ตอนที่ 325 แม่ทัพวาฬยักษ์ตัวใหญ่ใจเสาะ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 325 แม่ทัพวาฬยักษ์ตัวใหญ่ใจเสาะ

เดิมคบเพลิงบนมือชาวบ้านมากมายดับมอดกว่าครึ่ง ทั้งมีหลายคนเปียกเป็นไก่ตกน้ำแกง ตอนนี้เหมือนพ้นวิกฤติแล้ว แต่ความเยียบเย็นกลับยิ่งเสียดกระดูก

“เฮือก… หนาวนัก ท่านนักพรตพวกเราไปกันได้หรือยัง”

“ท่านนักพรต ปีศาจนั่นตกใจจนหนีไปแล้วใช่หรือไม่”

“หนาวจะตายอยู่แล้วๆ!”

นักพรตคนนั้นถูฝ่ามือบิดเสื้อผ้า แต่อย่างน้อยยังมีปราณวิญญาณพิทักษ์กาย ไม่ถึงขั้นหนาวจนตัวสั่น

“ไปๆๆ ปีศาจตกใจจนหนีไปแล้ว พวกเรารีบแยกย้าย!”

“ทุกคนเคลื่อนพลๆ…”

“เร็วเข้า รีบกลับบ้าน หนาวจะตายอยู่แล้ว!”

“ท่านนักพรต เมื่อครู่ปีศาจนั่นเรียกหาผู้สูงส่งให้ปรากฏตัว ยังมีนักพรตคนอื่นอยู่บริเวณใกล้เคียงหรือไม่”

“นั่นคือผู้สูงส่งจากสำนักอาจารย์ข้า ข้ามองออกอยู่ก่อนแล้วว่าครั้งนี้ปีศาจทางตะวันออกของพวกเจ้าไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเชิญผู้สูงส่งระดับบรรพจารย์ลงเขามาช่วยโดยเฉพาะ ตอนนี้ปีศาจหนีไปแล้ว บรรพจารย์ของข้าต้องไปตามล่าแน่ ทุกท่านวางใจเถอะ!”

คนมากมายวิ่งกลับบ้านกันอึกทึกครึกโครม ตอนมายิ่งใหญ่ทรงพลังอานุภาพดุจสายรุ้ง ยามกลับเหมือนแตกสามัคคี โยนคบเพลิงดับมอดส่วนใหญ่ทิ้ง

“ระวังเท้าด้วย สะดุดจนได้ อย่าเข้าใกล้ชายฝั่ง!”

“ทุกคนสำรวจญาติมิตรสหายด้วย ดูว่ามีใครหลุดออกจากแถวหรือไม่…”

ผู้อาวุโสบางคนตะโกนบอกอยู่ในขบวนเป็นพักๆ

เดิมพวกจางฟู่กับเหลียงผิงเล่อวิ่งตัวสั่นมาแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้พวกเขาพลันตระหนักถึงอะไรบางอย่าง

“ไอ้หยา! ท่านจี้เล่า”

จางฟู่ตะโกนลั่น ทำให้คนตระกูลเหลียงกับตระกูลจางต่างหยุดเท้า

“รีบไปหาด้านข้างเร็ว ดูว่าท่านจี้อยู่หรือไม่!”

“ใช่ๆๆ รีบไปดู!”

“ท่านจี้… ท่านจี้อยู่หรือไม่…”

“ท่านจี้!”

คนสองตระกูลมองหาทั่วทิศ โดยรอบคือชาวบ้านวิ่งกลับตัวงอทั้งสิ้น คบเพลิงน้อยนิดสาดส่องหนทางข้างหน้า ท่ามกลางฝูงชนกลับไม่สว่างไสว หาอยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่เจอจี้หยวน

ผ่านไปไม่นานเกือบทุกคนต่างวิ่งผ่านพวกเขาไปข้างหน้า

คนตระกูลจางกับตระกูลเหลียงรวมกันพ่อลูกแล้วมีสี่คน พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีแค่จางฟู่ซึ่งบนมือถือคบเพลิง ฝืนสาดแสงส่องความว่างเปล่าโดยรอบ แต่ลมทะเลพัดจนเปลวไฟส่ายสั่นไปมา

ทิศทางยามวิ่งกลับมามืดสนิท ดูเหมือนมีสัตว์ร้ายอะไรซ่อนตัวอยู่ในทะเล

บิดาของจางฟู่พลันกัดฟัน นายเรือเลื่องชื่อแห่งหมู่บ้านเอ่ยปากกล่าว

“ไป กลับไปก่อนค่อยมาหา!”

พวกเขาลังเลเล็กน้อย ทยอยวิ่งกลับไปตรงกระบวนคบเพลิงก่อนหน้านี้ตามผู้เฒ่าจาง

ภายใต้แสงคบเพลิงเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือของจางฟู่ ทุกหนแห่งบนชายฝั่งโดยรอบล้วนคือคบเพลิงชื้นแฉะซึ่งถูกทิ้งไว้ คลื่นทะเลโดยรอบส่งเสียงดังซ่าไม่หยุด

ผืนทะเลห่างไกลมืดสนิท จางฟู่ลองใช้คบเพลิงส่องไปล่างชายฝั่ง นอกจากคลื่นทะเลขาวผ่องแล้วไม่เห็นสิ่งอื่นใด

“ถ้าตกลงไป…”

“ท่านจี้… ท่านจี้อยู่หรือไม่… รีบกลับหมู่บ้านเถอะ…”

“ท่านจี้…”

พวกเขาตะโกนไปทางชายฝั่งกับผืนทะเลอีกสองสามครั้ง เสียงตอบรับมีแค่ลมครวญหวีดหวิวและคลื่นทะเลซัดโถม เปลวไฟจากคบเพลิงบนมือจางฟู่วูบไหว ดูเหมือนยืนหยัดได้ไม่นานนัก

“เฮือก… หนาวนัก! พวกเราเปียกปอนทั้งตัว ไม่อาจตากลมไปตลอด!”

“บะ บางทีท่านจี้อาจวิ่งนำหน้าไปแล้ว แค่พวกเราไม่เห็นเท่านั้น”

“มีโอกาสเป็นเช่นนั้น…”

“อืม คบเพลิงของพวกเราคงอยู่ไม่นาน รีบกลับไปกันเถอะ ไม่แน่ว่าท่านจี้อาจรอพวกเราอยู่!”

“ใช่แล้ว ท่านจี้เป็นคนมีประสบการณ์ มีธุระท่องเหนือล่องใต้ผ่านมาหลายที่ขนาดนั้น ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่…”

เมื่อเห็นแสงคบเพลิงจากขบวนใหญ่ข้างหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ พวกเขาซึ่งทั้งหนาวทั้งกลัวลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายค่อยก้าวเดินตามไป

ตอนนี้จี้หยวนกำลังเหยียบคลื่นมุ่งหน้า ดูเหมือนก้าวเหนือคลื่นลมไม่เร็วไม่ช้า แต่ความจริงสัญจรผ่านผืนทะเลรวดเร็ว ความเร็วไม่ช้ากว่าการเดินบนผืนดินนัก

ก่อนจี้หยวนแปรเปลี่ยนเป็นห้าปราณสมบูรณ์ ถึงแม้อยากทำเรื่องคล้ายคลึงกันก็ย่อมได้ แต่ไม่มีทางสบายเช่นนี้ กลายเป็นว่าเปลืองแรง สะดวกสู้การเหาะเหินหรือคุมวารีเรียกคลื่นมาไม่ได้

แต่ตอนนี้จี้หยวนเชื่อมความรู้สึกร่วมกับปราณห้าธาตุทั้งภายในและภายนอก ปลายเท้าแตะสัมผัสคลื่นเหมือนดีดตัว คลื่นทะเลกระเพื่อมไหวไม่ส่งผลต่อความเร็วของจี้หยวนสักนิด ไม่เพียงผลาญพลังน้อย แต่ยิ่งรู้สึกลอยล่องเหมือนเซียน

วาฬยักษ์ที่อยู่ห่างไกลว่ายห่างจากชายฝั่งโดยอยู่ใต้น้ำตลอด ขณะเดียวกันยังซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำลึกอย่างบ้าคลั่ง

จี้หยวนคอยตามอยู่ด้านหลังเช่นนี้ ทั้งไม่ลงน้ำ ตามจนออกนอกฝั่งมาประมาณหลายสิบลี้

เวลานี้วาฬยักษ์ซึ่งอยู่ใต้ผืนทะเลลงไปร้อยจั้ง เริ่มลอยขึ้นมาบนผิวน้ำช้าๆ ละอองน้ำบนผืนทะเลไหลลงจากแผ่นหลัง แผ่นหลังมหึมาปรากฏอีกครั้ง

ดวงตาของวาฬยักษ์ทอดมองไปทางชายฝั่ง หางสะบัดไปมา ครีบล่างตัวสัมผัสไม่ถึงช่วงกลางค่อนท้ายของร่างกาย ได้แต่วาดน้ำซัดไปล่างสันหลังตรงช่วงกลางค่อนท้ายของลำตัว

ตรงนั้นมีแผลเล็กซึ่งเจ็บปวดสาหัส ถึงตอนนี้ยังไม่ทุเลาลง โดยเฉพาะเมื่อครู่ยิ่งเจ็บลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ

ความรู้สึกเหมือนคนทั่วไปถูกของอะไรทิ่มมือจนต้องสะบัดมืออย่างอดไม่ได้ วาฬยักษ์บิดตัวอย่างบ้าคลั่ง แต่เขารู้สึกถึงวิกฤติ ดังนั้นจึงหนีไปทางผืนทะเลห่างไกลทันที

ตอนนี้หนีมาพักหนึ่งแล้ว ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายตามล่าอะไร เขาค่อยลอยขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อตรวจสอบอย่างระวัง

ห่างออกไปมืดสนิททั้งแถบ ไม่มีเสียงและไม่มีแสงเพลิง

‘ดูท่าว่ายอมปล่อยข้าแล้ว?’

วาฬยักษ์ว่ายวนสองสามรอบ ลังเลอยู่บ้างว่าควรจากไปยังน่านน้ำอื่นหรือไม่

‘ลงมือช่วยคนธรรมดา น่าจะเป็นผู้ฝึกเซียนซึ่งชอบยุ่งเรื่องคนอื่นกระมัง… หายากนัก แต่ดูท่าว่าพูดด้วยยาก…’

หลังจากลังเลครู่หนึ่ง วาฬยักษ์ตัวนี้รู้สึกหิวโหย มันดำดิ่งลงน้ำ อ้าปากมหึมาสูดกลืนใต้น้ำ

คลื่นบนผิวน้ำไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กระแสน้ำข้างใต้กลับม้วนซัด ปลาใหญ่ปลาน้อยนับไม่ถ้วนว่ายหลบไม่ทัน ถูกกระแสน้ำมากมายพัดมาแต่ไกล ส่งเข้าปากวาฬยักษ์เหมือนกาลักน้ำ

ปากวาฬยักษ์ตัวนี้คล้ายหลุมลึกไร้สิ้นสุด ปลากุ้งปูอะไรล้วนถูกดูดโดยไม่ปฏิเสธ เวลาผ่านไปนานถึงสิบกว่าลมหายใจของคนธรรมดา สุดท้ายค่อยปิดปาก

โครกคราก…

เสียงกระทบดังออกมาจากท้องวาฬยักษ์

แม้ว่าจี้หยวนอยู่บนผืนทะเลมองสถานการณ์ใต้น้ำไม่ชัด แต่กลับรับรู้ถึงอานุภาพยามวาฬยักษ์อ้าปาก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายยามปลากุ้งปูนับไม่ถ้วนถูกดูดกลืน

มิน่าชาวประมงตรงชายฝั่งถึงจับปลาไม่ได้ ใช่ว่าถูกปีศาจร้ายทำให้ตกใจ แต่ถูกแม่ทัพวาฬยักษ์ตัวนี้กิน มาทีกินที ชาวประมงย่อมจับปลาไม่ได้อยู่แล้ว

รอเมื่อกินเสร็จ วาฬยักษ์ไม่ตะกละ หรือกล่าวว่ากินอิ่มแล้ว มันลอยขึ้นมาบนผิวน้ำอีกครั้ง ดวงตายังจ้องมองชายฝั่งซึ่งหนีมาก่อนหน้านี้

สุดท้ายจี้หยวนไม่รอคอยอีก เขาปรากฏตัวเอ่ยปากกล่าว

“แม่ทัพวาฬยักษ์ เจ้ายังอาวรณ์ชายฝั่งแถบนี้ด้วยเหตุใด”

เสียงนี้ดังขึ้นข้างกายตน ทำให้วาฬยักษ์ตกใจกะทันหัน

“ไอ้หยา…”

เมื่อหันตัวกลับไปมองด้านข้าง ห่างไปไม่ไกลมี ‘คนตัวเล็ก’ ยืนอยู่บนผืนทะเล ท่าทางไม่เหมือนคุมวารีเหยียบคลื่น หากแต่กระเพื่อมไหวตามคลื่นทะเล คล้ายตัวเบาเหมือนขนห่าน

“ทะ ท่านคือผู้สูงส่งซึ่งลอบทำร้ายคนเมื่อครู่หรือ”

“พูดจาไม่น่าฟังนัก ข้าคนแซ่จี้ลอบทำร้ายคนเสียเมื่อไหร่ แค่ลงโทษเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ามีวิชาวาฬกลืนกิน ไปกินปลาที่ไหนก็ย่อมได้ ทำไมต้องอ้อยอิ่งอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงตรงชายฝั่งแทบอยู่ไม่ได้แล้ว”

จี้หยวนยิ้มถามอย่างรังเกียจ จากนั้นค่อยเอ่ยปากกล่าวเสริม

“อีกอย่างเจ้าเรียกตัวเองว่าแม่ทัพวาฬยักษ์ เจ้าเป็นแม่ทัพจวนบาดาลใด ทหารใต้บังคับบัญชาเล่า”

ตอนนี้อยู่ตรงน่านน้ำค่อนข้างลึก วาฬยักษ์รู้สึกกล้าขึ้นมาบ้าง

“แน่นอนว่าข้าคือแม่ทัพวาฬยักษ์! สังกัดเจ้าแม่! ส่วนทหารใต้บังคับบัญชา หึ มีพวกดึงดูดสายตาไม่เท่าไหร่ แน่นอนว่าไม่พามาด้วย ข้าไปชายหาดฝั่งนั้นย่อมมีเหตุผลของข้า เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย”

จี้หยวนใคร่ครวญพลางพิจารณาครู่หนึ่ง ยิ้มพลางกล่าวกับวาฬยักษ์

“มีเหตุผล หากข้าคนแซ่จี้อยากรู้เล่า”

“ทำไม ถ้าท่านอยากรู้แล้วข้ายอมบอก แม่ทัพวาฬยักษ์อย่างข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

จี้หยวนผายมือไปทางฟ้าอย่างจริงจังยิ่ง กุมกระบี่เครือเขียวซึ่งปรากฏกาย

“กระบี่เครือเขียวนี้ซ่อนคมประกายหมื่นจั้ง ถือเป็นกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง ฆ่าปีศาจอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องออกจากฝัก เจ้าว่าทำไมต้องบอกข้า แน่นอนว่าเพราะถูกอานุภาพบังคับ!”

ขณะกล่าวจี้หยวนเผยคมกระบี่เครือเขียวหนึ่งส่วนสามออกมาเบาๆ ผนึกหิมะวนรอบน่านน้ำ แสงดาวบนฟ้าดูมืดสลัว ความหนาวเย็นเสียดกระดูกเหมือนถูกเข็มแทงม้วนพัดมา ร่างมหึมาของวาฬยักษ์แข็งทื่อ

นี่เป็นการเผชิญหน้ากับอานุภาพกระบี่เซียนครั้งแรกตั้งแต่เขาเกิดมา แค่เห็นคมกระบี่เซียนส่วนหนึ่งเท่านั้น ในใจพลันเกิดภาพมายานานัปการโดยไม่อาจควบคุมได้

ราวแสงเงินฟาดฟันแบ่งร่างตน ราวกระบี่บินวนเฉือนกระดูกเขา ราวความหนาวเย็นแผ่ผนึกน้ำแข็ง ทั้งเหมือนแสงกระบี่กดกำราบบดทลาย…

จี้หยวนแค่ขู่เขาให้กลัว แต่วาฬยักษ์พลันแบกรับไม่ไหว ตรงตำราตัวใหญ่ใจเสาะ ร้อนรนกล่าวเสียงดัง

“อย่าฆ่าข้าๆ ถ้าฆ่าข้าท่านจะนึกเสียใจ ข้าอยู่ตรงชายฝั่งเพื่อรอท่านโม่! ข้ากำลังรอท่านโม่!”

จี้หยวนเก็บกระบี่เครือเขียวเข้าฝัก ใจสั่นสะท้านเล็กน้อย บนหน้ากลับขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“ท่านโม่? ท่านโม่คนไหน มีความเป็นมาอย่างไร หรือว่าเป็นสัตว์น้ำบนแผ่นดินใหญ่”

“ใช่ๆๆ ท่านโม่เป็นมังกรเจียวดำมรรควิถีล้ำลึก ทุกปีต้องผ่านมาทางนี้ ครั้งนี้ข้าเร่งเดินทางไกล รอมาหนึ่งปีกว่ายังไม่เจอ! ข้าไม่ใช่ปีศาจร้ายชอบทำร้ายคน! ไม่ใช่จริงๆ!”

‘โม่หรง!’

จี้หยวนใจกระตุกเล็กน้อย นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาโดยปริยาย ถึงกับเป็นเจียวดำซึ่งหนีกลับต้าเจินจนตัวตายเมื่อปีนั้น