ตอนที่ 328 ลายมืองดงามดุจบุปผา

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 328 ลายมืองดงามดุจบุปผา

ธิดามังกรเกิดโทสะ รอบข้างตั้งแต่ลมทะเลจนถึงคลื่นทะเลเอ่อล้นยิ่งกว่าเดิมอย่างชัดเจน

บริเวณผิวน้ำทะเลสงบนิ่งเริ่มเกิดไอหมอกเกลือกกลิ้งอยู่บ้าง ขณะนี้จิตส่วนหนึ่งของมังกรเฒ่าคลับคล้ายคลับคลาอยู่ในกลางหมอก ด้วยอารมณ์ของตนเองไม่แตกต่างอะไรกับบุตรีเลย

ไม่ว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างไร คนผู้นั้นก็นับเป็นภรรยาของมังกรเฒ่าอยู่วันยันค่ำ ยิ่งตั้งท้องให้กำเนิดอิงรั่วหลีและอิงเฟิงก่อนกลายร่างเป็นมังกรแท้ ความรักในอดีตสลักอยู่ในกระดูก จะลืมลงได้อย่างไร

วาฬยักษ์รู้สึกได้ถึงแรงจู่โจมจากคลื่นรอบข้าง ร่างกายขยับไหวขึ้นกลางน้ำทะเล ส่งเสียงสนับสนุนเพราะเคืองแค้นเช่นกัน

“เทพีรั่วหลีกล่าวถูกต้อง มังกรปีศาจเกล็ดลายตัวนั้นไม่อยากมีชีวิตแล้วถึงได้กล้ายั่วโมโหเจ้าแม่ หากไม่ใช่เพราะข้ามรรควิถีต่ำต้อยเกินไป ข้าคงฆ่ามันไปนานแล้ว!”

“หึ โม่หรงไม่อยู่แต่ข้ายังอยู่ มังกรปีศาจนั่นมีที่มาอย่างไร มีลูกน้องปีศาจมากน้อยเท่าไหร่ ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว นำทางข้าไปเดี๋ยวนี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็จะไม่ปล่อยมันไป!”

อิงรั่วหลีโมโหมาก แต่เลือดขึ้นหน้าแล้วกลับไม่ได้พูดจาไร้ความคิด นางรู้ว่าปลุกบิดาตนเองไม่ได้ ทว่าท่านอาจี้อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายได้ยินตนเองพูดเช่นนี้แล้วต้องช่วยเหลือไม่มากก็น้อย

ธิดามังกรเห็นว่าตนเองเป็นคนกลางระหว่างท่านพ่อและท่านอาจี้ ขอเพียงมีสักคนยินยอมออกมือ เช่นนั้นก็ไม่มีทางผิดพลาด นางแม้ไม่คิดลากท่านอาจี้เข้าสู่เรื่องในครอบครัว แต่ก็รู้ตัวดีว่าหากขอยืมสิ่งของบางอย่างจากเขาย่อมเป็นไปได้

เป็นไปตามคาด ได้ยินอิงรั่วหลีพูดว่าจะแลกด้วยชีวิต จี้หยวนไม่วางใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งไม่อาจนั่งนิ่งดูดายเช่นกัน ในภาพจำของเขานั้นบุตรมังกรอิงเฟิงค่อนข้างไม่อยู่กับร่องกับรอย ส่วนอิงรั่วหลีใจเย็นมั่นคงมากเสมอ น้อยครั้งนักจะเสียกิริยาเช่นนี้ ในสถานการณ์นี้ทำเรื่องผิดพลาดได้ง่าย เขาปล่อยปละไม่สนใจไม่ได้

“เทพีแม่น้ำอย่าเพิ่งร้อนใจไป อีกฝ่ายในเมื่อเป็นมังกรชั่วร้ายที่มาจากทะเลเวิ้งว้าง กล้าพัวพันมารดาเจ้าเช่นนี้ต้องมีวิชาอยู่บ้างแน่”

อิงรั่วหลีสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อให้ตนเองใจเย็นลง จากนั้นกล่าวกับจี้หยวน

“ท่านอาจี้ ข้าย่อมรู้ว่ามันต้องมีวิชาและมรรควิถีไม่ธรรมดา แต่ในฐานะที่เป็นสตรี ได้ยินเช่นนี้ไม่อาจสบายใจอยู่ได้ รั่วหลีมีคำขอที่ดูเผด็จการอยู่บ้าง หวังว่าท่านอาจี้จะรับปากได้ แน่นอนว่ารั่วหลีไม่มีทางทำให้ท่านอาจี้มือเปื้อนเลือด!”

ฟังธิดามังกรเรียกผู้ฝึกเซียนท่านนี้ว่าท่านอา วาฬยักษ์ที่อยู่บนผิวน้ำทะเลข้างล่างแอบพูดไม่ออก

จี้หยวนขมวดคิ้ว มองวาฬยักษ์แล้วมองอิงรั่วหลีตรงๆ

“คำขออะไร”

อิงรั่วหลีกวาดสายตามองกระบี่เซียนที่อยู่ข้างหลังจี้หยวน

“รั่วหลีบังอาจแล้ว คิดขอยืมใช้กระบี่เซียนเครือเขียวของท่านอาจี้ ท่านพ่อข้าบอกว่าอาวุธเซียนมีจิตวิญญาณ กระบี่เครือเขียวเป็นถึงกระบี่เซียนที่มีอานุภาพสังหารร้ายแรงยิ่ง ซ่อมคมบ่มเพาะวิญญาณอยู่หลายปี หากคมกระบี่ทำให้มันหวาดกลัวได้ เห็นทีเดรัจฉาจเกล็ดลายตัวนั้นก็คงต้านกระบี่ได้ไม่กี่ครั้ง หวังว่าท่านอาจี้จะช่วยข้าด้วย!”

กลิ่นอายลวงของมังกรเฒ่าปรากฏขึ้นท่ามกลางไอหมอกเหนือผิวน้ำ ในใจเกิดความรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง

‘เด็กโง่ กระบี่เครือเขียวอยู่ในมือจี้หยวนย่อมใช้ได้ตามใจ แต่อยู่ในมือเจ้าเล่า อีกฝ่ายจะต้านได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เจ้าจะบังคับกระบี่ได้จริงๆ หรือ’

จี้หยวนรู้สึกได้ความคมปลายของกระบี่เครือเขียวสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ยินยอมต่อข้อเสนอของอิงรั่วหลีอย่างเห็นได้ชัด

“ช่างเถอะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไปกับเข้าด้วย ถึงตอนนั้นพบมังกรปีศาจ หากเจ้าคิดว่าต้องสังหารมันก่อนถึงจะสุขใจ ข้าจะให้เจ้ายืมใช้กระบี่เครือเขียว มีข้าอยู่ข้างกาย เงาพิสุทธิ์จะค่อนข้างเชื่อฟัง ให้เจ้าออกกระบี่ตามใจ”

อาวุธเซียนมีความเย่อหยิ่งของตนเอง ต่อให้เป็นกระบี่เครือเขียวที่รักมั่นคงต่อจี้หยวนอย่างยิ่งก็เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้จี้หยวนรู้ดีอยู่แก่ใจ

แม้วิธีลัดอยู่เหมือนกัน เช่นจี้หยวนสั่งกระบี่เครือเขียวให้คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายธิดามังกร นางลงมือกับใครก็สังหารคนนั้นเสีย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ค่อยวางใจอยู่ดี

ธิดามังกรไม่อิดออดเช่นกัน คารวะและกล่าวขอบคุณโดยตรง

“ท่านอาจี้ยินดีร่วมทางไปด้วยย่อมดีที่สุด รั่วหลีซาบซึ้งยิ่งนัก! เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางเลยดีหรือไม่”

จี้หยวนคิดก่อนหันไปมองทางแผ่นดินใหญ่

“รอสักครู่เถอะ ข้าคนแซ่จี้จะไปหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลสักเที่ยว หลังจากนั้นค่อยออกเดินทางกัน”

พูดจบก็บินไปทางแผ่นดินใหญ่ทันที

ธิดามังกรใคร่ครวญแล้วกล่าวกับวาฬยักษ์

“เจ้ารออยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน”

จากนั้นอิงรั่วหลีก็เหาะไปทางชายฝั่งทะเลนอกสายตาเช่นกัน

หมู่บ้านติดริมทะเลอาณาจักรจู่เยวี่ยทั้งหมดล้วนคึกคัก ไม่ใช่เพราะใกล้ปีใหม่แล้ว แต่เพราะปีศาจที่วนเวียนอยู่ตามทะเลเนิ่นนานถูกขับไล่ไปเสียที ปีหน้าต้องจับปลาได้ไม่เลวแน่

ไม่ใช่แค่นักพรตผู้นั้นว่าไว้ เหล่าชาวประมงก็มีสิ่งยืนยันเช่นกัน มีคนลงหว่านแหจับปลาได้จำนวนหนึ่ง แม้ไม่มาก แต่เทียบกับแต่ก่อนแล้วแตกต่างกันอย่างชัดเจน

เนื่องด้วยคืนจุดไฟขับไล่ปีศาจเมื่อช่วงก่อน ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านแล้วไม่เหลือใครสักคน จี้หยวนก็เช่นเดียวกัน

คนต่างถิ่นไม่คุ้นชินกับสถานที่คนหนึ่ง อีกทั้งเกิดเรื่องในคืนนั้น ความเป็นไปได้ที่จะจากไปโดยไม่บอกลาไม่น่ามากเท่าไหร่

เช้าวันรุ่งขึ้นเรียกคนไปตามหาที่ชายฝั่งทางนั้น ทว่ายังคงไม่พบอะไร ดังนั้นไม่ว่าตระกูลจาง ตระกูลเหลียง หรือชาวบ้านใกล้เคียงล้วนคิดว่าจี้หยวนน่าจะจมน้ำทะเลตายไปแล้ว

คนสองตระกูลมองว่าแขกต่างถิ่นผู้นี้ตายแล้วจริงๆ เกิดความรู้สึกผิดและความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง จึงเคยไปเผากระดาษเงินที่ชายฝั่งทะเลถึงสองครั้งสองครา

ทว่าอย่างไรเสียก็ต้องฉลองปีใหม่ รวมถึงความคาดหวังที่จะจับปลาได้ในปีหน้า ความกังวลที่จู่โจมคนทั้งสองตระกูลก่อนหน้านี้เริ่มจางหาย เรื่องการเตรียมงานฉลองปีใหม่เข้ามาแทนที่

ตอนจี้หยวนกลับถึงหมู่บ้านเพียนวานเป็นเวลาเช้าตรู่พอดี จางฟู่และภรรยายกถังไม้เช็ดถูประตูหน้าต่างบ้านด้วยกัน ส่วนผู้เป็นบิดาจัดการแหจับปลาอยู่บนพื้นที่ว่างข้างเรือน

เพราะทุกครอบครัวล้วนมีแหจับปลาและคานตากแห้งปลา ระยะห่างระหว่างบ้านจึงค่อนข้างมากทีเดียว

จี้หยวนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ฝ่ายอิงรั่วหลีรั้งท้ายอยู่หลายก้าว ชาวบ้านรอบข้างเหมือนกับมองไม่เห็นทั้งสองคน เว้นแต่ไปถึงหน้าบ้านตระกูลจางแล้ว จางฟู่เช็ดประตูหน้าเสร็จหมุนกายมาพอดี เห็นจี้หยวนยืนอยู่ที่หน้าบ้านตนเอง

“ไอ้หยา!”

โครม…

จางฟู่คิดว่าเห็นผี ตกอกตกใจจนล้มลงไป ถังน้ำตกลงบนพื้นเช่นกัน น้ำสกปรกกระฉอกออกมาเต็มพื้น

เมื่อได้ยินเสียงดัง เหล่าจางหันหายมองมา เห็นจี้หยวนแล้วก็หัวใจกระตุกเช่นกัน

“ผู้อาวุโสจางและน้องจางไม่ต้องกลัว ข้าคนแซ่จี้ไม่ใช่ผี ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ข้ายืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ใต้เท้าก็มีเงา จะเป็นผีไปได้อย่างไรเล่า!”

บิดาบุตรตระกูลจางไม่สบายใจ มองบนพื้นอย่างระมัดระวัง มีเงาจริงๆ กอปรกับเป็นเวลากลางแสกๆ คิดอย่างไรความเป็นไปได้ที่จี้หยวนเป็นผีก็ต่ำมาก

วิธีตัดสินแบบนี้ความจริงสืบต่อกันในหมู่ชาวบ้าน ความจริงไม่นับว่าแม่นยำเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ไม่แม่นยำสำหรับผีที่เก่งกาจบางจำพวก แต่กลับเป็นทางลัดที่ทำให้พวกเขาเชื่อได้

“ทะ ท่านจี้ ท่านไม่เป็นไรจริงหรือ”

“ไม่เป็นไรๆ ข้าจะเป็นอะไรได้อย่างไร แค่คืนนั้นข้าขวัญอ่อน ตอนเห็นปีศาจจึงหนีไปก่อนแล้ว จากนั้นออกจากหมู่บ้านไป วิ่งไปไกลโดยไม่หันกลับมามอง…”

จี้หยวนพูดพร้อมเผยสีหน้ารู้สึกผิด

“ต่อมาได้ยินข้างนอกพูดกันว่านักพรตกำจัดปีศาจแล้ว ข้าคนแซ่จี้รู้สึกผิดอยู่ในใจจึงกลับมาดูพวกเจ้า ไม่เช่นนั้นคงรู้สึกเช่นนี้ต่อไป จริงสิ คนตระกูลเหลียงไม่เป็นไรกระมัง”

“มะ ไม่เป็นไร…”

จางฟู่ตอบตามสัญชาตญาณ

ได้ยินดังนั้นจี้หยวนถึงยิ้ม ประสานมือให้คนทั้งสอง

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าคนแซ่จี้ก็สบายใจแล้วไม่น้อย ขอบคุณที่ต้อนรับข้าเมื่อหลายวันก่อน และขอบคุณที่เกิดเรื่องแล้วไปตามหาข้าด้วย!”

“เอ่อ ท่านจี้เอาที่ไหนมาพูด…”

“ใช่ ท่านจี้ไม่เป็นอะไร พวกข้าต่างหากที่สบายใจแล้วไม่น้อย!”

คำพูดของจี้หยวนถือว่าเหมาะสมและมีมารยาทมาก สองบิดาบุตรวางใจได้แล้วจริงๆ อีกทั้งปลอบขวัญจี้หยวนอีกต่างหาก

“อืม ข้าคนแซ่จี้รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง อีกทั้งต้องไปแล้ว ในเมื่อมาแล้วก็อยากมอบของขวัญตอบแทนทุกคน…”

จี้หยวนพิจารณาพลางกล่าว จางฟู่และผู้อาวุโสจางจึงรีบโบกมือ

“ไม่ต้อง แต่ไหนแต่ไรท่านก็เป็นแขก การต้อนรับท่านเป็นสิ่งที่ควรทำแล้ว ท่านช่วยพวกข้าสร้างเขตอาคมด้วย…”

ตอนนี้ฮูหยินและเด็กชายออกมาจากในบ้านตระกูลจางแล้ว จางฟู่อธิบายหลายประโยค ทำให้คนในครอบครัวล้วนเข้าใจว่าจี้หยวนยังมีชีวิตอยู่

ทันใดนั้นจี้หยวนทำเป็นนึกอะไรขึ้นได้ กล่าวด้วยท่าทางเข้าอกเข้าใจ

“จริงสิ! พวกเจ้าทำความสะอาดบ้านเตรียมฉลองปีใหม่กระมัง”

จี้หยวนกวาดสายตามองถังน้ำและผ้าขี้ริ้วในมือจางฟู่ ไปจนถึงการตกแต่งทั้งซ้ายและขวาที่หน้าบ้านตระกูลจาง

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าคนแซ่จี้ไม่มีของมีค่าใดนอกจากชีวิต ไม่มีอะไรนำออกมามอบให้ได้ ในเมื่อพวกเจ้าจะฉลองปีใหม่ก็คงต้องเขียนและติดกระดาษมงคล ข้าจะเขียนคำว่า ‘มงคล’ ให้พวกเจ้าและคนตระกูลเหลียงเป็นอย่างไร ตัวหนังสือของข้าคนแซ่จี้ใช้ได้ ไม่นับว่าขี้ริ้วขี้เหร่!”

“นั่นจะดีหรือ”

“ฟังดูแล้วไม่เลว…”

คนตระกูลจางตื่นเต้นอยู่บ้าง หากจี้หยวนเขียนหนังสือได้ ก็ประหยัดเวลาไปซื้อที่ตลาดได้ด้วย

“ดีสิๆ! ข้าคนแซ่จี้นำพู่กันน้ำหมึกมาด้วย พวกเจ้าหากระดาษสีแดงมาสองแผ่นก็ใช้ได้แล้ว!”

“อ้อๆๆ ข้ามีๆ ภรรยา รีบไปหยิบกระดาษแดงที่เตรียมทำซองอั่งเปาออกมาเร็ว”

จางฟู่รีบกำชับภรรยาตนเองเสียงหนึ่ง ฝ่ายหลังรีบเข้าไปหาในเรือน

จากนั้นคนตระกูลจางก็เชิญจี้หยวนเข้าไปดื่มชาในเรือนอย่างกระตือรือร้น

หลังจากนั้นประมาณครึ่งเค่อ บนโต๊ะสี่เหลี่ยมในบ้านตระกูลจางวางไว้ในด้วยกระดาษแดงสองแผ่น บนนั้นวางแท่นฝนหมึกทับไว้ ด้ามพู่กันขนาดใหญ่อยู่ในมือจี้หยวน

สิ่งที่อยู่ในมือจี้หยวนคือพู่กันขนหมาป่าของแท้ หลายปีนี้ที่อยู่บนเกาะ ขณะจี้หยวนฝึกปราณเพื่อหยั่งรู้ เขาแบ่งสมาธิทำพู่กันขนหมาป่าด้วยตนเอง ครั้งนี้นำออกมาใช้เป็นครั้งแรก

หลังจากใช้หมึกเขียนตัวหนังสือบนกระดาษแดง ตัวอักษร ‘มงคล’ ขนาดใหญ่ปรากฏบนนั้น วินาทีนี้ธิดามังกรที่สังเกตการณ์อยู่คล้ายกับมองเห็นดอกไม้แดงเลือนรางจากปลายพู่กันของจี้หยวน

‘ลายมืองดงามดุจบุปผา!’