บทที่ 9 ขายเห็ดหลินจือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 9 ขายเห็ดหลินจือ

จางซิ่วเอ๋อเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม้นางจะยังบาดเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้พักฟื้นเท่าไหร่เลย

แม้ว่าการออกมาข้างนอกตอนนี้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่อย่างไรเสียก็ดีกว่าอยู่บ้านตระกูลจาง

ช่วงเวลานี้มีฝนตกบ่อย ในพื้นที่ที่ทางเป็นดินแดงจึงมีหลุมและแอ่งน้ำอยู่เยอะ ทำให้เดินไม่สะดวกนัก อีกทั้งตามทางยังมีขี้วัวด้วย นั่นยิ่งต้องสังเกตให้ดี ๆ

แต่สองพี่น้องก็เดินไปหัวเราะไปจนถึงแคว้น ไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย

ณ แคว้นชิงสือ ​(ภูผามรกต)​

จางซิ่วเอ๋อมองอักษรใหญ่สองตัวที่เหมือนจะคุ้นแต่ก็ไม่แล้วตกอยู่ในภวังค์ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นตัวอักษรของโลกนี้ ตอนนี้นางพอจะรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในยุคโบราณที่รู้จัก แต่เป็นอีกโลกหนึ่ง ในประเทศต้าซุ่นที่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน

อักษรนี้คล้ายกับอักษรจ้วน[1] ที่จางซิ่วเอ๋อรู้จัก เสียดายที่จางซิ่วเอ๋อไม่เคยเรียนอักษรโบราณ ตอนนี้จึงได้แต่เดาอักษรสุ่ม

แต่จางซิ่วเอ๋อก็ยังรู้สึกโชคดีที่ในเมื่ออักษรนี้คล้ายกับอักษรจีน งั้นคงไม่ยากเท่าไหร่ที่นางจะเรียนหลังจากนี้

ต่อให้เขียนไม่สวย แต่ในอนาคตหากจะเรียนรู้อักษรพวกนี้ก็คงไม่มีปัญหา

แคว้นชิงสือเจริญรุ่งเรืองมาก เพิ่งจะเข้าประตูแคว้นก็เจอเกวียนที่รับจ้างขนของหรือรับคนจอดอยู่หลายคัน เกวียนลากถูกถอดออกจากวัวเพื่อให้มันได้พักผ่อน ส่วนคนขับเกวียนนั่งกันอยู่ที่พื้น

พอเดินลึกเข้าไปอีก ก็เจอร้านขายของ

แต่แผงร้านพวกนี้ส่วนใหญ่จะขายอาหารป่า แล้วก็มีร้านขายเนื้อสองร้าน ทำให้จางซิ่วเอ๋อที่เห็นแล้วยังอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ

นางหิวเหลือเกิน ตั้งแต่ข้ามมิติมานอกจากไก่ย่างตัวนั้นแล้วนางก็ไม่เคยได้กินอิ่มท้องเลยสักมื้อ

“พี่ ถึงร้านยาแล้ว” จางชุนเถาชี้ที่ที่หนึ่งที่มีป้ายสีแดงฉาน

“หุย…หุย…” เวลาผ่านไปเนิ่นนานจางซิ่วเอ๋อก็ยังอ่านไม่ออกสักตัว และได้แต่นึกอุทานในใจ ‘การไร้ความรู้นี่น่ากลัวจริง ๆ’

“โรงหุยชุน พี่ เรารีบจัดการให้เสร็จเถอะ จะได้รีบกลับ” จางชุนเถาบอกยิ้ม ๆ

จางชุนเถาก็ใช่ว่าอ่านออก แต่มีใครไม่รู้บ้างว่าที่นี่เรียกว่าอะไร?

สองพี่น้องเข้ามาด้านในร้านขายยา ทางด้านเสี่ยวเอ้อเห็นว่าเป็นเด็กสาวผอมแห้งหน้าเหลือง เสื้อผ้าเกรอะกรังสองคนก็ไม่สนใจพวกนางเท่าไหร่

จางชุนเถาเดินเข้าไปและยื่นรายการยาให้

“ยานี่ห่อละ 3 เหรียญ บนนี้เขียนไว้ว่าทั้งหมด 3 ห่อ” เสี่ยวเอ้อพูดจบแล้วก็ไม่ได้ไปจัดยา แต่ยืนมองหน้าสองพี่น้อง

สีหน้าจางชุนเถาเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ “ข้ามีอยู่แค่ 8 เหรียญ เจ้าพอจะลดให้หน่อยได้ไหม?”

แค่ 8 เหรียญนี่ก็เล่นเอาซะแม่เฒ่าจางจะบ้าตายแล้ว

“ที่นี่โรงยานะ ไม่ใช่โรงทาน” เสี่ยวเอ้อแค่นเสียงและไม่สนใจสองคนนี้อีก

จางชุนเถาร้อนใจ แล้วนี่จะทำอย่างไรดีล่ะ หมอบอกว่าต้องกินให้ครบ 3 ห่อถึงจะได้ผล

ในตอนนั้นเอง จางซิ่วเอ๋อก็เอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่าพวกเจ้ารับซื้อสมุนไพรนี่ไหม?”

แต่ตอนนี้เสี่ยวเอ้อกับทำราวไม่ได้ยินที่สองพี่น้อง กดลูกคิดอย่างไม่สนใจรอบข้างใด ๆ

จางซิ่วเอ๋อชักฉุน ดูท่าไม่ว่าจะที่ไหนก็มีพวกชอบดูถูกคนแบบนี้ตลอดเลยสินะ!

“ชุนเถา เราไปกันเถอะ เห็ดหลินจือนี่ข้าต้มให้แม่เรากินเองดีกว่า ก็ไม่ขายให้ร้านนี้แล้ว” จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง

พอเสี่ยวเอ้อได้ยินคำว่าเห็ดหลินจือก็เงยหน้าขึ้นทันที แต่พริบตาเดียวก็ก้มหน้าต่อ ‘แค่ยัยเด็กคลุกโคลนสองคนจะมีเห็ดหลินจือได้อย่างไร?’

และในเวลานี้เอง มีผู้เฒ่าเครายาวแต่งตัวดูร่ำรวยคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาถลึงตาใส่เสี่ยวเอ้อก่อนจะเอ่ยถาม “แม่นางทั้งสอง พวกเจ้ามีเห็ดหลินจือมาขายรึ?”

“ข้าคือเถ้าแก่ของโรงขายยานี้ เรามาคุยกันหน่อยดีกว่า…” น้ำเสียงเถ้าแก่เป็นมิตรอย่างมาก

จางซิ่วเอ๋อก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปแต่แรกอยู่แล้ว นางหาข่าวมาแล้วว่าโรงขายยานี้มีคุณธรรมในการซื้อขายที่สุดแล้ว แค่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเอ้อจะมารยาททรามขนาดนี้ เมื่อครู่นางแกล้งพูดให้เสี่ยวเอ้อฟังเท่านั้น หวังจะดึงดูดความสนใจของเขา

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า หยิบเห็ดหลินจือตัวเองออกมาด้วยความระมัดระวัง กางบนโต๊ะเก็บเงิน

เถ้าแก่เห็นแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เห็ดหลินจือนี้ใช้ได้ แต่ต้นเล็กไปนิด ไม่ทราบว่าพวกเจ้าอยากจะขายเท่าไหร่หรือ?”

จางชุนเถาได้ฟังก็รีบเอ่ยขึ้น “สิบ…”

จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าก็ดึงจางชุนเถาไว้ ขืนปล่อยยัยชุนเถาพูดต่อไป ได้กลายเป็นของราคา 10 เหรียญแน่

จางชุนเถาเฉลียวฉลาดก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอับจนมานาน สำหรับนาง 10 เหรียญเป็นเงินที่เยอะแล้ว ถ้าของพวกนึ้ขายได้ 30 เหรียญก็ถือว่ารวยแล้ว

แต่จางซิ่วเอ๋อไม่ยอมขายเห็ดหลินจือด้วยราคาถูก ๆ หรอก

“เถ้าแก่ ข้าดูแล้วท่านเป็นคนซื่อสัตย์ ท่านให้ราคามาเลย….” จางซิ่วเอ๋อบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

คราวนี้เถ้าแก่โดนครอบหมวกใบโต ตอนแรกว่าจะไหลตามที่จางชุนเถาพูด แต่ตอนนี้ก็ได้แต่บอกว่า “เห็ดหลินจือ 3 ต้นนี้ ข้าให้เข้าต้นละร้อยเหรียญ”

เมื่อได้ยินราคาที่เถ้าแก่เสนอมา จางชุนเถาก็มีหน้าตาตื่นเต้นทันที

แต่จางซิ่วเอ๋อกลับยัดเห็ดหลินจือเข้ากระเป๋าตัวเอง

เถ้าแก่เห็นดังนั้นจึงถาม “นี่เจ้าทำอะไร?”

จางซิ่วเอ๋อยิ้มบาง ๆ จนแทบจะเหมือนไม่ได้ยิ้ม “เถ้าแก่เห็นข้าเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร ข้าก็ไม่จำเป็นต้องขายให้ที่นี่…”

พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็เสริมอีกประโยค “ต่อให้เห็ดหลินจือของข้าจะต้นเล็กไปหน่อย แต่ก็เป็นเห็ดหลินจือนะ ไม่ใช่ดอกไม้หรือต้นหญ้าริมทาง”

เถ้าแก่รีบเอ่ยขึ้น “อย่าเพิ่งไป ๆ มีอะไรเราค่อย ๆ คุยกันเถอะ”

“ท่านบอกราคาจริงใจมาดีกว่า ถ้าครั้งนี้หลอกพวกเราอีก งั้นเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะซื้อขายกันอีก” จางซิ่วเอ๋อทำสายตาสูงส่ง

เถ้าแก่เหงื่อผุดขึ้นตามหน้าผาก ‘ทำไมยัยหนูนี่ฉลาดนักล่ะ นึกว่าเป็นยัยคลุกโคลนจากบ้านนอกคอกนา ไม่เคยเห็นอะไร นึกว่าจะได้กำไรเพิ่มซะอีก’

ครั้งนี้เถ้าแก่ไม่กล้าบอกมั่วแล้ว เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยขึ้น “ 2 ตำลึงเงิน”

จางซิ่วเอ๋อกลัวจะเกิดการเข้าใจผิด จึงเสริมขึ้น “เห็ดหลินจือต้นละ 2 ตำลึงเงิน 3 ดอกก็ 6 ตำลึงเงิน”

ที่จริงของดีอย่างเห็ดหลินจือมีมูลค่ามหาศาล แต่ช่วยไม่ได้ที่เห็ดหลินจือที่จางซิ่วเอ๋อนำมาต้นเล็กเกินไป เธอเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าได้ราคาประมาณนี้แหละ

เถ้าแก่พยักหน้า

จางชุนเถาเห็นว่าพริบตาเดียวราคาก็เพิ่มเป็นเท่าตัว นางมีสีหน้าตื่นเต้นมากกว่าเดิมเสียอีก

จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาจึงเสริมอีก “ข้ามีอีกเรื่องจะขอ”

เถ้าแก่มองจางซิ่วเอ๋ออย่างสงสัย หรือราคานี้จางซิ่วเอ๋อยังไม่พอใจอีก?

จางซิ่วเอ๋อวางรายการยาของตัวเองบนโต๊ะ และเอ่ยขึ้น “ข้าขอยา 3 ห่อนี้”

เถ้าแก่กวาดตามอง เมื่อเห็นว่ามีแต่รายการยาถูก ๆ นับตามราคาทุนก็แค่ 5 เหรียญเท่านั้น จึงพยักหน้าอย่างใจกว้าง

จางซิ่วเอ๋อจึงยอมเอาเห็ดหลินจือมาวางบนโต๊ะ แต่ไม่ดันเห็ดหลินจือไปข้างหน้า

เถ้าแก่จึงต้องจัดยาให้เสร็จ แล้วหยิบเงินออกมาอีก 5 ตำลึง บวกกับเศษเงินอีก 1 ตำลึง แล้วจากนั้นจึงยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ

จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านเป็นคนดี อีกหน่อยถ้าข้าเจอของดี ๆ จะมาขายให้ท่านอีกนะ”

————————————-