บทที่ 8 ช่วยคน

เวลานี้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อมองซ้ายมองขวาดูแล้วเห็นว่าไม่มีคน นางก็ลากผู้ชายคนนี้ขึ้นจากน้ำ ไม่อย่างนั้นต่อให้ลำธารนี้น้ำไม่ลึกก็ทำผู้ชายคนนี้จมน้ำตายได้เช่นกัน

นางนึกในใจ สงสัยจะเจอสัตว์ป่าบนเขาล่ะมั้ง?

จางซิ่วเอ๋อลากผู้ชายคนนี้เข้าไปกลางดงหินใหญ่ในระหว่างที่ใช้ความคิดไปด้วย ซึ่งที่ตรงนี้น่าจะปลอดภัยกว่าหน่อย

การต้องทำแบบนี้กินแรงจางซิ่วเอ๋ออย่างมาก อย่างไรซะตอนนี้จางซิ่วเอ๋อก็มีแผลอยู่ ถึงแม้จะไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่ถ้าใช้แรงมากขนาดนี้ก็ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลได้เช่นกัน

จางซิ่วเอ๋อนั่งหอบแฮ่ก มองผู้ชายคนนี้อย่างพิจารณา

เขาคงจะเสียเลือดมากเกินไป สีหน้าของเขาจึงออกซีดเผือด แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเมื่อมองจากหน้าตาแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการทีเดียว

ผู้ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งบาดแผลน่าจะอยู่ตรงหน้าอกของเขา จางซิ่วเอ๋อไม่ใช่คนโบราณจริง ๆ ย่อมไม่มีทัศนคติเรื่องผู้ชายผู้หญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน นางจึงฉีกเสื้อผ้าของชายหนุ่มออก เผยให้เห็นรอยแผลยาวเท่านิ้วมือปรากฏอยู่บนหน้าอกเขา

จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้ว นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้โดนสัตว์ป่ากัด แต่เป็นบาดแผลจากดาบ

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่น นางจึงเตรียมลุกขึ้นจะไป แต่สุดท้ายก็ไม่อาจไปทั้งแบบนี้ได้ จึงหยิบเอายาทาแผลที่ตัวเองพกติดตัวทาแผลเขาให้ และข่วยเขาพันแผล

ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้าทำได้เท่านี้แหละ ส่วนหลังจากนี้เจ้าจะเป็นหรือตาย ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของเจ้าก็แล้วกัน”

พูดจบ จางซิ่วเอ๋อก็ลุกไปหากิ่งไม้วางบดบังร่างของชายคนนี้ไว้

หนึ่งคือบังแดดบังลมได้ สองคืออำพรางคน ๆ นี้ได้ด้วย

จางซิ่วเอ๋อไม่มีความคิดที่จะช่วยให้จนสุดทางหรอก ตอนนี้นางเอาตัวเองยังไม่รอดเลย เพราะงั้นจะยุ่งอะไรมากมายไม่ได้

หากคนอื่นรู้เข้าว่านางช่วยผู้ชายคนหนึ่งไว้ ชื่อเสียงแม่ม่ายใหม่อย่างนางไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องพวกนี้น่ะนางไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก แต่หากทุกคนเอาแต่ทิ่มแทงทำร้ายนาง แล้วแบบนี้นางจะมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อไปได้อย่างไรละ?

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อต้องรีบออกจากจุดเกิดเหตุให้ไวที่สุด ขออย่าได้มีเรื่องยุ่งยากอะไรอีกเลย แต่ก่อนออกมานางได้กัดฟันทิ้งไข่ปิ้งที่ตัวเองตั้งใจเก็บไว้กินเองให้ชายหนุ่มด้วยฟองนึง

เวลานี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว จางซิ่วเอ๋อกลัวว่าจางชุนเถาจะตามหานาง จึงรีบเดินทางกลับอย่างรวดเร็ว

ตอนขากลับ จางซิ่วเอ๋อล้มโดยไม่ทนระวัง เนินเขาที่นี่ถือว่าชันอยู่ นางกลิ้งลงไปตามเนินเขาอยู่นานกว่าจะสามารถจับต้นไม้ต้นหนึ่งไว้และหยุดกลิ้งได้

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเจ็บจนราวกับว่าอวัยวะภายในของตัวเองกำลังออกมาจากร่างแล้วก็ไม่ปาน

นางร้องโอ้ยออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแผลต้องฉีกแน่

จางซิ่วเอ๋อพิงต้นไม้และเหนื่อยหอบ แต่ทันใดนั้นสายตานางก็นิ่งงันไป

ต้นไม้ที่นางพิงอยู่ มีก้านนึงเน่าไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก ที่น่าแปลกคือ…บนนั้นมีเห็ดหลินจือ 3 ต้น

ใช่แล้ว นี่คือเห็ดหลินจือจริง ๆ

ต่อให้จางซิ่วเอ๋อจะไม่เคยเห็นเห็ดหลินจือจริง ๆ แต่ในสังคมยุคปัจจุบันก็ข้อมูลมีอยู่อย่างแพร่หลาย แค่ดูทีวีก็รู้แล้วว่าเห็ดหลินจือหน้าตาเป็นยังไง

แต่หลังจากนั้น ได้ข่าวว่าเห็ดหลินจือสามารถเพาะปลูกได้ ราคาจึงไม่ได้แพงมาก

แต่เห็ดหลินจือต้นนี้นั้นมาจากธรรมชาติล้วน ๆ ที่สำคัญคือคนโบราณเวลารักษาโรคก็จะใช้แต่สมุนไพร เห็ดหลินจือกับโสมจึงเป็นของชั้นดีในการรักษา

จางซิ่วเอ๋อมองเห็ดหลินจือ 3 ต้นนี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย

แต่น่าเสียดายที่เห็ดหลินจือพวกนี้ต้นไม่ค่อยโต แต่กระนั้นยุงจะเล็กแค่ไหนก็ยังมีเนื้ออยู่ แล้วนับประสาอะไรกับของหายากอย่างเห็ดหลินจือละ

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกได้ทันทีว่าแผลบนตัวนั้นดีขึ้นบ้างแล้ว ในใจอารมณ์ดีสุด ๆ

นางแงะเห็ดหลินจือออกมาอย่างระมัดระวัง ติดเปลือกต้นไม้ส่วนนึงมาด้วย ก่อนจะค่อย ๆ เอาเสื้อห่อ แล้วเดินกลับไปช้า ๆ

เพิ่งจะเดินกลับถึงตรงที่จางชุนเถาและจางซานหยาขุดผัก จางชุนเถาก็พุ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตึงเครียด “พี่ ไปไหนมา ข้าเป็นห่วงแทบแย่”

จางซิ่วเอ๋อในเมื่อก่อนนิสัยอ่อนแอ เพราะฉะนั้นอย่ามองเพียงว่าจางชุนเถาอายุน้อยกว่า เพราะส่วนมากจางชุนเถาจะเป็นฝ่ายดูแลจางซิ่วเอ๋อ

จางซิ่วเอ๋อเอาของในเสื้อให้ทั้งสองดูด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ

จางชุนเถาเองก็รู้จักเจ้าสิ่งนี้เหมือนกัน นางชะงักนิดหน่อย “นี่เห็ดหลินจือเหรอ?”

จากนั้นจางชุนเถาก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างมาก “ใช่แน่ ครั้งก่อนที่ข้าไปเอายาที่โรงขายยา ในโรงขายยาก็มีเห็ดหลินจือตั้งอยู่ บอกว่าเป็นของดีประจำร้าน แต่ใหญ่กว่าของพี่เยอะ….”

จางซิ่วเอ๋อถาม “ชุนเถา โรงขายยาในแคว้นรับซื้อยาใช่ไหม?”

จางชุนเถาบอกยิ้ม ๆ “รับ ๆ พี่ แต่ของนี่ของพี่อย่าเอาให้ที่บ้านเลย ข้าดูทรงท่านย่าแล้วไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะรังแกพี่ขนาดไหน พี่มีเงินติดตัวบ้างน่าจะสะดวกกว่า”

จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาอย่างซาบซึ้ง เป็นน้องสาวแสนดีที่รักพี่จริง ๆ เลย

จางซานหยาอีกด้านกำลังมองมาทางนี้ ขณะนั้นหน้าตาก็จริงจังขึ้นมา “พี่ใหญ่ พี่รอง วางใจได้ ข้าก็จะไม่พูด”

จางซิ่วเอ๋อหัวเราะออกมา ถึงจะเป็นจางซานหยาที่อายุแค่นี้ แต่ก็รู้เรื่องแล้ว

ถึงแม้การข้ามมิติมาจะเจอเรื่องน่าเบื่อมากมาย แต่ได้มีความสัมพันธ์พี่น้องแบบนี้ก็ถือว่ามีได้มีเสีย อาจจะไม่แย่ขนาดนั้นก็ได้

เวลานี้แต่ละคนได้ผักป่ามาเพียบ น่าจะกลับไปกินข้าวได้แล้ว

พอถึงตระกูลจาง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเสียงด่าอันคุ้นเคยของแม่เฒ่าจาง แต่จางซิ่วเอ๋อไม่ใช่จางซิ่วเอ๋อคนเดิมแล้ว ถึงแม้เสียงด่าของแม่เฒ่าจางจะทำให้นางไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาอะไรมากมาย

พอฟังจนชินแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็ถือว่าเสียงด่าพวกนี้เป็นเหมือนลมผ่านหู

นางอยากด่าก็ให้นางด่าไป อย่างไรซะคนที่เหนื่อยก็คือนางเอง เนื้อตัวเองไม่หายสักหน่อย

แม่เฒ่าจางยังหวังว่าแม่นางโจวจะคลอดลูกชาย ในบ่ายนั้นเอง นางแงะเหรียญออกมาให้จางชุนเถาไปซื้อยาที่แคว้น ใช้เวลา 1 ชั่วยามในการเดินไป กลับมาอีก 1 ชั่วยาม ไปกลับรอบนึงฟ้ามืดพอดี

ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจางคิดได้อย่างไร ถึงปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวแค่นี้ออกจากบ้านได้

ส่วนจางต้าหูน่ะเหรอ ครั้งนี้ก็ตั้งใจจะช่วยจริง ๆ แต่โดนแม่เฒ่าจางส่งไปตัดหญ้า เวลานี้ยังไม่กลับมาหรอก

แต่เรื่องนี้เข้าทางจางซิ่วเอ๋อพอดี นางกำลังกลุ้มว่าไม่มีโอกาสไปที่แคว้น ไปเองก็กลัวจะไม่คุ้นที่คุ้นทาง ถ้าไปกับจางชุนเถาก็น่าจะดีกว่า

ตามปกติแล้ว แม่เฒ่าจางไม่ปล่อยใครไปง่าย ๆ หรอก แต่คราวนี้ไม่รู้ว่านางเป็นอะไรหรือกินอะไรผิดมาหรือเปล่า นางไม่สบตาและไม่สนจางซิ่วเอ๋อเลย

เรื่องนี้ทำให้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าแม่เฒ่าจางแปลก ๆ ไม่รู้ว่ามีแผนอะไรในใจหรือไม่

จางซิ่วเอ๋อตีหัวตัวเองอย่างเหนื่อยใจ นี่นางคงโดนด่าจนชินแล้วจริง ๆ พอแม่เฒ่าจางไม่ด่ากลับไม่สบายใจ

จางชุนเถาย่อมอยากออกไปข้างนอกกับจางซิ่วเอ๋ออยู่แล้ว นางพูดพร่ำไปเรื่อย “พี่ เห็นข้าออกเดินทางแบบนี้เหมือนเหนื่อยนะ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านแล้วโดนย่าใช้เยอะเลย”