ตอนที่ 306 มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 306 มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่

คนชุดดำหัวเราะเบิกบาน วันนี้บังเอิญเจอคนเป็นถือว่าแก้ปัญหาเร่งด่วนของเขาได้

โจวซิ่งกับเคออวิ้นฉินถูกกรงเล็บผีรวบตัวจนหมดสติ คนชุดดำมองอีกสองคนซึ่งทรุดอยู่กับพื้น ทั้งสองคนถูกทำให้ตกใจจนเสียการควบคุม ภายใต้การรุมล้อมของผีโดยรอบอพวกเขาตกใจจนหมดสติ แต่คนชุดดำกลับไม่รังเกียจแม้แต่น้อย

“หึๆ อย่างน้อยก็ผิวหนังเนียนนุ่ม!”

คนชุดดำพอใจในตัวพวกเขามาก กำลังลงมือพาตัวไป

“ใต้เท้า ใต้เท้าคนพวกนี้มากินข้าวที่หอสุราของข้า พวกเราเป็นคนพบก่อน อย่างน้อยควรเหลือให้พวกเราสักหน่อย เหลือเจ้าสองคนบนพื้นให้พวกเราได้หรือไม่ ท่านไม่อาจนำตัวไปหมดเช่นนี้…”

หลงจู๊ของหอสุราคิดแย่งชิงอย่างอดไม่ได้ แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกคนชุดดำถลึงตาเจือแสงสลัวใส่

“อย่างเจ้ายังกล้ามาแย่งข้าหรือ ระวังวิญญาณเจ้าจะแตกซ่าน!”

คนชุดดำพูดเรื่องพวกนี้จบแล้วไม่ประชันฝีปากอีก ทั้งไม่ลงมือสั่งสอนภูตผีโดยรอบ แค่ยืดแขนสองข้างราวงูวิญญาณ พันรอบตัวทั้งสี่คนเพื่อมัดพวกเขา จากนั้นค่อยลากพวกเขาออกจากหอสุราไปทั้งอย่างนั้น

ในหอสุราตั้งแต่หลงจู๊ ลูกจ้าง จนถึงแขกคนอื่นได้แต่มองตาปริบๆ แต่ความรู้สึกบนหน้ากลับเหี้ยมเกรียมชวนประหวั่น

เมื่อเห็นคนชุดดำพาคนจากไปโดยไม่หวาดกลัว ความเดือดดาลของหลงจู๊หอสุราระเบิดออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั้งตัวเปลี่ยนเป็นผีร้ายผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าเขียวเขี้ยวงอกตนหนึ่ง

“ต่อให้ท่านเป็นทูตบริวารก็ไม่อาจเหิมเกริมเช่นนี้กระมัง”

เสียงสะท้อนของภูตผีสะเทือนถ้วยชาในโรงเตี๊ยม คนชุดดำบนถนนด้านนอกยิ้มหยันหันกลับมามองภูตผีในโรงเตี๊ยม

“ได้ ข้าให้โอกาสเจ้า ออกมาแย่งสิ”

ผีมากมายในโรงเตี๊ยมพากันเผยลักษณ์มรณะ จ้องคนชุดดำบนถนนด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม สำหรับพวกเขาเมืองผีซึ่งเข้าได้แต่ออกไม่ได้แห่งนี้ ความเย้ายวนของคนเป็นสี่คนมากเกินไปจริงๆ

คนชุดดำรอด้วยสายตาเย็นชา เหวี่ยงคนเป็นสี่คนซึ่งหมดสติไปริมถนน เวลาผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ตั้งแต่ต้นจนจบผีในโรงเตี๊ยมกลับไม่พุ่งออกมา ด้วยคนชุดดำเลิกชุดคลุมยาว เผยเชือกดึงวิญญาณพิเศษสีดำขลับพันรอบเอว

“หึ พวกสวะยังกล้าพูดมากอีก”

หลังจากแค่นเสียงเย็นชา คนชุดดำยื่นมือจับตัวอีกสองคน กลายเป็นเงาภูตผีพาพวกเขาสี่คนหายไปจากถนน

พวกผีในโรงเตี๊ยมเดือดดาล หลงจู๊ยิ่งหน้าเขียวผมตั้งคำรามลั่น

“อ๊าก… ทูตบริวารเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”

สถานที่บางแห่งในเมืองผี จี้หยวนพาหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยสำรวจโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเสร็จ กำลังเตรียมจะไปอีกแห่ง โรงเตี๊ยมสองแห่งซึ่งอยู่ใกล้คอกม้าที่พวกเขาจากมามีโอกาสเป็นที่พักเจ้าของรถม้ามากที่สุด

ตอนนี้จี้หยวนพลันได้ยินเสียงคำรามสะท้อนก้องบางส่วน

“อ๊าก… ทูตบริวารเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว… รังแกกันเกินไปแล้ว…”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ความกระจ่างในใจเกิดคลื่นระลอก ฝีเท้าหยุดชะงัก ยื่นมือนับนิ้วตามความคิดนี้ คิ้วขมวดขึ้นมาทันที

“ท่านจี้ ทำไมหรือ”

“ไปทางนั้น พวกเขาเกิดเรื่องแล้ว!”

จี้หยวนพูดประโยคนี้จบแล้วฝีเท้าว่องไว เงาร่างเลี้ยวไปอีกแห่งอย่างรวดเร็ว หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยรีบเดินตามไป

เมืองผีแห่งนี้ใหญ่กว่าที่คิดไม่น้อย แต่ยังไม่อาจเทียบกับอำเภอหนานเต้าได้ ที่นี่มีภูตผีนับไม่ถ้วนรวมตัวมาหลายปี ย่อมมีผีบำเพ็ญซ่อนตัวไม่น้อย จี้หยวนถึงขั้นรู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่าพวกศาลมืดบางแห่งที่เคยไปนัก คล้ายแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกบำเพ็ญมรรคผีจริงๆ

ดังนั้นต่อให้พาปีศาจวัวซึ่งไม่ได้ฝึกปราณแค่ผิวเผินมาด้วย จี้หยวนก็ไม่กล้าเผยตัวที่นี่เกินไป ยิ่งไม่กล้าบุ่มบ่ามสำแดงวิชาเหาะเหินด้วย

ถ้าสู้ตัวต่อตัวจี้หยวนย่อมไม่กลัวเซียนปีศาจเทพมารใด แต่หากจำนวนเหนือขีดจำกัดที่เขารับมือได้ สำหรับเขาถือว่าอันตรายมาก

รอจี้หยวนพาทั้งสองคนมาถึงนอกหอโผผิน แค่อยู่บนถนนก็เห็นปราณอาฆาตอบอวลในหอ ลูกจ้างโรงเตี๊ยมกำลังพลิกโต๊ะตัวหนึ่งกลับด้าน บนพื้นนอกจากถ้วยชามเศษอาหารบางส่วน ยังมีปัสสาวะเจือปราณหยางอีกสองแอ่ง

“ท่านจี้ ดูเหมือนว่าพวกเราคงมาช้าก้าวหนึ่ง”

หนิวป้าเทียนขยับเข้ามาใกล้พลางเอ่ยเสียงเบากับจี้หยวน ฝ่ายหลังพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน แต่ยังเดินไปทางหอสุรา คนยังมาไม่ถึงแต่เสียงดังเข้าไปแล้ว

“เอ๋… ที่นี่เกิดเรื่องอะไร ทะเลาะกันหรือ”

หลงจู๊กลับสู่สภาพปกติแล้ว แต่ปราณแค้นยังไม่สลาย เมื่อได้ยินเสียงจากนอกประตู เขากล่าวตอบเสียงเย็น

“ใต้เท้าทูตบริวารทำตัวอันธพาลนัก วันนี้หอสุรามีคนเป็นหน้าโง่มาสี่คน เดิมพวกเราพบก่อน แต่กลับถูกเขาใช้ปราณแกร่งกล้าชิงตัวไป แม้แต่ค่ากินข้าวของคนเป็นพวกนั้นยังไม่จ่ายเลย!”

หลงจู๊พูดถึงตรงนี้แล้วถอนใจ ปรับอารมณ์คิดยิ้มรับแขก

“แต่ถ้าลูกค้าอยากกินข้าวก็ย่อมได้”

“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ที่นี่มีคนเป็นมาด้วยหรือ น่าแปลกนัก ทูตบริวารนั่นแย่งคนไปเพราะคิดดูดพลังหยางเองหรือ”

จี้หยวนกล่าวด้วยเสียงแปลกใจพลางก้าวเข้ามาคุยกับหลงจู๊

“เฮ้อ หายากจริงๆ แต่เขาไม่ได้ชิงไปกินเอง คืนนี้มีงานเลี้ยงฉลองที่ท่านเจ้าเมืองฝึกปราณสำเร็จ ทูตบริวารคิดว่าถึงตอนนั้นจะนำคนเป็นมอบให้ท่านเจ้าเมือง ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าพาพวกคนเป็นไปซ่อนที่ไหน หึ ด้วยมีความเคารพต่อเจ้าเมืองอยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงสู้ตายกับทูตบริวาร ไม่มีทางกลัวเขาหรอก!”

หลงจู๊หรี่ตาเผยแสงสลัว หลังจากกล่าววาจารุนแรงเขาเพิ่งนึกอะไรได้

“อ้อ จริงสิ ถ้าลูกค้าอยากกินข้าว พวกเรา… เอ่อ…”

พวกแขกซึ่งเมื่อครู่ยังพูดคุยอยู่ตรงหน้าตน ตอนนี้กลับหายไปแล้ว

“คนเล่า พวกเจ้าเห็นว่าพวกเขาจากไปเมื่อไหร่หรือไม่”

พวกลูกจ้างร้านโดยรอบต่างส่ายหัว

“ไม่ทันสังเกตขอรับ แค่ชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว”

บนนถนนแน่นอนว่าพวกจี้หยวนไปตามหาทูตบริวารนั่น แต่เห็นชัดว่าทูตบริวารน่าจะกลัวผีตนอื่นตามติด ดังนั้นจึงซ่อนตัวดีนัก

อย่างน้อยวิชาทำนายของจี้หยวนก็หาตำแหน่งโดยละเอียดไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งไม่อาจมองหาว่าปราณหยางอยู่ตรงไหนของเมือง

‘คราวนี้ตึงมืออยู่บ้างแล้ว!’

สถานการณ์ตอนนี้มีแค่สองทางเลือก หนึ่งคือพลิกเมืองผีหาทูตบริวารและพวกดวงซวยให้ได้ สองคือรอพบเจ้าเมืองผีในงานเลี้ยงค่อยทวงคน

อย่างแรกถือว่าตบหน้ามาก ถ้าไม่ระวังอาจเป็นศัตรูกับทั้งเมืองผี อย่างหลังเป็นการตบหน้าเช่นกัน ถ้าไม่ระวังอาจเป็นศัตรูกับทั้งเมืองผีไม่ต่างกัน

เยี่ยนเฟยเป็นคนธรรมดา ถึงแม้รู้ว่าเรื่องราวพัฒนาไปในทางที่แย่ลง แต่ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ หนิวป้าเทียนกลับรับรู้ถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ตอนนี้

“ท่านจี้ พวกเราควรทำอย่างไร อาละวาดเลยดีหรือไม่!”

ตอนนี้เจ้าวัวหลับตาเชื่อมั่นในตัวจี้หยวนยิ่ง ถึงขั้นคิดว่าหากท่านจี้ยินดี ใช้วิชาแก่กล้ายอดอภินิหารแปรเปลี่ยนฟ้าดิน ทำให้แกนสวรรค์เผยปราณหยางแท้สาดส่องเมืองผี ถึงขั้นตัดรากฐานของเมืองผีได้ ใครกล้าหาเรื่องคนร้ายกาจเช่นนี้เล่า

“อาละวาด? อาละวาดใคร ทั้งเมืองผีหรือ วัวเถื่อนอย่างเจ้ามาหาเรื่องหรืออย่างไร”

จี้หยวนถามกลับประโยคหนึ่ง หนิวป้าเทียนเกาหัวพลางกล่าว

“แม้ว่าข้าคนแซ่หนิวมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของผีเมืองนี้ รับมือไม่ค่อยไหว แต่ด้วยความสามารถของท่านจี้ ข้าไม่เชื่อว่าในเมืองผีจะมีใครขวางพวกเราได้!”

“เจ้านี่มัน…”

จี้หยวนไม่ได้กล่าวคำว่า ‘พูดเพราะไม่ใช่เรื่องตัวเอง’ เขาพลันทอดมองไปทางประตูเมืองด้วยมีปราณปีศาจทะลวงฟ้า

“มีคนบุกเข้ามาหรือ”

หนิวป้าเทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น แต่จี้หยวนกลับส่ายหัวโต้แย้ง

“ไม่คล้ายคลึง แม้ว่าปราณปีศาจนี้เปี่ยมท้น แต่ไม่มีเจตนาบุกรุก คล้ายเป็นวิธีเผยฐานะอย่างหนึ่ง หลงจู๊บอกว่าคืนนี้มีงานฉลองบางอย่าง อาจเป็นแขกซึ่งมาเข้าร่วม!”

พวกจี้หยวนพูดพลางเดินไปทางนั้น คิดลองดูว่าปีศาจที่มามีภูมิหลังอย่างไร

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ปราณปีศาจของแขกเหรื่อลุกโชนเช่นนี้ทั้งสิ้น เกรงว่าเจ้าเมืองผีแห่งนี้คงไม่ธรรมดาแน่นอน สิ่งนี้ทำให้จี้หยวนรอบคอบยิ่งกว่าเดิม

รถซึ่งไอน้ำวนรอบทั้งมีเกล็ดปลาปกคลุมคันหนึ่งขับอยู่บนถนนใหญ่กลางเมืองช้าๆ สิ่งที่ลากรถเบื้องหน้าไม่ใช่ม้า หากแต่เป็นสัตว์ปีศาจน้ำสี่ขาชนิดหนึ่ง จมูกพ่นไอน้ำสะเทือนถึงด้านหลัง ทำให้ทั้งขบวนรถอบอวลด้วยฟองคลื่น

ขบวนรถนอกจากรถมหึมาคันหนึ่งแล้ว ด้านหน้าด้านหลังยังมีบริวารส่วนหนึ่ง บ้างถืออาวุธบ้างยกหีบ ทุกตนล้วนเผยปราณปีศาจ ดูแล้วอลังการนัก

ตอนนี้คือช่วงกลางวัน ภูตผีเตร็ดเตร่ในเมืองไม่มาก เดิมผีในเมืองส่วนใหญ่อยากเข้ามาดูใกล้ๆ แต่ความยิ่งใหญ่ของปราณปีศาจบีบพวกเขาจนไม่กล้าเข้าใกล้

บนรถมีชายหญิงหน้าตางดงามนั่งอยู่ หลังจากเข้าเมืองมาทั้งสองคนมองทัศนียภาพในเมืองผ่านม่านไข่มุกด้านข้าง

“จำต้องพูดว่าเมืองผีไร้ขอบเขตแห่งนี้ประสบความสำเร็จอยู่บ้างจริงๆ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เหล่าอู๋หยาทะลวงระดับแล้วมรรควิถีรุดหน้าแค่ไหน”

“สุดท้ายก็เป็นผี!”

“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก จริงอยู่ว่าร่างผีบกพร่อง แต่ต่อให้…”

คำพูดฝ่ายชายหยุดลงตรงนี้

“ต่อให้อะไร”

ฝ่ายหญิงหันมามองเขาอย่างแปลกใจ พบว่าอีกฝ่ายเบิกตากว้าง มองไปข้างหน้าอย่างอึ้งงัน สายตาเคลื่อนตามรถม้า

“หยุดรถ!”

ฝ่ายชายพลันตะโกนลั่น ทำให้หญิงสาวด้านข้างตกใจ

“รีบลงรถตามข้ามาๆ! คิดไม่ถึงว่าผีอู๋หยาจะเชิญเขามาด้วย!”

ฝ่ายชายคว้ามือหญิงสาวพลางกล่าวด้วยเสียงร้อนรน ลากนางลงมาจากรถพร้อมกัน

ข้างขบวนรถหนิวป้าเทียนขมวดคิ้วมองขบวนรถที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เอียงคอหันมากล่าวกับจี้หยวน

“ท่านจี้ ทำไมรถคันนี้ถึงหยุดกะทันหัน”

เสียงเจ้าวัวเพิ่งสิ้นสุดก็เห็นชายหญิงชุดแพรสองคนลงมาจากรถ รีบเร่งวิ่งเหยาะมาทางนี้ เมื่อเดินมาถึงระยะหนึ่งจั้ง ทั้งสองคนค้อมตัวเก้าสิบองศาอย่างนอบน้อม คารวะมาทางตนอย่างมีมารยาท

“ข้าน้อยเกาเทียนหมิงแห่งทะเลสาบวารีนภา พาภรรยาซย่าชิวมาคารวะท่านจี้!”

จี้หยวนขมวดคิ้วใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่าง แค่ประสานมือคารวะตอบ

“ที่แท้ก็เป็นท่านเกาแห่งทะเลสาบวารีนภา ข้าจำได้ว่าท่านเคยไปเข้าร่วมงานวันเกิดของมังกรเฒ่าที่แม่น้ำเทียมฟ้าแห่งต้าเจินใช่หรือไม่”

“ถูกต้องๆ! ท่านจี้จำข้าได้ด้วย ถือเป็นเกียรติของข้าคนแซ่เกา! มิกล้าหยาบคายต่อหน้าท่านจี้ ท่านแค่เรียกชื่อข้าก็พอ นี่คือภรรยาข้า เป็นเผ่าวารีเช่นกัน ยังไม่กลายร่างเป็นมังกรเจียว!”

หนิวป้าเทียนพลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่บ้าง เยี่ยนเฟยที่อยู่ด้านข้างเข้าใจความรู้สึกเขาเช่นกัน

‘เดี๋ยวๆ… ท่านจี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่!’