ตอนที่ 16 มิตรภาพ + ตอนที่ 17 ถูกปลุกด้วยความหิว

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 16 มิตรภาพ

เล่อเหยาเหยาเพียงรู้สึกว่าตนเองคล้ายตกอยู่ในห้วงฝัน

ทุกอย่างภายในความฝัน ทำไมเหมือนจริงเช่นนี้

ชายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้นเป็นฆาตกรโหดเหี้ยม ยังมีคันและลูกธนูที่ไร้ความปรานีและเลือดสาดกระเด็นไปทั่วทิศทางนั้นอีก

ทุกภาพทุกฉากหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเล่อเหยาเหยาไม่หยุดจนร้องเสียงแหลมออกมา แล้วตื่นจากฝันได้สติกลับมา

เธอกระเด้งตัวขึ้นจากเตียง พร้อมกับหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เมื่อคิดถึงความฝันเมื่อครู่ในใจเธอยังคงมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่

บนหน้าผากจึงเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นมา

มือข้างหนึ่งยกกุมกลางอกของตนเองที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงอยู่เช่นเดิม เล่อเหยาเหยาหอบหายใจพร้อมอ้าปากค้าง รอจนกระทั่งลมหายใจกลับมาเป็นปกติ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า

“ฟู่ว โชคดีที่เป็นแค่ความฝัน กลัวแทบตาย…อา…”

หลังจากถอนหายใจแล้วมองเห็นม่านตรงหน้า เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกคล้ายฟ้าผ่าลงมาที่ร่างกาย ก่อนจะแข็งทื่ออยู่กับที่ราวซากฟอสซิล

ห้องที่เรียบง่าย มีกำแพงสีขาวคานไม้ โต๊ะไม้ธรรมดาและเก้าอี้สี่ตัวที่มองแล้วก็รู้แล้วว่ามีประวัติยาวนาน

และเตียงที่ตัวเธอนอนอยู่ก็ไม่ได้ปูด้วยฟูกลายโดราม่อนที่เธอชื่นชอบ เป็นเพียงเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกหญ้าธรรมดา…

เมื่อเห็นทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเองแล้ว เล่อเหยาเหยาพลันมึนงงอีกครั้ง

ที่แท้เธอไม่ได้กำลังฝัน เธอตอนนี้ได้ข้ามเวลามาแล้ว…

นี้คือราชวงศ์ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ ราชวงศ์เทียนหยวน!

เธอกลับไปไม่ได้อีกแล้ว…

ยิ่งคิด เธอก็ยิ่งหดหู่ใจมากขึ้นเท่านั้น

อาจเพราะเป็นช่วงดึกสงัดที่เงียบสงบ จึงรู้สึกโดดเดี่ยวกว่าปกติ!

อีกทั้งต้องมาอยู่ในราชวงศ์ที่ไม่คุ้นเคยโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นั้นหมายถึงว่าเธอไม่มีญาติพี่น้องสักคนเดียว

ยิ่งคิดเล่อเหยาเหยาก็ยิ่งเศร้าใจ  ก่อนน้ำตาจะไหลลงมาอาบแก้มจนปกคลุมไปทั่วใบหน้า

แต่ทันใดนั้นเองเสียงตกใจคล้ายที่กังวลและร้อนใจก็พลันดังขึ้น

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าร้องไห้ทำไมหรือ!?”

หลังจากเสียงตกใจนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเสี่ยวจื่อปรากฏอยู่ตรงหน้า

“เสี่ยวมู่จื่อ…”

เมื่อเห็นใบหน้ากังวลใจของคนที่ตนสนิทสนมเพียงคนเดียวในสถานที่แห่งนี้อย่างเสี่ยวมู่จื่อ ทำให้หัวใจของเธออบอุ่นขึ้นมา

ถึงอย่างไรเวลานี้ สิ่งที่เธออยากได้ที่สุดก็คือความห่วงใยจากใครสักคน

อย่างน้อยอยู่ที่นี่เธอก็มีคนห่วงใย ไม่ได้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง

ในใจจึงอบอุ่นขึ้นและเพื่อไม่ให้เสี่ยวมู่จื่อกังวลใจ เล่อเหยาเหยาจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะหยุดร้องไห้เผยรอยยิ้มออกมา

“ข้าหิวแล้ว”

“เหยาจื่อซื่อบื้อ หิวก็บอกข้าสิ มา นี่หมั่นโถวข้าเพิ่งเอามาจากห้องครัวให้เจ้า ข้าตั้งใจให้พี่หลี่เก็บไว้ให้เจ้าโดยไม่มีผู้ใดรู้ ไม่งั้นคงไม่เหลือแม้แต่ซาก มา รีบกินเถอะ!”

เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยบ่นพึมพำ แต่กลับทำให้เล่อเหยาเหยานึกถึงรูมเมทก่อนหน้านี้ของเธอ

แม้จะชอบบ่น ทว่ากลับเป็นห่วงเธอ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงไม่เกรงใจยื่นมือออกไปรับหมั่นโถวในมือของเสี่ยวมู่จื่อ

หมั่นโถวลูกนี้เย็นชืด ทว่าตอนนี้เธอหิวจนทนไม่ไหวและไม่สนใจสิ่งใดแล้ว จึงอ้าปากกัดลงไปคำใหญ่

แต่เพราะกินอย่างรวดเร็วเกินไปจึงสำลักออกมา เสี่ยวมู่จือที่ได้เตรียมการไว้แล้วจึงยื่นถ้วยน้ำชาให้เธอ หลังจากดื่มชาจนหายใจได้แล้ว เล่อเหยาเหยาจึงเริ่มกินต่ออีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้เปลี่ยนกินคำที่เล็กลง

หมั่นโถวลูกนี้เล็กมากจึงไม่เพียงพอกับความหิวโหย หลังจากที่กินเสร็จเธอจึงแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากแดงสดของตนเอง คล้ายต้องการอาหารมากกว่านี้

ท่าทางนั้นคล้ายกับลูกแมวจอมตะกละ ดูน่ารักอย่างยิ่ง!

…………………………………………………………………….

ตอนที่ 17 ถูกปลุกด้วยความหิว

กระทั่งเสี่ยวมู่จือที่มองอยู่ด้านข้าง ยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าช่างดูดีเหลือเกิน!”

“ฮึๆ เจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน!”

เมื่อมีคนชื่นชมในความงดงาม ถึงแม้รูปร่างตอนนี้จะไม่ใช่เธอคนก่อนแล้ว ทว่ายังคงทำให้เล่อเหยาเหยาดีใจอยู่เช่นเดิม เพราะถึงอย่างไรผู้หญิงก็ล้วนรักสวยรักงาม เธอเองก็เช่นกัน

ขณะที่กำลังคิดในใจพลันได้ยินเสียงพูดของเสี่ยวมู่จื่อขึ้นมาอีกครั้ง

“วันนี้ เจ้าแค่ตกใจไม่ได้รับอันตราย โชคดีท่านอ๋องช่วยเจ้าไว้ ไม่งั้นข้าคงไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว เสี่ยวเหยาจื่อ…”

เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น เสี่ยวมู่จื่อดวงตาพลันแดงก่ำ

เพราะถึงอย่างไรเสี่ยวเหยาจื่อกับเขาก็เข้ามาในตำหนักอ๋องนี้พร้อมกัน ไมตรีที่มีต่อกันยามปกติจึงไม่ใช่เรื่องแสร้ง

เมื่อมองเห็นท่าทางของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกอบอุ่นในใจและแอบคิดในใจว่า

ตั้งแต่นี้เสี่ยวมู่จื่อคือคนในครอบครัวเธอตลอดไป ใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเขา ไม่อย่างนั้นเธอจะสู้อย่างไม่คิดชีวิตแน่!

หลังจากแอบสาบานอยู่ในใจ เล่อเหยาเหยาพลันเหมือนจำอะไรบางอย่างได้ นัยน์ตาทั้งคู่จึงเบิกกว้าง

ในที่สุดเธอก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้แล้ว

เดิมทีลูกธนูของพญายมนั้นเล็งตรงมาที่เธอไม่ผิด แต่ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดขณะที่ลูกธนูดอกนั้นเข้าใกล้เธอ มันกลับโค้งเปลี่ยนมุ่งตรงไปที่ตัวของปาหู่ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแทน!?

แม้เธอจะไม่ตาย ทว่าตกใจจนเกือบตาย

เมื่อเห็นคนที่มีชีวิตลมหายใจถูกลูกธนูปักเข้าที่หัวใจ ด้วยวิธีการยิงที่แม่นยำ

เธอจึงยังจำดวงตาเบิกกว้างคล้ายเหลือเชื่อของปาหู่คู่นั้นได้

เมื่อคิดแล้ว ในใจเธอยังรู้สึกหวาดผวาอยู่เช่นเดิม

แม้จะถือว่าพญายมผู้นั้นได้ช่วยชีวิตตัวเองไว้ แต่เธอยังไม่รู้สึกซาบซึ้งต่อเขาเช่นเดิม ถ้ามีคงมีเพียงความกลัว

ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่ขอเจอพญายมผู้นั้นอีกแล้วชั่วชีวิตนี้ล้วนไม่ต้องการ!

เล่อเหยาเหยาแอบสาบานกับตนเองในใจ ทว่าเรื่องกลับไม่ได้เป็นตามที่ใจหวัง สวรรค์มักทำให้เธอข้ามผ่านไปไม่ได้!

ยามดึกสงัด เล่อเหยาเหยาที่กินเพียงหมั่นโถวก้อนเล็กๆ จึงตื่นขึ้นด้วยความหิว

เธอลูบหน้าท้องแบนราบด้วยความหิว พลางค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงไม้ที่แข็งดังก้อนหินนั้น

มองยังพระจันทร์ด้านนอกหน้าต่างเพราะที่นี่ไม่มีนาฬิกา เธอจึงไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ทว่าพอเห็นพระจันทร์ลอยอยู่ทางตะวันตก จึงเดาว่าประมาณเที่ยงคืน

เมื่อคิดดูแล้ว วันนี้เธอนอนหลับตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้ นานเสียจนรู้สึกปวดเมื่อยกระดูกไปทั่วร่างกาย

ถึงจะอายุขนาดนี้แล้ว ทว่าเธอไม่เคยนอนบนเตียงที่แข็งขนาดนี้มาก่อน!

อีกทั้งตลอดทั้งวัน เธอได้กินเพียงน่องไก่ตุ๋นและหมั่นโถวก้อนเล็กๆ เท่านั้น ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าของพวกนั้นย่อยสลายอยู่ส่วนของสำไส้แล้ว ตอนนี้เธอหิวจะตายแล้ว!

เสี่ยวมู่จื่อนอนอยู่ห้องด้านข้างเธอ แต่ดึกขนาดนี้แล้วเขย่าปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา ขันทีน้อยที่ไม่มีตำแหน่งเช่นเขาคงหาของกินไม่ได้แน่นอน  เพราะฉะนั้นเล่อเหยาเหยาจึงละทิ้งแผนการที่จะไปหาเสี่ยวมู่จื่อ ก่อนกลับไปนอนต่อ รอให้สว่างแล้วค่อยกินอาหารเช้า

แต่เพราะนอนมานานเกินไป เธอจึงหลับไม่ลง

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียงดังปลุกคนอื่นเธอจึงค่อยๆ ลุกจากเตียง หลังจากใส่รองเท้าจึงผลักประตูไม้แสนเรียบง่ายบานนั้นออก แล้วเดินออกไป

ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้าและดวงดาวสว่างไสว ทำให้บนท้องฟ้าอันมืดมิดนั้นสว่างไสวราวกับมีเพชรส่องประกายระยิบระยับกระจายอยู่ทั่วขอบฟ้า ช่างเป็นท้องฟ้ายามราตรีที่งดงามไร้ขีดจำกัด

แสงจันทร์ที่หนาวเย็น กระจายแสงขาวนวลออกมา สาดส่องลงมายังทั่วพื้นดินอย่างอ่อนโยน จนทำให้ทั่วบริเวณวิจิตรงดงามน่าหลงใหลอย่างหาที่สุดมิได้

……………………………………………………………………………