ตอนที่ 336 เป็นเรื่องนี้อีกแล้ว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 336 เป็นเรื่องนี้อีกแล้ว

กระแสน้ำทำให้อิงเฟิงและยักษ์กลุ่มหนึ่งล้วนถูกม้วนพัด ตำหนักครึ่งหลังของจวนบาดาลยิ่งส่ายไหว

โชคดีที่ครั้งนี้มังกรเฒ่าคุมแรงอยู่บ้าง ไม่ได้ทำให้ตำหนักพังลง แต่ทำให้เผ่าวารีในจวนบาดาลสั่นกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะปราณมังกรแท้สายนั้นทำให้เผ่าวารีนับไม่ถ้วนตัวสั่นงันงก

อิงเฟิงถูกกระแสน้ำพัดออกไปนอกจวนบาดาลทันที ข้างๆ ยังมียักษ์หลายตนและเผ่าวารีอื่นๆ ที่ถูกสายน้ำกระแทกจนมึนงง

บุตรมังกรสะบัดศีรษะ มองไปทางบึงมังกรข้างหลังจวนบาดาลอย่างนึกกลัวอยู่บ้าง เมื่อครู่ไม่รู้ว่าตนเองสติขาดผึงหรืออย่างไร กล้าใช้คำเย้าแหย่บิดาเช่นนั้นได้อย่างไร

กระแสน้ำสงบลงอย่างรวดเร็ว มียักษ์ด้านข้างกล่าวกับอิงเฟิงอย่างระมัดระวัง

“องค์ชาย ประมุขมังกร…”

“เอาเป็นว่าพวกเจ้าทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้ยินอะไรแล้วกัน อย่าเที่ยวพูดไปทั่วด้วย ไม่เช่นนั้นระวังท่านพ่อข้ากินพวกเจ้าล่ะ!”

อิงเฟิงสงบจิตใจก่อนตอบ

“ขอรับๆๆ!”

“ข้าน้อยไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”

หลังจากกระแสน้ำสงบลงได้ครู่หนึ่งแล้ว อิงเฟิงกลับไปที่จวนบาดาลอีกครั้ง ยังไม่ทันถึงบึงมังกรก็เห็นบิดาตนเองเดินออกมาจากข้างในแล้ว ความโกรธกริ้วบนใบหน้ายังคงไม่จางหายไป

อิงเฟิงรีบย่างสามขุมเข้าไปคารวะใกล้ๆ กิริยานอบน้อย ราวกับจำไม่ได้ว่าเมื่อครู่ตนเองพูดอะไรออกไป

“ท่านพ่อ!”

มังกรเฒ่าหรี่ตาเหลือบมองเขา ตอบรับเสียงขึ้นจมูก จากนั้นเดินไปทางตำหนักหลักที่อยู่ข้างหน้า อิงเฟิงย่อมรีบตามหลังไปติดๆ

ตอนเดินไปถึงตำหนักหลัก เงือกในน้ำรีบร้อนเก็บกวาดข้าวของที่ถูกสั่นสะเทือนจนล้มลงจากพื้น ก่อนจะประคองเก้าอี้ที่ล้มลงขึ้นมาเช่นกัน

มังกรเฒ่าไม่ยี่หระ นั่งลงบนเก้าอี้อัญมณีของเขา

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร เมื่อครู่ข้าหลับอยู่ฟังไม่ค่อยชัด พูดให้พ่อฟังอีกครั้งเป็นอย่างไร”

อิงเฟิงหัวใจเต้นแรง เมื่อครู่เขาเลือดขึ้นหน้า ตอนนี้ไหนเลยจะกล้า

“ข้าอยากรู้ว่ารั่วหลีและท่านอาจี้ไปที่ใด อยากรู้ว่าท่านพ่อมีวิธีบอกตำแหน่งกับข้าหรือไม่ ในเมื่อท่านไม่สะดวกไป ข้าตามไปเองก็ได้”

ขณะกล่าวอยู่นั้น อิงเฟิงหยิบถ้วยและกาน้ำชาจากถาดของเงือกสาวด้านข้าง เพื่อเทน้ำชาร้อนๆ ให้บิดาตนเองถ้วยหนึ่ง

มังกรเฒ่าแค่นหัวเราะพลางรับถ้วยชา มองฟองอากาศบนถ้วยที่กั้นกระแสน้ำเอาไว้ ทั้งไม่ดื่มและไม่พูดจา ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน

“แต่ว่า คือ…”

อิงเฟิงเดินไปมาอยู่หลายก้าวแล้ว

“ท่านพ่อ ท่านไม่ร้อนใจหน่อยหรือ ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่จัดการอะไรเลย หากท่านรู้ตำแหน่งอะไร ชี้ทางข้าก็ได้!”

มังกรเฒ่ายกถ้วยชาขึ้นดื่มเบาๆ คำหนึ่ง

“ไม่รู้เลย เจ้ารอฟังข่าวเถอะ หากไปแล้วจี้หยวนคนเดียวยังทำอะไรไม่ได้ ต่อให้มีเจ้าอีกร้อยคนจะไปมีประโยชน์อะไร”

มังกรเฒ่าแม้พูดแช่นนั้น แต่วิชาแยกร่างตามวาฬยักษ์ไกลๆ เหมือนเงา เมื่อฟ้าใสดำอยู่ใต้น้ำ เมื่อมีเมฆหนาก็กลายเป็นไอหมอก

แน่นอนว่ามังกรเฒ่าหวาดกลัวต่อความรู้สึกไวของจี้หยวน ย่อมไม่อาจอยู่ใกล้ได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงรักษาสภาวะและไม่ถูกสลัดทิ้ง

ถึงมีสิ่งของอย่างเข็มทิศซือหนานอยู่ เรือออกสู่มหาสมุทรได้ก็ยังมีไม่มาก นอกจากมองเห็นยานข้ามแดนของเขาเก้ายอดเมื่อหลายวันก่อน หลังจากนั้นเกือบเดือน จี้หยวนและธิดามังกรไม่เจอสิ่งของที่คนสร้างขึ้นอีกเลย

ความเร็วของแม่ทัพวาฬยักษ์ไม่นับว่าช้า ถึงร่างกายยักษ์ใหญ่ แต่มีวิธีการเคลื่อนที่ในน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ มันสงบกระแสน้ำแปลกประหลาดบางจุดได้ หมอกบังตาที่เกิดขึ้นในหลายแห่งก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการจับทิศทางของแม่ทัพวาฬยักษ์เลยสักนิด

กลางทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ปีศาจในน้ำย่อมมีอยู่แล้ว แน่นอนว่าเพราะมหาสมุทรกว้างเกินไป ต่อให้มีปีศาจมากมายกว่านี้ก็กระจายอยู่ในทะเล หายากยิ่งอย่างชัดเจน

ทว่าแม้ทิศทางที่แม่ทัพวาฬยักษ์พาจี้หยวนและอิงรั่วหลีไปนั้น เหมือนกับบางครั้งผ่านอาณาเขตของภูตวารีบางจำพวก บ้างออกมาดู บ้างไม่สนใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้จู่โจมอะไร ถึงขนาดไม่พูดคุยกันด้วยซ้ำไป

จี้หยวนเห็นว่าปีศาจมากมายในทะเลเหล่านี้คล้ายกับต้องการปลีกวิเวกกว่าบนแผ่นดินอยู่บ้าง หรือมีโอกาสสัมผัสมนุษย์น้อยเกินไปก็เป็นได้

ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ เหนือผิวน้ำทะเลเกิดหมอกหนา นี่ไม่เป็นปัญหาสำหรับแม่ทัพวาฬยักษ์โดยสิ้นเชิง ยังคงมุ่งหน้าไปดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ธิดามังกรนั่งขัดสมาธิหลับตาฝึกปราณอยู่บนหลังวาฬ ส่วนจี้หยวนถือตำราด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือพู่กัน ไม่ได้เขียนตัวอักษรบนโต๊ะ ทว่านั่งขัดสมาธิใช้หัวเข่ารองตำรา อนุมานวิชาอัศจรรย์ของตนเอง

หมอกหนานี้ส่งผลกระทบต่อจี้หยวนน้อยนิดเช่นกัน อย่างไรเสียปกติก็มองไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการมองเห็นท่ามกลางหมอกของเขาอาจยอดเยี่ยมความคนธรรมดามากโขด้วยซ้ำไป

รอบข้างล้วนเป็นเสียงคลื่นทะเล จี้หยวนจมอยู่กับการอนุมานมรรคแห่งการเปลี่ยนแปลง ทันใดนั้นเอง

ตึง…ตึง…ตึง…ตึง…

เสียงกลองหลายระลอกดังมาแต่ไกล

ตอนนี้จี้หยวนจับเสียงกลองได้ว่องไวอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นก็แทบลุกขึ้นยืนในทันที

“ท่านอาจี้ เป็นอะไรไปหรือ”

อิงรั่วหลีลืมตาเช่นกัน ลุกขึ้นถามจี้หยวน

“มีเสียงกลอง!”

“เสียงกลอง? หรือว่าเหมือนกับครั้งก่อนนั้น”

จี้หยวนขมวดคิ้วตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

“เสียงกลองมากกว่าหนึ่งครั้ง…แม่ทัพวาฬยักษ์ มุ่งหน้าไปทางนั้น”

ขณะพูดนั้น จี้หยวนยื่นมือชี้ไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง หลังจากวาฬยักษ์ใต้เท้าตอบรับเสียงหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนทิศทางว่ายน้ำเช่นกัน

ไม่นานเท่าไหร่นักเสียงกลองชัดเจนขึ้น ตอนนี้แม้แต่อิงรั่วหลีก็ได้ยินเช่นกัน

“มีเสียงกลองจริงด้วย!”

การยืนยันของอิงรั่วหลีทำให้จี้หยวนแน่ใจว่าเสียงกลองนี้ไม่ใช่เสียงเดียวกับที่ได้ยินในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ท่าทางตนเองจะคิดมากเกินไป

ห่างจากพวกจี้หยวนไปประมาณหลายลี้ มีกองเรือขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่

เรือใหญ่จำนวนหนึ่งยาวเกือบสี่หรือห้าสิบจั้ง โดยรอบมีเรือขนาดต่างๆ ไม่ต่ำกว่าร้อยลำ เสียงกลองดังมาจากเรือเหล่านี้นั่นเอง

บนเรือใหญ่ตรงกลาง มีคนโบกไม้ตีกลองสองใบอย่างแรง

“ห้ามหยุดเสียงกลอง! ห้ามหยุดเสียงกลอง! กองเรือกลางหมอกต้องใช้เสียงกลองนำขบวน! มือกลองเปลี่ยนพักผ่อนทุกการตีห้าร้อยครั้ง! ห้ามหยุดเสียงกลอง!”

ชายคนหนึ่งในเสื้อคลุมตัวใหญ่ตะโกนสั่งจากด้านบนของท้ายเรือ

เหมือนกับบนเรือทุกลำโดยรอบมีมือกลองตีกลองทั้งสิ้น ใช้เสียงกลองนำทางเรือในกองเรือทั้งหมด ป้องกันไม่ให้มีเรือลำใดหลงหายไป และอาศัยความเบาดังของเสียงกลองควบคุมระยะห่างอย่างแม่นยำ เพื่อไม่ให้มีเรือลำใดชนกัน

เมื่อถึงตำแหน่งเดียวกับแม่ทัพวาฬยักษ์ในตอนนี้ เสียงกลองนับว่าดังชัดเจนมากสำหรับบุคคลที่สาม แม้มีหมอกหนาบดบัง แต่ไม่ได้ส่งกระทบอะไรมากกับพวกจี้หยวน

“กองเรือใหญ่มาก!”

อิงรั่วหลีกล่าวอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ออกทะเลมาเพิ่งเคยเห็นเรือเคลื่อนที่ด้วยกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้

“ใช่ นี่เป็นกองเรือของมนุษย์ แปลกที่เคลื่อนที่อยู่กลางทะเลบูรพา พวกเขาจะไปที่ไหนกัน”

“ท่านจี้ ข้าเข้าไปใกล้หน่อยแล้วกัน!”

แม่ทัพวาฬยักษ์เห็นธิดามังกรและจี้หยวนล้วนสนใจ กอปรกับมันเองก็สนใจอยู่บ้างจึงกล่าวออกไป เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านพลันเร่งความเร็วว่ายน้ำเข้าไปใกล้กองเรือ

กองเรือขนาดใหญ่ค่อนข้างเคลื่อนที่ช้าอย่างชัดเจนในตอนนี้ ใบเรือของเรือส่วนใหญ่ถูกเก็บหมดแล้ว

สำหรับคนธรรมดาเหล่านี้ ผลกระทบจากหมอกหนามีมหาศาล แม้มียอดฝีมือพร้อมวิชายุทธ์ชั้นเยี่ยมอยู่ไม่น้อย แต่สายตายังคงมีขีดจำกัด วาฬยักษ์เข้าใกล้เรือขนาดกลางริมกองเรือแล้ว กลับยังคงไม่มีใครพบมันเข้า

บนเรือลำหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด นอกจากเสียงกลองที่ยังดังต่อเนื่อง มีคนเตือนกะลาสีบนเรือเสียงดังเช่นกัน

“ท่านผู้บัญชาการพูดแล้ว ยิ่งสภาพอากาศแปลกประหลาด ยิ่งต้องระวังป้องกันปีศาจในทะเลโผล่ออกมา เดือนก่อนมีเรือสามลำถูกปีศาจลวงจนหลงทาง ภายหลังเรือสูญหายคนตายทั้งหมด ทุกคนระมัดระวังหน่อย!”

เสียงตะโกนบนเรือดังมาถึงหูพวกจี้หยวนด้วยเช่นกัน

ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่ปีศาจที่บรรลุปราณแล้วก็ไม่มีทางหาเรื่องกองเรือใหญ่ขนาดนี้ หากเป็นจริงตามเสียงตะโกนบนเรือ นั่นต้องเป็นเพราะเจอกับปีศาจที่มีมรรควิถีแล้ว

แม่ทัพวาฬยักษ์ไม่ได้คอยท่าอยู่แค่รอบนอก ทว่าพาจี้หยวนและอิงรั่วหลีว่ายน้ำวนรอบกองเรือ หยุดพักตั้งแต่เรือขนาดเล็กและขนาดกลางบริเวณรอบนอกไปจนถึงเรือขนาดใหญ่บางลำ ทำให้จจี้หยวนได้ยินเสียงสนทนาของคนมากมายบนเรือเหล่านั้น

บางคนคิดถึงบ้าน บางคนสับสนกับอนาคต และมีบางคนความคิดเตลิดเปิดเปิง ส่วนคนที่จิตใจแน่วแน่แทบไม่มีเลย

นี่เป็นกองเรือเดินสมุทรจากราชวงศ์ที่ชื่อว่าต้าซิ่ว ไม่รู้เหมือนกันใช่ราชวงศ์ของเกาะเมฆาตะวันออกหรือไม่ แต่จี้หยวนรู้สึกว่าเป็นไปได้ว่ามากจากเกาะอื่น

กองเรือนี้ผ่านอาณาจักรหลายอาณาจักร และผ่านเกาะกลางทะเลมาไม่น้อย ออกทะเลเดินทางมาแล้วแปดปีเต็ม ข้ามน่านน้ำอันตรายมากมาย เจอกับสถานการณ์แปลกๆ นับไม่ถ้วน ขนาดของกองเรือที่เคยมีเรือมากกว่าสองร้อยลำ บัดนี้มีเรือไม่ถึงหนึ่งร้อยลำแล้ว

การเดินทางดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าต้องผ่านความยากลำบากและอันตรายมากมาย แต่ภารกิจของกองเรือยังคงไม่บรรลุผล

ตอนนี้และเวลานี้ ผู้บัญชาการกองเรือกำลังยืนอยู่บนหัวเรือลำตรงกลาง มือไพล่หลังมองไปข้างหน้า ทัศนวิสัยพร่าเลือนทั้งหมด ปากพึมพำว่า

“เกาะหมอกเซียนที่ท่านโหรพูดถึงมียาอายุวัฒนะจริงหรือ แปดปีแล้ว ต่อให้หาเจอ จะเดินทางกลับยังต้องใช้เวลายาวนาน ฝ่าบาทจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเรายังต้องกลับไปหรือไม่…”

สิ่งที่ผู้บัญชาการไม่รู้ก็คือ ตอนนี้ข้างใต้เรือสมบัติของเขามีวาฬยักษ์ที่แทบจะตัวใหญ่กว่าเรือลำนี้ครึ่งหนึ่ง กำลังบรรทุกคนสองคนตามมา

จี้หยวนถอนใจและส่ายหน้า

“เป็นเรื่องนี้อีกแล้ว”