ตอนที่ 316 คนธรรมดาไร้พลังเช่นนี้จริงหรือ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 316 คนธรรมดาไร้พลังเช่นนี้จริงหรือ

จี้หยวนพูดจบค่อยมองศพหมาป่ามหึมาบนพื้น ถ้าทิ้งอยู่ที่นี่ปราณชั่วร้ายคงอบอวล ผ่านไปช่วงหนึ่งย่อมง่ายต่อการเกิดสิ่งชั่วร้ายหรือปราณพิษ ทั้งยังถูกคนผ่านทางพบเห็น ดีไม่ดีอาจทำให้ผู้คนตกใจตาย

“ศพร่างนี้ทิ้งไว้ไม่ได้ จริงสิ เจ้าอยากกลืนกินหรือไม่”

จี้หยวนเอ่ยถามเจ้าวัวอย่างเป็นธรรมชาติมาก ความจริงเขารู้ว่าหลังจากฆ่าอีกฝ่าย ปีศาจบางตนจะเลือกกลืนกิน คำถามนี้ทำให้หนิวป้าเทียนอึ้งงัน ก้มมองร่างไร้วิญญาณของปีศาจหมาป่าซึ่งสภาพการตายน่าสังเวช

‘เมื่อครู่ท่านจี้ถามข้าว่าอยากกินเจ้าสิ่งนี้หรือไม่อย่างนั้นหรือ’

“เอ่อ ท่านจี้ ข้าคนแซ่หนิวไม่มีนิสัยเช่นนี้ อีกอย่างปราณปีศาจของเจ้าหมอนี่ปนเป ทั้งไม่มีสมบัติอะไรซ่อนแฝงติดตัว ดูแล้วน่ารังเกียจพิกล ข้าจะกินมันเพื่ออะไร”

จี้หยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ข้าแค่นึกถึงสหายเก่ายามกำจัดปีศาจร้าย เขาชอบกลืนกินพวกมันให้สิ้นเรื่อง ข้าจึงคิดว่าเจ้าชอบเช่นกัน”

“ใครกัน เป็นปีศาจเหมือนกันหรือ”

หนิวป้าเทียนเอ่ยถามอย่างสงสัย จี้หยวนเองไม่ปิดบัง

“ฝืนนับว่าใช่กระมัง เขาคือมังกรเฒ่าแห่งแม่น้ำเทียมฟ้าในอาณาจักรต้าเจิน หรือก็คือประมุขมังกรที่เกาเทียนหมิงพูดถึง”

เจ้าวัวตัวสั่นตามจิตใต้สำนึก บางคำซึ่งเดิมคิดกล่าวออกมาติดอยู่ตรงลำคอ ตัวตนระดับมังกรแท้อัศจรรย์และร้ายกาจเกินไป ท่านจี้กล้ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ แต่เขาไม่กล้าพูดจาส่งเดช

“ในเมื่อเจ้าไม่กิน เช่นนั้นข้าจะทำลายศพปีศาจตัวนี้แล้ว”

มีเพลิงสมาธิอยู่ การทำเรื่องเช่นนี้ถือว่าสะดวกยิ่ง

เมื่อจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ เจ้าวัวนึกถึงภาพตอนอยู่นอกอำเภอหนานเต้า ยามท่านจี้ใช้ปราณเพลิงเผาร่างไร้วิญญาณ

“ช้าก่อน! ท่านจี้ช้าก่อน!”

เจ้าวัวรีบร้องออกมา ภายใต้การจับจ้องอย่างสงสัยของจี้หยวน เขารีบวิ่งค้นหารอบร่างไร้วิญญาณของปีศาจหมาป่า

เหลียวซ้ายเจอเศษผ้าส่วนหนึ่ง เหลียวขวาพบเชือกคาดเส้นหนึ่ง ค้นหาอยู่นานจนสุดท้ายค่อยยิ้มเผล่ด้วยเจอเศษหยกประดับสองสามชิ้นกับถุงเงินปักลายหมาป่าใบหนึ่ง

เจ้าวัวชั่งน้ำหนักถุงเงินใบนี้เล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงจึงเปิดออกดู ภายในมีเศษเงินกับเศษทอง

“แหะๆๆ เรียบร้อยแล้วๆ เชิญท่านตามสบาย!”

จี้หยวนไม่ต่อว่าการกระทำนี้ของเจ้าวัว กลายเป็นว่าช่วยเตือนเขาแทน เขาเข้าใกล้ร่างไร้วิญญาณของปีศาจหมาป่า สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ศพหมาป่าพลิกกลับด้านเผยช่วงลำคอ

เขาไม่สนคราบเลือดบนพื้น เดินเข้าใกล้อีกสองสามก้าว ยื่นมือแตะคอศพปีศาจหมาป่า ดึงขนหมาป่าออกมากำหนึ่ง

ขนหมาป่าพวกนี้สีเทาอ่อนเลือนราง ยาวราวหนึ่งนิ้ว อ่อนนุ่มเหนียวแน่นคุณภาพเป็นเลิศ ทั้งมีแสงอร่ามไหลวนรางๆ

หนิวป้าเทียนมองขนหมาป่ากำนี้แล้วยิ้มกล่าว

“ดูท่าว่าข้าคนแซ่หนิวคงพูดผิด หมาจรจัดตัวนี้ยังมีของดีอยู่บ้าง หากไม่ใช่ว่าท่านจี้สายตาแหลมคม พวกเราคงพลาดแล้ว…”

ขณะกล่าวแม้ว่าหนิวป้าเทียนมองจี้หยวนกับขนหมาป่าในมือเขา แต่สายตากลับเหลือบเห็นใต้ฝ่าเท้าของจี้หยวน เห็นชัดว่าเหยียบบนเลือดสกปรกของปีศาจหมาป่า แต่เลือดกลับไหลห่างจากเท้าท่านจี้ ถึงขั้นว่าปราณชั่วร้ายในโลหิตยังไม่แปดเปื้อนท่านจี้แม้แต่น้อย

ส่วนจี้หยวนใช้วิชาอภินิหารอะไรหรือไม่ เจ้าวัวยอมรับว่ามรรควิถีแตกต่างกันเกินไป ไม่แน่ว่าตนจะสามารถมองออก แต่สัญชาตญาณรู้สึกว่าท่านจี้ไม่ได้สำแดงวิชาอภินิหารใด

เจ้าวัวยังครุ่นคิด ครู่ต่อมาก็เห็นจี้หยวนอ้าปากพ่นลมหายใจ ปราณเทาแดงม้วนคลุมศพหมาป่า ไม่มีแสงเพลิงพุ่งสู่ฟ้า แต่ทั้งตัวส่องสว่างเหมือนเพลิงเผาถ่านไม้

เมื่อปีศาจตายปราณดั้งเดิมกับปราณวิญญาณที่เหลืออยู่บนศพจะเหมือนจอกแหน ไม่มีทางต้านทานเพลิงสมาธิได้ กลับกลายเป็นวัตถุดิบอย่างดีในการเผาผลาญ เวลาเพียงครู่หนึ่งศพปีศาจหมาป่าทั้งตัวกลายเป็นเถ้าถ่านโดยสมบูรณ์ นอกจากความเสียหายบนพื้นที่เกิดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว อย่างอื่นล้วนมองอะไรไม่ออก

“ไปกันเถอะ”

จี้หยวนพูดจบแล้วขี่ลมขึ้นจากพื้นก่อน ลอยกลับไปยังเมืองลู่ผิง หนิวป้าเทียนขยับแขนเล็กน้อย สุดท้ายค่อยมองรอยดำบนพื้นวูบหนึ่ง ก่อนตามหลังเขาไปติดๆ

“ท่านจี้ จวนตระกูลหลางนั่นเล่า”

จี้หยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย

“ที่เหลือล้วนเป็นคนธรรมดา เมื่อปีศาจหมาป่าตาย เริ่มแรกอาจตามหากันช่วงหนึ่ง นานเข้าจะมีผู้ได้ประโยชน์คนอื่นมาเสนอตัวแย่งชิงอำนาจ จากนั้นคงอลหม่านพักหนึ่ง หลังจากข้าทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”

ตั้งแต่ร้านตลาดถึงชนชั้นสูง โลกมนุษย์ล้วนไม่เคยง่ายดาย เมื่อขาดนายท่านหกตระกูลหลาง ไม่มีปีศาจใช้วิธีนี้กินคน ย่อมมีผู้ทรงอำนาจผู้ช่วงชิงมากมายเข้ามา ‘กินคน’

ภายในจวนตระกูลหลาง พวกบ่าวได้ยินเสียงกึกก้องจากห้องนายท่านตรงสวนด้านหลังแล้วพากันวิ่งมาตรวจสอบอย่างตื่นตระหนก

พวกบ่าวในเรือนต่างรู้ว่านายท่านจวนตระกูลหลางมีความเคยชินอย่างหนึ่ง นั่นคือเมื่อเขาพักผ่อนพวกบ่าวรับใช้ห้ามเข้าสวนด้านหลัง แต่ค่ำวันนี้เห็นชัดว่าเกิดเรื่อง บ่าวประจำตระกูลไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรแล้ว ทยอยวิ่งมาตรงสวนด้านหลัง

เมื่อมาถึงก็เห็นประตูกำแพงหน้าห้องนายท่านแหลกละเอียดทั้งแถบ ซ้ำเศษซากเกือบทั้งหมดล้วนอยู่ภายในห้อง คล้ายว่ามีสัตว์มหึมาอะไรพุ่งเข้าห้องกะทันหัน

ภายในห้องยิ่งเกลื่อนกลาดระเนระนาด เครื่องเรือนล้มคว่ำเตียงแหลกละเอียด พื้นเปี่ยมรอยแตกร้าว หลังคาด้านบนทะลุเป็นรูกว้าง

“นะ… นายท่านเล่า”

“ไม่รู้สิ มีจอมยุทธ์มาหรือ”

“เมื่อครู่ข้าเหมือนได้ยินเสียงวัวร้อง…”

“เฮ้ย ข้าก็ได้ยิน”

“พวกเราแจ้งทางการเถอะ?”

“แต่นายท่านเคยบอกว่าจวนพวกเราไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรห้ามแจ้งทางการไม่ใช่หรือ”

“นายท่านหายตัวไปทำอย่างไรดี”

พวกบ่าวรับใช้คุมสติไม่อยู่เล็กน้อย ตอนนี้ผู้ดูแลรีบเร่งมา เมื่อเห็นเหตุการณ์เขาตัดสินใจแจ้งเจ้าของบ่อนพนันสองสามแห่งซึ่งสนิทชิดเชื้อกับนายท่านตระกูลตน

ภายในลานบ้านมีเรือนข้างเปี่ยมเสียงร้องไห้อยู่หลังหนึ่ง ด้านนอกถูกลงกลอนไว้ ทั้งมีคนคอยเฝ้า แต่ตอนนี้คนเฝ้าสองคนสลบอยู่บนพื้นแล้ว

มีนกกระดาษตัวเล็กจิ๋วอยู่ตรงกลอนประตู ใช้จะงอยกระดาษจิกกลอนประตู

กึกๆๆ… แกรก…

กลอนประตูพังทลาย โซ่เหล็กเส้นหนึ่งหล่นลงมาพร้อมกัน กระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังเคร๊ง

แอ๊ด…

ประตูเปิดออกเอง ผู้หญิงกับเด็กซึ่งร้องไห้อยู่ในห้องล้วนเก็บเสียง มองนอกประตูอย่างประหม่าแตกตื่น แต่กลับไม่เห็นว่ามีใครเข้ามา

ผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นทำใจกล้าเดินไปตรงประตูก่อนสอดส่องสายตามอง พบว่ากลอนประตูตกอยู่บนพื้น คนเฝ้านอกห้องนอนอยู่กับพื้นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ทั้งเห็นตรงลานบ้านที่ห่างไกลก็มีบ่าวล้มลงกับพื้น

ตอนนี้นกกระดาษตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้กลางลาน จ้องกลุ่มคนในห้องอย่างจริงจัง เห็นพวกเขาตัวสั่นงันงกประชิดประตู ทั้งมองเห็นบ่าวซึ่งถูกจิกจนหมดสติแล้ว แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครกล้าก้าวออกจากประตูซึ่งไร้คนเฝ้าบานนี้

นกกระดาษไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ได้แต่จ้องมองอยู่ตลอด

กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้หญิงกับเด็กตรงประตูได้ยินเสียงราบเรียบนุ่มนวลดังขึ้นในหู

“นายท่านหกตระกูลหลางก่อกรรมทำชั่วเหี้ยมโหดบ้าเลือด เขาถูกพวกเราเหล่าผู้กล้าบนยุทธภพลงมือสังหารแล้ว พวกเจ้ารีบฉวยโอกาสหนีไปเถอะ คนจวนตระกูลหลางไม่มีเวลามาสนใจพวกเจ้าหรอก”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นนกกระดาษเงยหน้ามองท้องฟ้า มันรู้ว่าเจ้านายอยู่บนนั้น แต่กลับไม่บินขึ้นไป มองกลุ่มคนในห้องต่อ เห็นพวกเขาออกมาเหมือนหยั่งเชิง ทั้งวิ่งหนีไปอย่างระมัดระวัง

บนท้องฟ้านอกประตูทางเข้าจวนตระกูลหลาง กระดาษขาวแผ่นหนึ่งลอยออกมาจากแขนเสื้อของจี้หยวนพร้อมพู่กัน ปลายพู่กันมีหมึกที่ยังไม่แห้งติดอยู่

จี้หยวนยื่นมือจรดบนกระดาษ กระดาษแผ่ตรึงกลางอากาศ จากนั้นค่อยหยิบพู่กันเขียนอักษรลงบนนั้น

หนิวป้าเทียนอ่านโดยละเอียดอยู่ด้านข้าง กล่าวพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา

“ท่านหกตระกูลหลางเมืองลู่ผิง ข่มเหงชายหญิงก่อกรรมทำชั่ว ป่าเถื่อนฆ่าคนสร้างสุข โกงพนันทำร้ายคนบ่อยครั้ง พวกเราเห็นดังนี้คิดว่าเป็นภัยต่อโลก เมื่อเจอความอยุติธรรมจึงลงมือกำจัด… ทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่าน!”

ครั้งนี้รูปแบบตัวอักษรของจี้หยวนแตกต่างจากปกติ ประณีตเรียบร้อยคล้ายอักษรข่ายฉบับพิมพ์เมื่อชาติก่อนอยู่บ้าง ทุกตัวอักษรล้วนเป็นทรงเหลี่ยม เมื่อเขียนครบหน้ากระดาษ เนื้อหาส่วนใหญ่คือการตำหนิกล่าวโทษท่านหกตระกูลหลาง รวมถึงอ้างชื่อจอมยุทธ์แจ้งผลว่าสังหารเขาแล้ว

เมื่อจรดพู่กันครั้งสุดท้าย จี้หยวนหยิบกระดาษมาวางบนมือ จากนั้นค่อยเป่าลมหายใจเบาๆ กระดาษร่วงลงจากฟ้า ลอยไปหน้าประตูจวนตระกูลหลาง จากนั้นจี้หยวนค่อยวาดมือดึงกิ่งไม้แห้งขึ้นมาจากพื้นแล้วสะบัดมือลวกๆ

ฟุ่บ… ปึก…

กิ่งไม้แห้งแทงทะลุกระดาษ ปักอยู่เหนือป้ายจวนตระกูลหลาง ซัดจนแผ่นป้ายเกิดรอยร้าว

“ไปเถอะ กลับไปพักผ่อน”

เจ้าวัวมองเหตุการณ์นอกจวนตระกูลหลาง ทั้งเห็นผู้หญิงกับเด็กซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจับเปิดประตูหนีออกมาอย่างระวัง เขาไม่ถามอะไร โรยตัวลงพื้นเดินกลับโรงเตี๊ยมพร้อมจี้หยวน

ผ่านไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ นกกระดาษตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาจากด้านหลัง โรยตัวลงบนไหล่ของจี้หยวน สะกิดบอกสองครั้งแล้วมุดเข้าตรงอก แต่ไม่ได้กลับเข้าไปในถุงผ้าไหมทั้งหมด มันยังยื่นศีรษะออกมามองหนิวป้าเทียน

“เอ่อ ท่านจี้ นกกระดาษตัวนี้คือวิชาอัศจรรย์อะไร ทำไมมันคอยสังเกตข้าเล่า”

เจ้าวัวถูกนกกระดาษจ้องมอง เขารู้สึกสนใจอย่างยิ่ง

“ไม่ถือว่าเป็นวิชาอัศจรรย์อะไร ปีนั้นลองฝึกวิชามาใช้ส่งสาร เดิมคิดว่าใช้การไม่ได้ ตอนนี้ถือว่ามีประโยชน์ใช้งานสะดวกอยู่หลายครั้ง อืม ว่าง่ายมากด้วย”

ยามจี้หยวนเอ่ยคำนี้เขาเผยรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนเลี้ยงสัตว์เมื่อชาติก่อนมาก แน่นอนว่าชาติก่อนเขาแค่เคยเลี้ยงสัตว์เมื่อตอนเด็ก แต่ด้วยเยาว์วัยไม่ค่อยรู้ว่าควรดูแลอย่างไร ผลลัพธ์จึงไม่ค่อยดีนัก

ทั้งสองคนก้าวเดินพลางพูดคุย ห่างจากจวนตระกูลหลางที่อยู่ทางเหนือของเมืองช้าๆ ในหูจี้หยวนเสียงอลหม่านตรงจวนตระกูลหลางเซ็งแซ่กว่าเดิม เห็นชัดว่ามีคนพบจดหมายนอกประตูจวนแล้ว รวมถึงเจอบ่าวมากมายที่หมดสติในจวน

ภายในโรงเตี๊ยมฟ้ากระจ่าง ความจริงเยี่ยนเฟยยังไม่หลับ ในสมองหวนนึกถึงเรื่องหลายวันนี้อยู่ตลอด นอกอำเภอหนานเต้า ภายในเมืองผีไร้ขอบเขต ทั้งการประมือชวนขบขันกับหนิวป้าเทียนเมื่อพลบค่ำวันนี้

‘เสื้อผ้าชุดนี้ข้าเก็บรักษามานานแล้ว ถ้าถูกเจ้าฟันขาดข้าคงหาชุดที่สองไม่ได้!’

เสียงของเจ้าวัวดังก้องอยู่ในสมองเยี่ยนเฟย ทำให้เขากำผ้าห่มแน่นตามจิตใต้สำนึก หลังจากพลิกตัวไปมาอยู่นาน เยี่ยนเฟยลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง

สายตามองกระบี่ติดตัวซึ่งพาดอยู่ตรงหัวเตียง เขาหยิบขึ้นมาแล้วชักออกจากฝักสิบชุ่น ต่อให้เป็นกลางดึกแสงเยียบเย็นก็ยังสาดส่อง

“คนธรรมดาไร้พลังเช่นนี้จริงหรือ วิถียุทธ์ไร้พลังเช่นนี้จริงหรือ”