บทที่ 10 กินอิ่ม

เมื่อได้รับคำเยินยอ ใจที่ไม่สบอารมณ์ของเถ้าแก่ก็พลันเบิกบานขึ้นมา

จากนั้นสองพี่น้องตระกูลจางก็เดินเคียงคู่กันออกจากร้าน

“ได้เงินมาเยอะขนาดนี้ พี่เก่งจังเลย” จางชุนเถาตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรดี

จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาอย่างนึกขำ ก่อนจะมองร้านขายบะหมี่ เป็นเตาทรงกลมที่สร้างด้วยอิฐดิน บนเตามีหม้อขนาดพอดี เจ้าของร้านกำลังต้มบะหมี่อยู่ ซึ่งขณะนี้บะหมี่กำลังเดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ

เส้นบะหมี่สีขาวขุ่น น้ำบะหมี่ถึงเครื่องได้ดึงดูดความสนใจของจางซิ่วเอ๋อเป็นอย่างมาก ทำให้น้ำลายไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาอยู่สักพัก จากนั้นจึงลากจางชุนเถาเดินเข้าไปในร้านขายบะหมี่

“พี่ ข้าว่าอย่าเลย นี่มันแพงเกินไปนะ” จางชุนเถามองร้านบะหมี่อย่างไม่ค่อยสบายใจ

แต่จางซิ่วเอ๋อก็ได้เอ่ยเสียงดังฟังชัดขึ้นเสียก่อนว่า “บะหมี่หมู 2 ถ้วย เพิ่มหมูราคา 3 เหรียญทั้ง 2 ถ้วย”

สมัยนั้นเนื้อ 1 ชั่งราคาแค่ 10 เหรียญ ดังนั้นเนื้อราคา 3 เหรียญจะได้เนื้อชิ้นใหญ่เลยล่ะ

บะหมี่ถ้วยละ 7 เหรียญ รวมกันแล้วได้เลขถ้วนพอดี

ที่นี่เก็บเงินก่อนค่อยทำบะหมี่ จางซิ่วเอ๋อยื่นตำลึงเงินเล็ก ๆ ให้ เงิน 1 ตำลึงเท่ากับ 1,000 เหรียญ นี่ไม่ใช่เงินเล็ก ๆ เลยนะ

เจ้าของร้านใช้เงินก้อนเล็กกว่าในการทอนเงินให้จางซิ่วเอ๋อ แล้วจึงทำบะหมี่ให้สองพี่น้องได้ทาน

ในเวลาไม่นานนัก บะหมี่หมูหอมฉุย 2 ถ้วยก็มา จางซิ่วเอ๋อเมื่อมองเห็นเนื้อสามชั้นชิ้นหนาในถ้วยแล้วก็รู้สึกน้ำย่อยทำงานทันที

นางคีบชิ้นนึงเข้าปาก รสชาติดีเสียจนจางซิ่วเอ๋ออยากจะกลืนลิ้นตัวเองเข้าไปด้วย

ทำเป็นเล่นไป ยุคโบราณไม่มีเนื้อหมูใส่สารเร่ง อร่อยกว่าหมูยุคปัจจุบันเยอะเชียว

ร่างกายนี้ก็ไม่ได้กินของดีแบบนี้มานานแล้ว ตอนนี้อย่างกับคนอดอยากที่ทนแทบไม่ไหว

ทางด้านจางชุนเถาก็มองบะหมี่ถ้วยตรงหน้าด้วยตาเป็นประกาย ชีวิตนี้นางก็ไม่เคยกินของดีขนาดนี้ ปกติเวลาถึงเทศกาลปีใหม่ที่บ้านก็จะทำของอร่อยบ้าง แต่ของพวกนี้จะเข้าปากตัวขาดทุนอย่างนางได้อย่างไร?

ชั่วขณะนั้นเอง สองพี่น้องราวลืมเลือนคำพูดคำจา เหลือเพียงแต่เสียงกินบะหมี่เท่านั้นที่ได้ยิน

พอกินหมดไปถ้วยนึงก็รู้สึกยังไม่สุด จางซิ่วเอ๋อจึงขอน้ำมาซดเพิ่ม

ทางเจ้าของร้านเองก็ใจดี ตักน้ำที่มีมันลอยอยู่เติมให้ทั้งคู่ให้อิ่มหนำ

พอซดน้ำเสร็จ สองพี่น้องถึงได้ลุกขึ้นอย่างพึงพอใจ

“บะหมี่นี่อร่อยจริง ๆ ถ้าแม่เราได้กินด้วยก็คงดี…” จางชุนเถาอุทานออกมา

จางซิ่วเอ๋อนึกและเอ่ยขึ้น “เราไม่สะดวกจะเอาบะหมี่นี่กลับไปด้วย ซื้อเป็นซาลาเปาให้แม่กับน้องเถอะ” ส่วนพ่อไร้ประโยชน์นั่น…เหอะ ยังไม่อยู่ในขอบเขตที่นางจะนึกถึง

จางชุนเถารีบพยักหน้า “แบบนี้ก็ดี”

ซาลาเปาลูกละ 2 เหวิน จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาจึงซื้อมา 5 ลูก

นางซื้อเนื้อสุกอีกครึ่งชั่ง ซึ่งเนื้อที่สุกแล้วจะมีราคาแพงหน่อย เนื้อครึ่งชั่งจะขายอยู่ที่ 8 เหรียญ แต่ก็ช่วยไม่ได้แหละนะ นางจะซื้อเนื้อดิบกลับไปทำอะไรได้ล่ะ?

ในระหว่างทางกลับบ้าน ยังไม่ทันที่จางซิ่วเอ๋อจะพูดอะไร จางชุนเถาก็ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเงินนี่ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้แม่เฒ่าจางรู้เด็ดขาด เมื่อจางซิ่วเอ๋อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางไม่มีทางให้แม่เฒ่าจางรู้อยู่แล้ว

ถ้าแม่เฒ่าเสือนั่นรู้เข้า นอกจากจะเอาตำลึงไปแล้ว เผลอ ๆ จะตีพวกนางด้วย มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำเรื่องเปลืองแรงแล้วยังไม่ได้ดีแบบนี้

ตอนกลับไปถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว

แม่เฒ่าจางไม่มีทางเหลือกับข้าวให้ตัวขาดทุนสองตัวอยู่แล้ว และตอนนี้กำลังปิดประตูกินข้าวกันอยู่

ซึ่งสองพี่น้องก็กลับไปที่ห้องโดยไม่พูดอะไร

จางซานหยาที่อายุยังน้อยกำลังป้อนข้าวแม่โจวอยู่ ถึงจะบอกว่าเป็นข้าวแต่จริง ๆ มีไม่กี่เม็ดเท่านั้น

จางซิ่วเอ๋อนึกปวดใจ นี่แม่ท้องอยู่นะ ยัยปีศาจเฒ่ายังจะรังแกอีก แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้นางมาแล้ว นางเลี้ยงให้แม่และน้องชายที่ยังไม่คลอดของตัวเองจ้ำม่ำไปเลย!

ส่วนแม่โจวนั้นอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ถึงจะมีลูกนางก็ไม่ได้ดีใจนัก กลับยิ่งกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม

ถ้ารอบนี้คลอดออกมายังเป็นผู้หญิงอีก งั้นในบ้านนี้…นางคงอยู่ยากยิ่งกว่าเดิมแน่

“ซานหยา ลูกเอาข้าวถ้วยนี้ให้พี่สาวทั้งสองเถอะ แม่อิ่มแล้ว” เสียงแม่โจวแหบแห้ง

นางกินอิ่มซะที่ไหนล่ะ ตอนนี้แค่ไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเองต้องทนหิวก็เท่านั้น

ตอนนี้จางชุนเถาได้ลงกลอนประตูไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะหยิบเอาของที่นางซ่อนไว้ในอกออกมาอย่างมีลับลมคมใน

ซึ่งคือห่อกระดาษที่ห่อซาลาลูกใหญ่ไว้ห้าลูก

เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนนำอะไรออกมา แม่โจวก็เบิกตากว้างและจากนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันที “ไปเอามาจากไหน? พวกเจ้าขโมยเงินที่บ้านเหรอ?”

จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจ และเอ่ย “แม่ อย่าคิดมากหน่า เงินนี่พวกเราสองคนหามาได้”

“ต่อให้พวกเราอยากขโมยเงิน ก็หาที่ซ่อนเงินของย่าไม่เจอหรอก” จางชุนเถาเสริม นี่น่ะความจริงเลย

“แม่ รีบกินเถอะ ถ้าโดนจับได้พวกเราสองคนต้องโดนตีแน่ แม่กินไปพลางฟังข้าเล่าไปพลางนะ” จางซิ่วเอ๋อเร่ง

นางพูดพลางหยิบเนื้อในอกออกมา เนื้อสุกนี่ได้หั่นไว้เป็นชิ้นแล้ว และเนื่องจากจางซิ่วเอ๋อได้เก็บเอาไว้ในอกอยู่ตลอด เนื้อทั้งหมดจึงยังไม่ชืด

ไม่นานนักแม่โจวเองก็ได้สติกลับมา นางยังเชื่อใจลูกสาวสองคนนี้ของตัวเองอยู่ พวกนางไม่มีทางทำอะไรไม่ดี เมื่อครู่นางแค่ตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็นเท่านั้น จึงได้พูดแบบนั้นออกไป

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้น “วันนี้ตอนข้าขึ้นเขา ข้าเด็ดหลินจือมาได้ 3 ต้น จึงขายได้ 30 เหรียญน่ะ”

เรื่องนี้สองพี่น้องคุยกันแล้วว่า จริง ๆ แล้วขายได้เท่าไหร่นั้นจะไม่บอกใครเลย

แม่โจวได้ฟังดังนั้นก็นึกตกใจ ตั้ง 30 เหรียญเลยนะ

ไม่ทันที่แม่โจวจะพูดอะไร จางชุนเถาก็เอ่ยขึ้นอย่างน่าสงสาร “แม่ พวกเราสองคนหิวจริง ๆ จึงกินบะหมี่ที่แคว้น เงินที่เหลือเอาไปโปะค่ายาอีกเหรียญนึง แล้วก็ซื้อของพวกนี้”

หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เงิน 30 เหรียญนั้นถูกใช้ไปหมดแล้ว

ตอนแรกแม่โจวจะตำหนิพี่น้องสองคนที่ใช้เงินซี้ซั้ว แต่พอได้ยินก็นึกปวดใจ

ถ้าเด็กสองคนนี้วันนี้ไม่ได้แวะกินข้างนอก คงต้องทนหิวอีกแล้ว

พอรู้ที่มาที่ไปของอาหาร ถึงแม้แม่โจวจะสบายใจขึ้น แต่ก็ยังนึกเสียดาย นางกินซาลาเปาแค่ลูกเดียวก็ไม่กินอีก “เก็บไว้ให้พวกเจ้ากินพรุ่งนี้แล้วกัน”

“แม่ ในท้องแม่มีน้องชายด้วยนะ ถ้าน้องหิวจะทำอย่างไร?” จางซิ่วเอ๋อรีบบอก

แม่โจวเม้มปาก นางเสียดายและไม่กล้ากินจริง ๆ แม้ว่านางจะอดก็ไม่เป็นไร แต่เด็กทั้งสามนี้เจอเรื่องแย่ ๆ มาเยอะเหลือเกิน…..ของพวกนี้เก็บไว้ให้พวกนางกินน่ะดีแล้ว

จางชุนเถาแค่นเสียง “แม่ ถ้าแม่ไม่กินตอนนี้ เดี๋ยวพ่อรู้เรื่องของพวกนี้เข้าอาจจะเอาให้ย่าก็ได้ ถึงตอนนั้นพวกเราอย่าหวังว่าจะมีใครได้กินเลย ข้ากับพี่ต้องโดนตีเป็นแน่….”

แม่โจวได้ยินดังนั้นก็ใจกระตุกทันที นางจึงเริ่มกินอย่างไม่ลังเล

ตอนแรกนางก็คิดจะเก็บไว้ให้จางต้าหู แต่นางยังนึกโกรธที่เมื่อวานจางต้าหูยืนมองนางโดนตีอยู่เฉย ๆ หัวใจคนเราทำจากเลือดเนื้อทั้งนั้น นางเองก็เหนื่อยใจและน้อยใจเป็นเช่นกัน

บวกกับกลัวว่าจางต้าหูเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่เฒ่าจาง และเป็นเหตุให้เด็กกตัญญูสองคนต้องโดนตี เพราะฉะนั้นแม่โจวจะยอมให้จางต้าหูรู้ได้อย่างไร?