บทที่ 7 ชีวิตอันขัดสน

เตาตระกูลจางอยู่ที่ห้องเล็กอีกห้องหนึ่งนั้นก่อด้วยโคลน ซึ่งด้านบนมีกระทะเหล็กอันใหญ่ตั้งอยู่ หน้าต่างในห้องที่เล็กทำให้ห้องมืดเป็นพิเศษ ทั้งบ้านไม่มีแม้แต่ตะเกียงน้ำมันดี ๆ สักอัน หรือต่อให้มี ก็ไม่มีทางให้จางซิ่วเอ๋อใช้

จางซิ่วเอ๋อได้แต่ยื่นหัวตัวเองเข้าไปใกล้ ๆ เตา ถึงได้รู้สึกถึงแสงสว่างขึ้นมาหน่อย

ส่วนทางแม่โจวของนางนั้นตั้งครรภ์จริง ๆ และรักษาลูกไว้ได้ แต่ตำแหน่งของทารกยังไม่ค่อยมั่นคงนักจึงไม่อาจทำงานหนักได้ แถมหาหมอครั้งนี้ใช้เงินไป 10 เหรียญ และยังไม่นับค่ายาอีก

หากแม่เฒ่าจางรู้เข้า นางจะต้องด่าอีกแน่ ๆ

ครอบครัวของจางซิ่วเอ๋อนั้นอาศัยอยู่ในห้องฝั่งตะวันตก แม่เฒ่าจางกับจางอวี่หมินอาศัยอยู่ห้องตรงกลาง ส่วนลูกชายคนที่สามจางต้าเหออาศัยอยู่ในห้องฝั่งตะวันออก

ภรรยาของจางต้าเหอ แม่นางถาวชะโงกหน้าเข้ามากวาดตามอง “ไก่ที่ไม่ออกไข่จะให้อาหารไปทำไมกัน?”

แม่นางถาวมีลูกชายทีเดียว 2 คน ตอนนี้ลูกชายคนโตอายุ 17 ปีแล้ว ไปร่ำเรียนอยู่นอกหมู่บ้าน ส่วนลูกชายคนเล็กปีนี้ 6 ขวบ อายุเท่ากับจางซานหยา นางถือว่าตัวเองมีลูกชายจึงทำกร่าง ถึงจะกลัวแม่เฒ่าจางเหมือนกัน แต่เรื่องรังแกแม่นางโจวนั้นสบายมาก

เมื่อถึงเวลากินอาหารเย็น หญิงสาวสวมชุดสีชมพูอ่อนคนหนึ่งก็ยกของกินใส่ถ้วยเข้ามาในห้อง

“นี่คือน้ำตาลสดที่แม่บอกให้ข้าเอามาให้” หญิงสาวหน้าตาหยิ่งยโสเอ่ย

จางซิ่วเอ๋อมอง และรู้ว่านี่แหละอาสาวตัวเอง จางอวี่หมิน

“นังแม่ม่าย มองอะไรไม่ทราบ? พรุ่งนี้ข้าจะให้แม่เอาเจ้าไปขายซะ จะได้ไม่เสียฮวงจุ้ยบ้านเรา” จางอวี่หมินด่าโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ และแค่นเสียงก่อนจะหันหลังเดินออกไป

จางซิ่วเอ๋อมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา รู้สถานะตัวเองอย่างชัดเจนอีกครั้งในฐานะแม่ม่ายดวงกินผัว ดูท่าจะไม่มีใครชอบหน้านางจริง ๆ สินะ

ในเมื่อเป็นแบบนี้นางต้องรีบหาทางออกจากตระกูลจางทันที ต่อให้คนตระกูลจางแค่พูดเฉย ๆ แต่นานวันเข้านางก็ทนไม่ไหว

ส่วนเรื่องกินข้าว พวกนางสามพี่น้องไม่มีสิทธิ์ไปกินที่โต๊ะหรอก รอจนทุกคนกินกันเสร็จ พวกนางถึงไปกินที่โต๊ะได้

พวกนางมองเศษแกงเศษกับข้าวในจานบิ่น ๆ และเศษหมั่นโถวที่โดนแบ่งไว้ พี่น้องสามคนก็นั่งกินกันเงียบ ๆ พอกินเสร็จก็ต้องเก็บกวาดจานชาม

โต๊ะที่ตระกูลจางยืมมาก็คืนไปหมดแล้ว โต๊ะที่เหลือที่บ้านก็เป็นตะปุ่มตะป่ำ ซึ่งเก็บกวาดยากมาก

พี่น้องทั้งสามเก็บกวาดอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ หลังจากนั้นจางชุนเถาก็ยกกระดานไม้จากที่มืด ๆ ออกมา วางพืชผักป่าไว้บนนั้นและสับให้เละ ซึ่งการทำเรื่องนึ้ในเวลากลางคืนนั้นจะทำให้มือโดนบาดง่ายมาก แต่ไม่ทำก็ไม่ได้

นี่คืออาหารในวันพรุ่งนี้ของเป็ดไก่ ถ้าไม่ทำ แม่เฒ่าจางได้ลอกหนังจางชุนเถาออกมาแน่

ต่อให้จะเป็นแบบนั้นก็ยังมีเสียงไม่พอใจของจางอวี่หมินดังออกจากห้องมาเป็นระยะ “เสียงเบา ๆ หน่อย พวกเจ้าไม่นอน ข้ายังต้องนอนนะ!”

นานอยู่กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จ พี่น้องสามคนถึงได้ไปนอน

ผ้าห่มนั่นก็เปียกชื้นไม่อาจมอบความอบอุ่นใด ๆ ให้ได้ สามคนพี่น้องนอนบนเตียงเดียวกันก็ออกจะเบียดอยู่หน่อย ๆ ขยับเพียงนิดเดียวก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้ว จางซิ่วเอ๋อหวั่นใจสุด ๆ ว่าเตียงจะถล่ม

แต่ที่แย่ที่สุดคือ พอตกเวลากลางคืนก็ได้ยินเสียงหนูเกาขาเตียงด้วย

แต่จางซิ่วเอ๋อที่เหนื่อยถึงขีดสุด สุดท้ายก็หลับไปด้วยความเพลีย

วันรุ่งขึ้น เพื่อไม่ให้โดนด่า จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาตื่นแต่เช้า พาจางซานหยาขึ้นเขาไปด้วย

จางซานหยาอายุยังน้อย ปีนเขาได้ลำบากกว่าคนอื่น แต่นางก็เม้มปากแล้วตามขึ้นไปโดยที่ไม่บ่นเหนื่อยเลยตลอดทาง และพอถึงที่หมายจางชุนเถาก็เริ่มขุดผัก

เห็นเด็กอายุแค่นี้ก็ต้องเริ่มทำงานหนักแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็นึกอุทานในใจ ‘เด็กบ้านจนเก่งกันไวจริง ๆ’

จางซิ่วเอ๋อเอาไข่ที่ซ่อนไว้เมื่อวานออกมาปิ้ง และแบ่งให้กับทุกคน

โชคดีที่เมื่อวานนางมีแผนไว้ในใจ จึงไม่ได้เอาของกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นคงเก็บไม่อยู่แน่

จางชุนเถาใช้เคียวที่ด้ามหักตัดพืชผักอย่างรวดเร็ว เคียวนั้นเหลือเพียงด้านคม จึงใช้ผ้าเน่าพันด้านหนึ่งไว้เพื่อไม่ให้บาดมือ

จากนั้นก็แบ่งผักสำหรับคนและสำหรับหมูไว้อย่างรวดเร็ว

จางซิ่วเอ๋อตามจางชุนเถาขุดผักไปด้วย อีกใจก็หวังจะหาอะไรกินบนเขา แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ความโชคดีที่จับไก่ป่าได้นั้นไม่ได้ตามมาในวันนี้ด้วย แต่จางซิ่วเอ๋อก็เจออีกสิ่งหนึ่งแทน

เห็ด

เมื่อคืนมีฝนตกเบา ๆ อากาศบนเขาก็อบอ้าว เห็ดจึงผุดขึ้นมา

“พี่ เอารามาทำอะไร เจ้าสิ่งนี้มีพิษนะ ทิ้งไปเร็ว ครั้งที่แล้วที่อดอยากกันก็มีคนกิน แล้วก็ตายเพราะพิษนะ” จางชุนเถาหน้าตาตื่นกลัวทันทีเมื่อเห็นเห็ดที่พี่สาวของตนเก็บมา

จางซิ่วเอ๋อผงะ นี่มันเห็ดหอมที่หาได้บ่อยที่สุดไม่ใช่เหรอ? จะมีพิษได้ยังไง?

แต่พริบตาเดียวจางซิ่วเอ๋อก็เข้าใจ คนที่นี่คงจะแยกเห็ดแต่ละชนิดไม่ออก มีคนกินเห็ดแล้วตาย ทุกคนจึงกลัวเห็ดอย่างกับเป็นอสรพิษ

คิดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็เอาเห็ดเข้าปากคำหนึ่ง

“พี่ นี่พี่ยังคิดจะฆ่าตัวตายอยู่อีกเหรอ!?” จางชุนเถามีสีหน้าตกตะลึงในทันที

จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ “นี่เป็นแบบไม่มีพิษกินได้ ข้าตกลงกับเจ้าแล้วว่าจะไม่ตาย และไม่คิดสั้นอีก เจ้าดูสิ ข้ากินแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะหน่อย”

แต่ถึงจะได้ยินแบบนั้น จางชุนเถาก็ยังมีสีหน้าคลางแคลงอยู่ดี “ไม่มีพิษจริงหรือ?”

จางซิ่วเอ๋อมองหน้าเล็ก ๆ ของจางชุนเถาที่เปี่ยมด้วยความตื่นกลัวจึงปลอบ “วางใจเถอะ ไม่มีพิษจริง ๆ”

“พี่รู้ได้อย่างไรกัน?” จางชุนเถาทำหน้าสงสัย

จางซิ่วเอ๋อบอกอย่างนึกขำ “เมื่อกี้มีนกบินมากินเห็ดนี่ด้วย นกกินได้ ทำไมมนุษย์อย่างเราจะกินไม่ได้ล่ะ”

จางชุนเถาถึงบางอ้อ “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง….พี่ พี่นี่ฉลาดจริง ๆ เลย ทำไมเมื่อก่อนข้าถึงคิดไม่ได้นะ แต่ถึงพี่เอาเห็ดพวกนี้กลับบ้านไป ย่าก็ไม่กินหรอก จะด่าพวกเราด้วยซ้ำ” จางชุนเถาถอนหายใจ

จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง “เราตากให้แห้ง แล้วรอกินตอนหิวก็ได้”

ต่อให้แม่เฒ่าจางอยากกิน นางก็ไม่ให้กินหรอก

“งั้นก็ดี ถ้าข้าเจอเจ้ารานี่ก็จะเด็ดกลับไปให้พี่ แต่พี่ต้องรับปากข้านะ ว่าจะไม่กินอะไรมั่วซั่วอีก” จางชุนเถามีหน้าตานึกกลัวขึ้นมา

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า ก่อนจะเริ่มกระบวนการเด็ดเห็ดอันยิ่งใหญ่

ไม่นานนักนางก็มาถึงข้างลำธารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง น้ำใส ๆ ไหลรากราวกับจะชะล้างเอาความเศร้าและความเครียดที่จางซิ่วเอ๋อข้ามมิติมาออกไปได้

นางยืนอยู่ริมลำธาร เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวอายุ 15 ปี ผอมจนน่าสงสาร เนื้อทั้งตัวยังไม่ถึง 2 ชั่งด้วยซ้ำ แล้วยังมีแผลอีกมากมายตามร่างกาย เมื่อก่อนต้องใช้ชีวิตเหมือนไม่ใช่คนสินะ

และในขณะนั้นเอง จางซิ่วเอ๋อก็เหลือบไปเห็นเลือดที่ลอยอยู่ในลำธาร นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นและชะโงกมองไปพลางเดินเข้าใกล้ไปพลาง

ไม่นานนักก็เห็นชายชุดดำผู้หนึ่งนอนอยู่ในน้ำ ซึ่งเลือดนั้นไหลออกจากตัวเขา

จางซิ่วเอ๋อมองผู้ชายคนนั้นอย่างลังเล เขาขยับตัวเล็กน้อยและเห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่ตาย!