ตอนที่ 329 ยิ้มไม่ออกแล้ว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 329 ยิ้มไม่ออกแล้ว

จี้หยวนลงพู่กันพร้อมจิตวิญญาณ เขียนตัวอักษร ‘มงคล’ ใต้หมึกเข้มข้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า ไม่นานก็เขียนกระดาษแดงสองแผ่นเสร็จสิ้น

ต่อให้คนตระกูลจางไม่จักตัวหนังสือ แต่มองจี้หยวนเขียนตัวอักษรแล้วยังคงมีความรู้สึกตื่นตะลึงในความงดงาม ไม่ว่าจะเป็นความหมายของตัวอักษรและตัวอักษรเองล้วนเป็นเช่นนั้น

เมื่อเขียนตัวอักษร ‘มงคล’ เสร็จมีแสงคลุมเครือฉายวาบออกมา คนทั่วไปมองด้วยตาเปล่าเพียงรู้สึกว่าเป็นแสงสะท้อน ไม่มีทางสืบเสาะอะไรมาก

ทว่าจี้หยวนเขียนตัวอักษรเสร็จแล้วหยุดมือ

จางฟู่มองกระดาษแดงที่เหลืออยู่บนโต๊ะหลายแผ่น เกาศีรษะพลางถาม

“ท่านจี้ ยังมีกระดาษเหลืออีกหลายแผ่นเลย ท่านเขียนมากหน่อยเถอะ ข้าจะได้แบ่งให้พวกชาวบ้านด้วย”

แต่ตอนนี้จี้หยวนเก็บพู่กันแล้ว ถึงขนาดยกแท่นฝนหมึกไว้บนมือ มองตัวอักษร ‘มงคล’ ที่เรียบร้อยงดงามบนโต๊ะ ก่อนจะกวาดสายตามองคนตระกูลจางแล้วยิ้ม

“หมึกเขียนอักษรมีค่าเท่าทองพันชั่ง จะเขียนมากๆ ได้อย่างไรกัน สองตัวอักษรนี้พวกเจ้าตระกูลจางติดที่ประตูแผ่นหนึ่ง ส่วนอีกแผ่นหนึ่งก็มอบให้ตระกูลเหลียงที่หมู่บ้านท่าเรือหน้าเถอะ!”

จี้หยวนพูดไปพลาง ยกแท่นฝนหมึกและพู่กันเดินออกข้างนอกไปพลาง ธิดามังกรคอยท่าอยู่ข้างนอกประตูแล้ว

คนตระกูลจางส่วนใหญ่ยังคงชื่นชมตัวอักษร มีเพียงจางฟู่และผู้อาวุโสจางเห็นจี้หยวนเหมือนจะไปแล้วจึงรีบเดินออกไปรั้งเขาไว้

“ท่านจี้ กินข้าวกลางวันกับพวกข้าเถอะ อยู่ต่ออีกสักสองสามวันดีที่สุด”

“ไม่ล่ะ ที่จริงข้าคนแซ่จี้มีธุระต้องจัดการ มีคนกำลังรอข้าอยู่ด้วย ไม่สะดวกอยู่ต่อเท่าไหร่…”

หลังจากจี้หยวนเดินออกไปแล้ว บิดาบุตรตระกูลจางไปส่งเขาเช่นกัน มองออกไปข้างนอกกลับไม่เห็นว่ามีใครกำลังรออยู่ กล่าวในใจว่าคงเป็นเพราะจี้หยวนเกรงใจอยู่บ้าง

ผู้อาวุโสจางกล่าวปลอบโยน

“ท่านจี้ เรื่องหลายวันก่อนโปรดอย่าใส่ใจ ท่านไม่เป็นไรพวกข้าก็ฉลองปีใหม่ได้อย่างสบายใจแล้ว อีกทั้งท่านเขียนตัวอักษรให้อีกต่างหาก ท่านจากบ้านมาไกลมาก ใกล้ปีใหม่แล้วคงกลับไปไม่ทัน ความจริงไม่เห็นต้องรีบร้อนไปขนาดนี้…”

จี้หยวนฟังแล้วรู้สึกขอบคุณทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเพณีของหลายที่ในอาณาจักรจู่เยวี่ย เขาจึงหันกลับไปประสานมือให้ผู้อาวุโสจางอีกครั้ง

“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ความจริงข้าคนแซ่จี้หน้าค่อนข้างหน้าหนา แต่มีธุระจริงๆ ไม่อาจอยู่ต่อได้ จริงสิ หากมีคนอยากจ่ายเงินซื้อตัวอักษรมงคลสองแผ่นนี้…”

จี้หยวนเก็บใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าเคร่งขรึมอย่างชัดเจน

“ไม่ว่าใครเป็นคนจ่ายเงิน ให้เงินมากเท่าไหร่ล้วนอย่าขาย! กำชับตระกูลเหลียงเช่นนี้ด้วย จำได้หรือไม่”

เห็นจี้หยวนหน้าตาจริงจัง บิดาบุตรตระกูลจางสบตากันครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบรับตามสัญชาตญาณ

“จำได้แล้ว”

“ดี เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้จะไปแล้ว ทั้งสองคนไม่ต้องไปส่ง”

พูดจบแล้วจี้หยวนก็หมุนกายและสาวเท้าก้าวใหญ่จากไป หลังจากเดินออกไปได้สิบกว่าก้าว แท่นฝนหมึกและพู่กันในมือหายไปไม่เห็นทั้งหมด

เพียงเวลาครู่เดียว ร่างกายของจี้หยวนหายไปจากสายตาของจางฟู่และเหล่าจาง พวกเขาคิดไปส่งอีกฝ่าย ทว่าหลังเดินออกจากหน้าเรือนได้เสี้ยวเดียว กลับมองไม่เห็นเงาร่างของจี้หยวนเสียแล้ว

“ท่านจี้เดินไวปานนี้เชียวหรือ”

เหล่าจางมองบุตรชายตนเองด้วยความงุนงง ฝ่ายหลังไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“ช่างเถอะ ชุนหลานไม่ใช่ว่าจะกลับบ้านแม่หรือ ให้นางนำตัวอักษรมงคลไปพอดี อีกอย่าง ที่ท่านจี้พูดว่าอย่าขายเมื่อครู่ก็อย่าลืมเสียล่ะ”

“รู้แล้วๆ ข้ากับชุนหลานจะไปบ้านพ่อตาด้วยกัน”

พวกเขาพูดจบแล้วก็กลับเรือนไป ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านจนสะอาด ต้อนรับปีใหม่อย่างสดชื่น

ขณะเหาะอยู่บนท้องฟ้ากลางทะเล ธิดามังกรหันไปมองทางหมู่บ้านชาวประมงที่ห่างออกไปไกลอย่างรวดเร็ว เอ่ยปากถามจี้หยวนว่า

“ท่านอาจี้ เมื่อครู่นี้เป็นบัญชาวิชาเซียนหรือ”

“บัญชาวิชาเซียนอะไรกัน บัญชาก็คือบัญชา ไม่ต้องเติมคำว่าเซียนอะไร ระดับนี้บิดาเจ้าก็ทำได้”

จี้หยวนตอบด้วยรอยยิ้ม เหาะไปยังจุดที่วาฬยักษ์อยู่พร้อมกับธิดามังกร ไม่นานก็กลับมายังผืนทะเลผืนนั้นอีกครั้ง

เมื่อพวกเขามาถึง วาฬยักษ์ค่อยปรากฏตัวออกจากผิวน้ำทะเลอย่างเชื่องช้า

“เทพีรั่วอิง ท่านเซียนจี้ หากไม่รังเกียจขอเชิญยืนบนหลังข้า ความเร็วในน้ำของข้าไม่นับว่าช้านัก ยิ่งรู้ทางลัดมากมายใต้ทะเล หลีกเลี่ยงกระแสน้ำแปลกๆ ในน่านน้ำประหยัดเวลาได้หลายวัน ไม่มีทางหลงทาง!”

อิงรั่วหลีผายมือให้จี้หยวนก่อนกล่าวเชิญ

“ท่านอาจี้ เชิญเถอะ!”

“ได้ นั่งเรือวาฬยักษ์ตัวนี้สักหน่อย”

ทั้งสองคนลดระดับลงจากท้องฟ้า ยืนบนหลังวาฬด้วยกัน วาฬยักษ์ส่ายหางครั้งหนึ่ง แหลกน้ำทะเลปริมาณมหาศาล เริ่มว่ายน้ำไปยังทิศทางที่ไกลออกไป ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถึงตอนนี้แล้ว เพราะได้ยินมันพูดถึงกระแสน้ำแปลกๆ จี้หยวนพลันอยากถามขึ้นมา

“จริงสิ เทพีแม่น้ำ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกาะหินมังกรอยู่ที่ใด”

ธิดามังกรส่ายหน้า

“ไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านแม่เคยอยู่ที่ทะเลตะวันออก ต่อมาจากไปอยู่ที่อื่น หลังจากนั้นไม่เคยกลับมาอีก ท่านอาจี้ ออกจากแม่น้ำเทียมฟ้ามาไกลมากแล้ว ท่านอย่าเรียกข้าว่าเทพีแม่น้ำเลย เรียกข้าว่ารั่วหลีก็พอ”

จี้หยวนฝืนยิ้ม ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลคืออีกปัญหาหนึ่ง ก้มหน้ามองวาฬยักษ์ที่ว่ายน้ำอย่างรวดเร็วอยู่ใต้เท้า

“ขอถามแม่ทัพวาฬยักษ์ เกาะหินมังกรที่เจ้าแม่เจ้าอยู่นั้นอยู่ที่ใด”

“แต่ไหนแต่ไรฮูหยินไม่ให้พูด โดยเฉพาะทางนี้…ทว่าให้ท่านเซียนจี้และเทพีรั่วหลีรู้คงไม่เป็นไร อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องไป ความจริงเกาะหินมังกรไม่ได้อยู่ภายในทะเลตะวันออก ต้องข้ามผืนทะเลใหญ่อ้อมทะเลเวิ้งว้าง ตรงจุดตัดระหว่างทะเลตะวันออกและทะเลเหนือนั่นแหละ”

อ้อมทะเลเวิ้งว้าง? จุดตัดระหว่างทะเลตะวันออกและทะเลเหนือ?

จี้หยวนลองจินตนาการดู น่าจะหมายความว่าอย่างน้อยต้องมุ่งหน้าตะวันออกไปยังจุดตัดของทะเลตะวันออก จากนั้นเข้าใกล้ทะเลเหนือ นี่ไม่ใช่ตะวันออกเฉียงเหนือสุดในทะเลรกร้างหรอกหรือ

“ไกลขนาดนั้นเชียว?”

จี้หยวนถามออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาจินตนาการไม่ออกอยู่บ้างว่าระยะทางนี้ไกลมากเท่าไหร่ ทุกเกาะทั่วใต้หล้าล้วนถูกทะเลล้อมรอบไว้ พื้นที่ทะเลตะวันออกเทียบกับเกาะเมฆาบูรพาแล้วยิ่งใหญ่กว่าไม่รู้มากน้อยแค่ไหน

“มารดาเจ้าหนีไปไกลนัก…”

จี้หยวนแขวะอย่างหาได้ยาก ต่อให้เป็นอิงรั่วหลีก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี

“ไกลไปหน่อย แต่ท่านเซียนวางใจ ความสามารถของข้าแม่ทัพวาฬยักษ์อาจไม่เพียงพอ ทว่าความเก่งกาจในการเร่งเดินทางไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน เรือข้ามแดน เรือเหาะ หรือเกาะลอยเหล่านั้น หากพูดถึงความเร็วแล้วเทียบกับข้าไม่ได้!”

แม่ทัพวาฬยักษ์ว่ายน้ำไปพลาง พูดไปพลาง ดูท่าทางภาคภูมิใจ จี้หยวนฟังแล้วครุ่นคิดหนัก

“เทพีแม่น้ำ เจ้าเป็นเทพตัวจริง จากแม่น้ำเทียมฟ้ามาไกลขนาดนี้ไม่เป็นไรหรือ”

อิงรั่วหลียิ้มจาง

“ท่านอาจี้ไม่ต้องเป็นห่วง บริเวณแม่น้ำเทียมฟ้านั้น เผ่าวารีล้วนรับคำสั่งจากจวนบาดาล เมื่อเกิดปัญหาอะไรจะมีคนช่วยข้าจัดการ ข้าเองไม่สนใจมรรคเทพอยู่แล้ว ออกมานานหน่อยย่อมไม่เป็นไร”

“อ๋อ…เช่นนั้นก็ดี…”

จี้หยวนยิ้มไม่ออกแล้วจริงๆ…

ผืนทะเลข้างหลังที่วาฬยักษ์จากมา ปราณมังกรลวงตาท่ามกลางไอหมอกรับรู้ถึงการจากไปของวาฬยักษ์ สิ่งที่จิตแบ่งของมังกรเฒ่าเห็น ร่างมังกรแท้ก็เห็นเช่นเดียวกัน

‘มีจี้หยวนไปด้วย น่าจะไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรกระมัง’

ในหมู่บ้านริมอ่าว จางฟู่ ภรรยาเขาเหลียงชุนหลาน และบุตรชายนำของขวัญจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านหน้าท่าเรือหน้าซึ่งห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ ถึงตระกูลเหลียงก่อนมื้อกลางวัน

“พี่เขย ท่านบอกว่าท่านจี้ยังไม่ตายหรือ”

เหลียงผิงเล่อมีสีหน้ายินดี บิดาเขาก็ยินดีเช่นกัน

“ใช่ ท่านจี้ไม่เป็นไร เช้าวันนี้เขามาหาพวกข้าที่บ้านเพื่อบอกว่าสบายดี อีกทั้งเขียนตัวอักษรมงคลให้พวกเราด้วยนะ!”

จางฟู่ยิ้มขณะพูด เล่าพบจี้หยวนในเช้าวันนี้ได้อย่างไร อีกฝ่ายเขียนตัวอักษรให้พวกเขาได้อย่างไรอย่างละเอียดยิบ

“จริงสิ นี่ก็คือตัวอักษรมงคลที่ท่านจี้เขียน ก่อนมาที่นี่ข้าตั้งใจวนดูรอบหมู่บ้าน ตัวอักษรและกลอนคู่ที่ติดกันเหล่านั้น ไม่มีตัวอักษรของบ้านใดเขียนได้สวยเท่าของท่านจี้เลย! สวยได้ครึ่งหนึ่งก็ไม่มี!”

จางฟู่พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ออกจากโต๊ะเดินไปควานหาในตะกร้าที่วางไว้ข้างๆ จากนั้นหยิบกระดาษแดงที่ม้วนไว้ขึ้นมา

“พวกเจ้าดูสิ!”

เมื่อกางกระดาษแดงออก ตัวอักษรมงคลที่เขียนด้วยหมึกดำหนาปรากฏขึ้น เพียงมองดูก็ทำให้คนตระกูลเหลียงสบายใจเป็นอย่างยิ่ง

“ตัวอักษรดี เป็นตัวอักษรดีจริงๆ!”

“ใช่ งดงามมาก!”

คนตระกูลเหลียงรู้จักหนังสืออยู่ไม่กี่คน ทว่ายังคงวิจารณ์ความงดงามได้เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญ

“ใช่ ไม่ได้หลอกพวกเจ้านะ ท่านจี้บอกว่าตัวอักษรนี้มีค่าเท่าทองพันชั่ง อืม น่าจะหมายถึงว่าทองพันชั่งก็นำมาแลกไม่ได้ ให้พวกเจ้าติดไว้ที่หน้าประตู ใครเห็นเข้าอยากซื้อ ไม่ว่าเสนอเงินเท่าไหร่ก็ห้ามขาย!”

“ไม่ขายๆ!”

“ใช่ นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่ท่านจี้มอบให้ เหตุใดต้องขายด้วย!”

“เห็นด้วย ตัวอักษรนี้ดีจริงๆ!”

ได้ยินว่าจี้หยวนยังไม่ตาย บิดาบุตรตระกูลเหลียงถอนหายใจโล่งเช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ฉลองปีใหม่ด้วยความผ่อนคลายได้มากกว่าเดิม ไม่ต้องก้าวผ่านปีเก่าพร้อมแผลในใจ แค่มองเห็นตัวอักษรมงคลก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

เหลียงผิงเล่อนำตัวอักษรมงคลวิ่งไปที่หน้าประตูอย่างไม่รอช้า กะเกณฑ์ทั้งบนล่างซ้ายขวา ดูว่าจะติดอย่างไรถึงจะตรง

บิดาตระกูลเหลียงเย้าจากข้างใน

“เด็กคนนี้นี่ เจ้าโง่กระมัง มันจะติดได้อย่างไร อีกเดี๋ยวข้าให้แม่เจ้าต้มโจ๊กให้เหนียวหน่อย แล้วใช้โจ๊กสำหรับติดแล้วกัน!”

เหลียงผิงเล่อหัวเราะฮ่าๆ คิดในใจว่าจริงด้วย ตนเองเลอะเลือนแล้วจริงๆ ทำได้เพียงโทษว่าตัวอักษรนี้งดงามเกินไปแล้ว

ขณะคิดเช่นนั้นเขาปล่อยมืด ทว่าตัวอักษรมงคลกลับติดบนประตูด้วยตนเอง

เหลียงผิงเล่อคิดว่ามันถูกลมพัดไป เกาศีรษะพลางคิดจะไปแกะออก แต่พบว่าเล็บแงะขอบกระดาษไม่ได้ ทำเอาเขาชะงักค้างไปในทันที

“แน่นแล้วหรือ”