผ้าให้เขาชั้นหนึ่ง

แน่นอนว่าหนิวป้าเทียนรู้ปมในใจคืนนี้ของเยี่ยนเฟย สุดท้ายก็คือความมั่นใจพังทลาย เห็นเยี่ยนเฟยนอนบนเตียงแต่ยังจับกระบี่ไม่ปล่อย มันทอดถอนใจเช่นกัน

‘มิน่าท่านจี้ถึงให้ความสำคัญกับเจ้า’

แน่นอนว่าเยี่ยนเฟยเมาจนหลับแล้ว แต่หนิวป้าเทียนยังยืนอยู่หน้าเตียงเขาพลางเอ่ยปากกล่าว

“น้องเยี่ยน ปีนั้นพวกเจ้าทำสัญญาต่อหน้าเสือร้าย ไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่เจ้าคิดแน่ ในเมื่อท่านจี้ทดสอบพวกเจ้า ท่านคงทดสอบเสือตัวนั้นด้วย ด้วยสภาพตอนนี้ของเจ้า พูดลำบากว่าจะถูกกินหรือไม่…”

ยามเจ้าวัวหันหลัง เยี่ยนเฟยที่อยู่บนเตียงละเมอกล่าวอย่างเมามาย

“ดื่ม… พี่หนิว ดื่มต่อ…”

หนิวป้าเทียนหันกลับมามอง

“หึๆๆ… แต่เจ้าวางใจเถอะ เจ้าเรียกข้าว่าพี่หนิว แน่นอนว่าข้าคนแซ่หนิวจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย อนาคตถ้าเสือตัวนั้นแปลงกายมา ข้าคนแซ่หนิวช่วยเจ้าซัดเขาเอง!”

ทั้งสามคนไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ห่างไปไกลอย่างน้อยเจ็ดแปดห้องถึงเป็นห้องของจี้หยวน

ตอนนี้จี้หยวนกำลังพิงเตียงด้วยท่านั่งฝึกปราณ กระบี่เครือเขียวพิงอยู่ข้างเตียงอย่างเงียบสงบ เขาไม่ได้ฝึกปราณทั้งไม่ได้นอนหลับ แต่อาศัยทักษะการฟังอันโดดเด่นอย่างหาได้ยาก ฟังทั้งสองคนคุยกันกลางดึกสงัดมานานแล้ว

บทสนทนาของหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยตอนอยู่โถงชั้นล่าง รวมทั้งคำพูดยามเจ้าวัวส่งเยี่ยนเฟยกลับถึงห้องภายหลัง จี้หยวนได้ยินทั้งหมด ตอนนี้เขาเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างอดไม่ได้

“น่าสนใจอยู่บ้าง!”