บทที่ 12 ลงทะเบียน

ผู้ใหญ่บ้านซ่งสูบยาสูบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มีอะไรก็พูดเถอะ”

ผู้ใหญ่บ้านซ่งเห็นจางซิ่วเอ๋อหิ้วของมาด้วย เขาก็รู้อย่างชัดแจ้งเลยว่าต้องมีเรื่องมาขอร้องเขาแน่นอน

จางซิ่วเอ๋อได้แบบนั้นก็เอ่ยขึ้น “เรื่องน่ะมีอยู่แล้ว ท่านลุงก็รู้ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลจางแล้ว ข้าจะอยู่ที่ตระกูลจางก็ไม่ใช่เรื่อง ข้าอยากออกมาตั้งตัวอยู่คนเดียว….”

ผู้ใหญ่บ้านซ่งได้ยินมาถึงตรงนี้ก็พยักหน้า “ก็สมเหตุสมผล”

กฎหมายต้าสุ้นเขียนเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า แม่ม่ายตั้งตัวออกมาอยู่คนเดียวได้

แต่ผู้ใหญ่บ้านซ่งก็ยังถาม “เรื่องนี้ที่บ้านเจ้ารู้หรือยัง?”

จางซิ่วเอ๋อตาแดงก่ำ “ข้าไม่ได้บอกหรอก แม่ข้าไม่อยากให้ข้าไป ย่าข้า…ถึงปากนางจะไม่พูดอะไร แต่ยิ่งพวกเขาเป็นแบบนี้ข้าก็ยิ่งทุกข์ใจ ที่บ้านข้ามีอาสาวและพวกน้องสาวที่ยังไม่แต่งงาน ถ้าข้าอยู่บ้านต่อ ต้องมีผลกระทบกับการแต่งงานของพวกนางแน่ ๆ”

จางซิ่วเอ๋อไม่กล้าเปิดโปงวีรกรรมแม่เฒ่าจางต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ในสมัยโบราณนั้นเรื่องกตัญญูถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากนางพูดออกไปก็เท่ากับว่าเป็นคนอตัญญู

แค่สถานะที่นางเป็นอยู่ในตอนนี้ก็หนักหนาพอแล้ว

แน่นอนว่ารอให้นางหลุดจากการควบคุมของแม่เฒ่าจางได้เมื่อไหร่ และตั้งตัวในหมู่บ้านนี้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นนางก็ไม่ต้องฝืนใจพูดอะไรแบบนี้แล้ว

ตอนนี้รากฐานของนางยังไม่มั่นคงนัก มีเรื่องอะไรก็ต้องทนเอาหน่อย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับจางซิ่วเอ๋อตอนนี้มันก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ผู้ใหญ่บ้านซ่งไม่อาจทำตัวใจร้ายได้จริง ๆ และลดท่าทีลง

การที่จางซิ่วเอ๋อจะออกไปตั้งตัวเองก็เป็นไปตามกฎหมาย ผู้ใหญ่บ้านอย่างเขาก็ห้ามไม่ได้ ที่จางซิ่วเอ๋อพูดอยู่ตอนนี้ก็หวังดีกับผู้อื่นทั้งนั้น แถมยังเอาของขวัญมาชิ้นใหญ่….

ผู้ใหญ่บ้านซ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะห้ามจางซิ่วเอ๋อ

ผู้ใหญ่บ้านซ่งจึงพูดขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ทำตามที่เจ้าบอกเถอะ ในเมื่อเจ้าแต่งงานแล้ว ก็ตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้เลย”

จางซิ่วเอ๋อให้ผลประโยชน์กับผู้ใหญ่บ้านซ่งแล้ว ผู้ใหญ่บ้านซ่งก็ทำธุระให้โดยไม่อิดออด เขียนหนังสือรับรองให้จางซิ่วเอ๋อบัดเดี๋ยวนั้น

แค่เอาหนังสือรับรองนี่ไปลงทะเบียนที่แคว้น เรื่องนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น

แต่จางซิ่วเอ๋อเป็นผู้หญิง ไม่มีที่ไม่มีบ้าน ถ้าอีกหน่อยอยากมีที่มีบ้านก็ต้องใช้ตำลึงซื้อ

ผู้ใหญ่บ้านซ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้จางซิ่วเอ๋อจะไปอยู่ที่ไหน แต่ก็คิดว่าคนตระกูลจางคงไม่ปล่อยให้จางซิ่วเอ๋อเร่ร่อน จึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก

จางซิ่วเอ๋อเดินออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ไม่ยอมชักช้า จึงไปที่แคว้นอีกรอบ

แต่ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้เดินไปเอง แต่เรียกเกวียนวัวและให้ไป 2 เหรียญก็มาถึงแคว้นอย่างสบาย ๆ แล้ว

ทั้งยังเสียอีก 20 เหรียญเพื่อซื้อเหล้าให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียน ซึ่งจางซิ่วเอ๋อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว

จากนั้นจางซิ่วเอ๋อก็นั่งเกวียนวัวกลับ

เวลาของนางมีน้อยมาก จะชักช้าไม่ได้เด็ดขาด

พอกลับมาแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็เอาเนื้อหมูที่ตัวเองซ่อนเอาไว้ไปหาหมอเมิ่งที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ กับจางชุนเถา

คน ๆ นี้คือหมอที่รักษาให้แม่ของจางซิ่วเอ๋อ

คนในหมู่บ้านชิงสือหากเจ็บไข้ตัวร้อน ก็จะไปให้หมอเมิ่งเพื่อรักษา

หมอเมิ่งอายุไม่มาก อายุแค่ 30 ปีนิด ๆ เท่านั้น หน้าตาแลดูเป็นชายที่เป็นมิตรและท่าทางสุขุม

ฝีมือการรักษาของหมอเมิ่งใช่ว่าจะดีมาก แต่นิสัยไม่เลว อย่างตอนรักษาให้แม่โจว ก็คำนึงถึงสถานการณ์ของแม่โจว จึงพยายามเรียกค่ารักษาน้อย ๆ ตอนสั่งยาก็เลือกที่มีราคาถูกและไม่แพง

เมื่อเขาเห็นสองพี่น้องเดินเข้ามา จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “แม่พวกเจ้าไม่สบายอีกแล้วรึ?”

จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาสบตากัน ก่อนจะส่ายหัว “ครั้งนี้เรามาหาท่านด้วยเรื่องอื่น”

พูดไปจางชุนเถาก็คุกเข่าลง จางซิ่วเอ๋อยังไม่ชินกับการคุกเข่า เวลานี้จึงเช็ดน้ำตาอยู่ข้าง ๆ

หมอเมิ่งเห็นดังนี้ถึงกับตกใจ

“ท่านอาเมิ่ง ตอนนี้มีแค่อาที่ช่วยข้าได้” จางชุนเถาสะอึกสะอื้น

“ท่าทางเจ้าไม่เหมือนป่วยนี่ รีบลุกขึ้นเถอะ ไม่สบายตรงไหนบอกข้ามา” หมอเมิ่งเห็นจางชุนเถาเป็นแบบนี้ก็ปวดใจ

เขาเคยไปตระกูลจางหลายครั้ง รู้ดีว่าแม่เฒ่าจางเป็นคนยังไง

จางชุนเถากัดปากและพูด “ข้าไม่ได้ป่วย”

“แล้วนี่เจ้า…” หมอเมิ่งงงไปหมด

จางซิ่วเอ๋อเช็ดน้ำตาและพูดขึ้น “เรื่องมันเป็นแบบนี้ ท่านย่าจะเอาชุนเถาไปขาย”

หมอเมิ่งได้ยินดังนี้ก็สะเทือนใจสุด ๆ นี่ตระกูลจางขายลูกกินได้อย่างไร?

“ท่านอาเมิ่ง เรามาครั้งนี้ก็เพื่อขอร้องให้ท่านอาช่วย” จางชุนเถาเอาหัวโขกพื้น

“ยัยหนู เจ้าลุกขึ้นเร็ว ข้าก็อยากช่วย แต่ข้าเป็นแค่หมอ ย่าเจ้าไม่ฟังข้าหรอก….” หมอเมิ่งไม่อยากยุ่งกับแม่เฒ่าจาง

คนเช่นนี้ใครเข้าไปยุ่งก็มีแต่จะต้องมีกลิ่นเหม็นคาวติดตัว

จางซิ่วเอ๋อเล่าความคิดตัวเองให้ฟังเสียงเศร้า ซึ่งหมอเมิ่งพอฟังจบก็ชะงักไป

“ท่านอาเมิ่ง ขอร้องล่ะ ข้าไม่อยากโดนจับไปขายจริง ๆ …” จางชุนเถาขอร้องวิงวอน

จางซิ่วเอ๋อยื่นเนื้อหมูและเงิน 2 ตำลึงเงินให้หมอเมิ่ง

หมอเมิ่งลังเล ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ได้ แต่ของพวกนี้ข้ารับไว้ไม่ได้”

“ท่านอา ท่านอาช่วยเราขนาดนี้ รับของพวกนี้ไว้เถอะ” จางซิ่วเอ๋อรีบกล่าว

หมอเมิ่งขบคิดยู่ไม่นานและรับเนื้อหมูไว้ ส่วนเงิน 2 ตำลึงเงินนั้นเขายื่นกลับไปให้จางซิ่วเอ๋อ “พวกเจ้าสองพี่น้องต้องออกจากตระกูลจาง มีเรื่องต้องใช้เงินไม่น้อยหรอก เก็บเอาไว้เถอะ”

เมื่อได้ยินหมอเมิ่งพูดเช่นนั้น จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกจุก ๆ ขึ้นมาที่คอ หมอเมิ่งช่างเป็นคนดีจริง ๆ

ในตอนที่สองพี่น้องกลับจากบ้านหมอเมิ่ง พวกนางก็สบายใจขึ้นมาไม่น้อย

จางชุนเถาถอนหายใจ “แต่ตอนนี้เรายังพายัยซานหยาออกมาด้วยไม่ได้”

“อย่ากังวลเกินไปนักเลย ถ้าพาพวกเจ้าออกมาด้วยทั้งคู่ ย่าต้องสงสัยแน่” จางซิ่วเอ๋อเอ่ยปลอบ

ส่วนจางซานหยา นางยังเด็กนัก แม่เฒ่าจางทำได้มากสุดก็แค่รังแกนางเท่านั้น ไม่มีทางเอานางไปขายได้ หรือต่อให้แม่เฒ่าจางอยากขายก็ไม่มีใครรับเด็กสาวอายุแค่นี้หรอก

รอนางหาเงินได้ก่อน แค่เอาเงินให้แม่เฒ่าจางได้เพียงพอ นางก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะพาซานหยาออกมาไม่ได้

เรื่องนี้สามพี่น้องคุยกันแล้ว ถึงแม้จางซานหยาจะเศร้าใจ แต่ก็เข้าใจดีและไม่ได้ร้องขอให้พานางไปด้วย

วันนี้ทั้งวัน สองพี่น้องวุ่นวายไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อย

ผักป่าหญ้าป่าก็ตัดมาได้นิดเดียว ตอนที่พวกนางเอาของกลับบ้านก็เตรียมใจที่จะโดนด่าแล้ว

แต่นี่เพิ่งจะเดินมาถึงตระกูลจาง สองพี่น้องก็ขมวดคิ้วทันที เนื่องจากตอนนี้หน้าบ้านมีรถม้าจอดอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีแขกมา

ทั้งสองสบตากัน และรู้อยู่แก่ใจว่าแขกมาทำอะไร

จางซิ่วเอ๋อคิดไม่ถึงว่าแม่เฒ่าจางจะเร็วขนาดนี้ แต่โชคดีที่นางเองก็ไม่ได้อยู่เฉย และเร่งรีบจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยหมดแล้ว

ถึงแม้จะเสียตำลึงไปไม่น้อย แต่สำหรับจางซิ่วเอ๋อแล้วตำลึงเป็นของตาย คนสิตัวเป็น ๆ ขอแค่พวกนางสองพี่น้องได้อยู่กันดี ๆ อนาคตก็ยังมีโอกาสหาตำลึงอีกมากโข