ตอนที่ 9 : เดินมาอย่างผ่าเผย
ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างอย่างเคร่งเครียด หลินจือเซี๋ยวเองก็เบิกตากว้างอย่าง ตกตะลึงเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าท้าทายประธานจิ่งแบบนี้ เธอรู้สึกชื่นชมในความกล้าของโหรวโหรวมาก ๆ คู่ควรกับการอยู่แผนกวางแผนจริง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่งผลให้รอบข้างต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เขาก้าวเดินไปข้างหน้า ซึ่งอยู่ห่างกับเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร ก่อนจะมองไปที่เธออย่างตรง ๆ
“ประธานจิ่ง เธอสมัครในตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกวางแผนค่ะ” หลินจือเซี๋ยวรีบกระโดดมาจากสภาพที่น่าหวาดกลัวเมื่อครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
เธอรู้ดีว่าประธานจิ่งนั้นเป็นคนอันตรายแค่ไหน ไม่เคยมีใครหนีรอดไปได้
ที่แท้ผู้หญิงที่กล้าแบบนี้ คือ TE (ตำแหน่งแผนกวางแผน) นี่เอง
TE ที่แข่งขันด้านการค้าต่างประเทศอย่างดุเดือดกับอุตสาหกรรมตระกูลจิ่ง ในปีนั้นบริษัทจิ่งสูญเสียการซื้อครั้งใหญ่ไป นั่นเป็นเพราะว่า TE วางแผนเหนือกว่าที่อุตสาหกรรมจิ่งคิดไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าปีนั้นผู้หญิงคนนี้คือคนที่วางแผนใหญ่โตนั่น
“พาเธอเข้าไป” เขาพยักหน้า ก่อนจะมองเธออย่างสนใจและคลี่ยิ้มอย่างรวดเร็ว มันเร็วเสียจนคนอื่นมองไม่เห็นรอยยิ้มนั้น
หลินจือเซี๋ยวถอนหายใจ เธอรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อมองไปที่เพื่อนสนิทของตนก็พบว่าเธอนั้นกำลังจับตามองไปที่ประธานอย่างตรง ๆ เสียอย่างนั้น!
อันโหรวคนนี้ เมื่อครู่นี้ทำท่าทางมั่นใจในตัวเองมากจริง ๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับเหมือนสูญเสียวิญญาณไปแล้ว ถูกประธานจิ่งมองทะลุผ่านไปแล้วงั้นเหรอ!
การจ้องมองของจิ่งเป่ยเฉินนั้นทำให้ดวงตาของอันโหรวต้องหยุดไปชั่วครู่ ความรู้สึกนี้มันชักจะคุ้นเคยเกินไปแล้ว…
“ประธานจิ่ง คนที่อยู่ข้างหลังคุณนั้นดูเหมือนจะกระวนกระวายนะ ดูท่าคุณน่าจะมีเรื่องสำคัญ?” อันโหรวยิ้มเล็กน้อย ดวงตาก็คลี่ออกมาเป็นรูปยิ้มเช่นกัน
จิ่งเป่ยเฉินละสายตาจากการมองเธอ ก่อนจะหันหลังกลับไป
ดวงตาคู่นี้ดูคุ้นเคยมาก ถ้าหากเป็นเธอ ป่านนี้เขาคงถูกเธอจับจมูกและเป่าลมใส่ดวงตาไปนานแล้ว
เมื่อเขาออกไปนานแล้ว ภายในห้องโถงก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที หัวข้อสนทนาก็ถูกตั้งขึ้นโดยมีอันโหรวเป็นประเด็น
“ผู้หญิงคนนี้จงใจใช่ไหม? ใช้จุดนี้เพื่อดึงดูดสายตาของประธานจิ่ง”
“ไม่หรอกมั้ง ประธานจิ่งสนใจแต่คนสวย ๆ ไม่ใช่หรือไง?”
“ก็จริงนะ ผู้หญิงคนนั้นขี้เหร่จะตาย กล้าสบตาประธานจิ่งแบบนั้น ฝันไปเถอะ!”
หลินจือเซี๋ยวยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยกับเธออย่างไม่สนใจคนรอบข้าง “โหรวโหรว ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ ประธานจิ่งตอนนี้ยังเป็นหนุ่มโสดที่ร่ำรวยมาก แต่พวกผู้หญิงพวกนี้ เขากลับ…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกอันโหรวขัดจังหวะ “เธอคิดอะไรของเธอ ฉันเป็นแม่คนแล้วนะ มีลูกสองคนแล้วด้วย ยังต้องสนใจเรื่องพวกนี้อีกเหรอ?” หลังจากพูดจบ เธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอพยายามเอาหยางหยางกับหน่วนหน่วนออกมาปกป้องตัวเอง จะต้องไม่โดนเขาจับได้
“ก็จริงนะ เดี๋ยวฉันจะไปหาข้อมูลก่อน เธอไปรอที่ห้องสัมภาษณ์เลยละกันนะ มันอยู่ชั้นที่สิบห้า ตรงหัวมุม ว่าแต่เสียงของเธอเมื่อกี้เป็นอะไร?”
“กลับไปแล้วจะบอกนะ” อันโหรวยิ้มออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่วุ่นวาย เธอก็แค่ใช้เสียงแหบ ๆ นั้นในการคุยกับประธานจิ่งเท่านั้นเอง
หลินจือเซี๋ยวเบ้ปาก ก่อนจะเอ่ยว่า “ได้”
หลังจากนั้นอันโหรวก็เดินไปที่ลิฟต์และรอให้ลิฟต์ลงมา
ตึกนี้มีลิฟต์อยู่สามตัว ขณะที่เธอกำลังรอลิฟต์อยู่นั้น ลิฟต์ทางด้านซ้ายก็ลงมาถึงพอดี พลันปรากฏร่างชายสูงโปร่งที่ดูอ่อนโยน สวมแว่นตาไร้กรอบแบบทรงสี่เหลี่ยม ชายคนนี้มีผิวขาว คิ้วดกดำ หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน
เมื่อฉีเซิ่งเทียนมองเห็นอันโหรว เขาก็หยุดเดินในทันที ราวกับว่าเขาได้ค้นพบโลกใบใหม่จากตัวเธอเสียอย่างนั้น “นี่ยัยขี้เหร่ เธอแอบเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
อันโหรวมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เดินมาอย่างผ่าเผยค่ะ” เมื่อพูดจบ ลิฟต์ตัวที่เธอรอก็มาถึงชั้นหนึ่งพอดี
เธอไม่มีเวลาสนใจดูคนอื่นหรอกนะ จากนั้นเธอจึงเดินเข้าไปในลิฟต์ทันที
ฉีเซิ่งเทียนมองไปที่ประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิด เขาเหลือบมองเลขชั้นที่เธอจะไป เมื่อเขาเห็นหมายเลขที่สิบห้า ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้างทันที ชั้นที่สิบห้านี่เป็นชั้นที่มีห้องสัมภาษณ์สำหรับผู้ที่สมัครเข้ามาใหม่ในตำแหน่งโฆษกโฆษณา ยัยผู้หญิงขี้เหร่คนนี้ทำไมถึงเข้ารอบสุดท้ายของผู้สมัครได้?