ตอนที่ 18 เสียงคำรามยามค่ำคืน
หลังเล่อเหยาเหยาเดินออกจากห้องที่แสนเรียบง่ายนั้นแล้ว จึงใช้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างสังเกตไปรอบๆ ทั่วบริเวณ
เมื่อเห็นสถานที่ที่ตนอยู่ในตอนนี้ เป็นห้องพักที่เรียงกันอยู่เป็นแถว
ห้องพวกนี้ล้วนเป็นห้องธรรมดาทั่วไป ด้านหน้าห้องเป็นพื้นดินที่ว่างเปล่า ด้านซ้ายของพื้นที่ว่างมีชั้นวางเรียงกันเป็นแถว ที่ตอนนี้ด้านบนเต็มไปด้วยเสื้อผ้าขันทีที่แขวนไว้
ด้านขวามีบ่อน้ำที่ด้านข้างมีม้านั่งหินหนึ่งแถว
ดูแล้วเป็นสถานที่ธรรมดา เมื่อเทียบกับพวกสิ่งปลูกสร้างที่ประดับประดาด้วยภาพวาดอันวิจิตรงดงามที่เห็นในตอนเช้าวันนี้ ศาลาพักและอาคารหอสูงช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเสียจริง
นี้แสดงถึงความแตกต่างระหว่างคนจนและคนรวยได้เด่นชัดที่สุด!
และยังทำให้เล่อเหยาเหยาเห็นแล้ว ใจที่คิดหลบหนียิ่งมีเพิ่มมากขึ้น
แต่เธอก็ทราบดีด้วยความสามารถที่มีในตอนนี้ของตนเอง ไม่มีทางหนีรอดอย่างแน่นอน
เพราะอย่างแรกคือตอนนี้เธอหมดเนื้อหมดตัว แม้จะหนีไปจากที่นี่ได้ เธอยังไม่รู้จะไปที่ไหนอยู่ดี?
อย่างที่สองจวนรุ่ยอ๋องแห่งนี้เนื้อที่กว้างใหญ่ บริเวณโดยรอบต้องมีทหารองครักษ์มากมายออกลาดตระเวนตลอดเวลาแน่ เธออยากหนีออกไปเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้เลย!
เพราะฉะนั้นตอนนี้ สิ่งที่เธอทำได้เพียงอย่างเดียวคือ รอคอย!
รอให้เธอมีเงินและสำรวจพื้นที่โดยรอบของตำหนักอ๋องดีแล้ว จึงค่อยแอบหนีออกไป
เล่อเหยาเหยามัวแต่คิดในใจ เมื่อได้สติกลับมาจึงพบว่าตนได้เดินห่างออกมาจากบ้านชั้นเดียวที่ข้ารับใช้พักอาศัยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนมาถึงลานด้านในของตำหนักที่มีทิวทัศน์งดงามและสร้างขึ้นอย่างหรูหรา
อาคารหลายชั้นเหมือนตึกอาคารในพระราชวัง ที่ได้สัดส่วนพอดีเรียงรายสลับทับซ้อนกัน
ตำหนักอ๋องยามค่ำคืน เมื่อเทียบกับตอนกลางวันดูลึกลับและงดงามมากกว่าหลายเท่า ดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่เห็นสิ่งก่อสร้างที่วิจิตรงดงามแบบโบราณยามค่ำคืน ทำให้ในใจเล่อเหยาเหยารู้สึกแปลกใหม่ ก่อนความเศร้าภายในใจจะสลายหายไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
เพราะถึงอย่างไรนิสัยของเธอล้วนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก
แม้ฟ้าจะถล่มลงมา เธอก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอได้ถูกทิวทัศน์อันน่าหลงใหลตรงหน้าดึงดูดความสนใจไว้ทั้งหมด ดังคนแก่ที่เพิ่งเข้าเมืองครั้งแรกที่เรื่องราวใดก็ล้วนรู้สึกแปลกใหม่
ทว่าขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามบริเวณรอบๆ อยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
เธอมาถึงที่นี่ตั้งนานขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่เห็นเงาใครสักคนเลย?
แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาดึกสงัดที่เงียบสงบ แต่อย่างน้อยน่าจะมีประเภทคนเฝ้าเวรยามกลางคืนไม่ใช่หรือ!?
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ทันใดนั้นท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน กลับมีเสียงขลุ่ยอันไพเราะจับใจดังขึ้นมา
เสียงขลุ่ยนั้นแผ่วเบาราวเหมือนกับหมอกมิใช่หมอก เหมือนควันมิใช่ควัน ท่วงทำนองไพเราะจับใจ ทว่ากลับแฝงไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สลายไป
ในค่ำคืนที่น่าหลงใหลเช่นนี้ เสียงขลุ่ยนั้นกลับหดหู่ใจ ทำให้คนที่ได้ฟัง ในใจล้วนพรั่งพรูความสงสารออกมาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้
แล้วผู้ใดกำลังเสียใจอยู่กันแน่ ถึงได้ผิวปากเช่นนี้บอกเล่าความโศกเศร้าในใจ!?
ขณะที่คิดในใจ เล่อเหยาเหยาก็คล้ายเสียสติ สองเท้าก้าวเดินไปช้าๆ ตามแหล่งที่มาของเสียงขลุ่ย
แสงจันทร์เย็นยะเยือกที่สาดส่องลงมาปกคลุมทั่วพื้นดิน ทำให้บริเวณโดยรอบดูหนาวเย็นและวิจิตรงดงามยิ่งขึ้น
ด้านหน้าคือสวนดอกไม้ที่สร้างขึ้นอย่างงดงาม
เพียงเห็นด้านซ้ายของสวนปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ที่มีราคาแพงเอาไว้ สายลมที่พัดผ่านในยามค่ำคืนจึงนำพากลิ่นหอมของดอกไม้นั้นให้อบอวลไปทั่วบริเวณ
ด้านขวาคือทะเลสาบที่ผืนน้ำแวววาวกระจ่างใสยามฤดูใบไม้ร่วง
ภายใต้แสงจันทร์อันสว่างไสว ผืนทะเลสาบสะท้อนลำแสงสีเงินออกมา เป็นประกายระยิบระยับ ชวนให้หลงใหลยิ่งนัก
และในทะเลสาบมีศาลาหยกสีขาวขนาดเล็กที่ถูกสร้างอย่างประณีต ซึ่งเสียงขลุ่ยก็แว่วมาจากด้านในศาลาหยกสีขาวนั้น
เมื่อเห็นดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงอย่างหยุดไม่ได้
เพราะศาลาหยกสีขาวนั้นมีผ้ามุ้งบางเบาห้อยย้อยลงมา ทำให้ผู้คนไม่เห็นทัศนียภาพด้านใน เธอไม่รู้ว่าด้านในเป็นผู้ใดกำลังเป่าขลุ่ยอยู่กันแน่ เพราะฉะนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปรบกวน
เลยเลือกพื้นหญ้าที่สะอาด ก่อนจะค่อยๆ เอนกายลงนอนอย่างสบายอารมณ์ มือทั้งสองวางรองเป็นหมอนอยู่ด้านหลังศีรษะ พร้อมชื่นชมท้องฟ้ายามราตรีที่น่าหลงใหล และฟังเสียงขลุ่ยอันไพเราะนั้นอยู่อย่างเงียบๆ
……………………………………………………………………………
ตอนที่ 19 พลาดมือตบพญายม
เสียงขลุ่ยนี้ท่วงทำนองเรียบง่าย ไพเราะจับใจ ชวนหลงใหลและงดงาม เล่อเหยาเหยาจึงฟังอย่างหลงใหลโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คล้ายกับว่าเสียงขลุ่ยนั้นค่อยๆ พาเธอเข้ามาภายในโลกของที่คนเป่าขลุ่ยถักทอขึ้น กระทั่งไม่รู้สึกตัวว่าเสียงขลุ่ยนั้นหยุดลงเวลาใด เพราะเธอยังดำดิ่งลึกลงไปอย่างถอนตัวขึ้นมาไม่ได้!
จนกระทั่งจู่ๆ หมู่ดาวบนฟ้าเหนือศีรษะพลันถูกความมืดมิดเข้าบดบังทิวทัศน์อันงดงามให้สิ้นสุดลง เล่อเหยาเหยาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วที่งดงามนั้นขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ พร้อมกับสายตาที่ไม่พอใจ
ขณะที่เธอยังไม่ได้คำตอบว่าเงาดำทะมึนที่มาบิดบังทิวทัศน์นั้นคือสิ่งใด มือทั้งสองข้างจึงโบกสะบัดไปมาอย่างสุดกำลังโดยทันที
ความจริงเธอเพียงไม่ชอบสิ่งที่บดบังภาพที่อยู่เบื้องหน้า จึงเคลื่อนไหวไปโดยธรรมชาติ
แต่ทว่าเมื่อเธอได้ยินเสียงดัง ‘พัวะ’ คล้ายมือของตนตีโดนสิ่งของบางอย่าง จนมือรู้สึกชาเล็กน้อย และเสียงฝ่ามือที่ดังกังวานในค่ำคืนอันเงียบสงัดนั้นช่างชัดเจนอย่างมาก
ในที่สุดจึงทำให้เล่อเหยาเหยาพลันตื่นตัวทันที พร้อมรู้สึกตัวเมื่อครู่เธอไม่ได้ตีโดนสิ่งของ แต่คือคน!
คน!?
เมื่อคิดตรงจุดนี้ เล่อเหยาเหยาพลันนัยน์ตาเบิกกว้าง แล้วรีบพาร่างกายลุกขึ้นจากพื้นหญ้าอย่างรวดเร็ว มองยังคนที่อยู่ด้านข้างก่อนจะเอ่ยขอโทษทันที แม้เมื่อครู่นี้เธอจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็ตบโดนคนไปแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงแย้มริมฝีปากสีแดงสดเอ่ยปากพูดบางอย่าง
แต่เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เมื่อเธอเห็นหน้าตาของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ร่างกายพลันคล้ายถูกฟ้าผ่าตอนกลางวัน ดูงุ่มง่ามอย่างมาก
เสื้อคลุมขาวสะอาดดังหิมะ บนเอวรัดด้วยที่คาดเอวสีทอง ชุดด้านในขับเน้นให้ร่างกายดูสูงใหญ่ดังต้นอวี้ซู่ ไหล่กว้างและเอวแคบ รูปร่างผอมเพรียว สะโพกที่โค้งงอน พร้อมเรียวขาตรงที่งามยาว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี้คือรูปร่างของนายแบบที่ใครๆ ก็อิจฉา!
และเมื่อมองตามร่างกายอันสมบูรณ์แบบนั้นขึ้นไป จะเห็นใบหน้างดงามที่ผู้คนต่างพากันรังเกียจ
ใบหน้าราวกับปีศาจ คิ้วที่โค้งเรียว ผิวหน้าที่เหมือนดังเมฆที่บางเบา สันจมูกที่ตั้งตระหง่าน เมื่อประกอบเข้ากับริมฝีปากที่ราวเป็นกระจับที่แกะสลักอย่างสมบูรณ์คู่นั้น
ชายผู้นี้ เกิดมาเพื่อมีเสน่ห์เย้ายวนผู้คนอย่างแท้จริง
ถ้าตอนนี้นัยน์ตาดำขลับของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยไอสังหารกำลังถลึงตามองเธอ เล่อเหยาเหยาคิดว่าเธอเองก็คงก้มตัวอยู่แทบเท้าทั้งสองข้างของเขาไปแล้ว
เพียงเห็นนัยน์ตาราวดาวดวงน้อยแสนเดียวดายที่อยู่แสนไกลของชายหนุ่มถลึงมองเธออยู่อย่างดุดัน
ถ้าหากสายตาสามารถสังหารคนได้ กลัวว่าเธอคงถูกเขาถลกหนังเลาะกระดูก ป่นกระดูกเป็นอัฐิไปแล้ว!
เมื่อถูกชายหนุ่มถลึงตาจ้องมองอย่างเย็นชาและดุดัน เล่อเหยาเหยาจึงชาวาบทั่วศีรษะ สั่นเทาไปทั่วร่าง ภายในสายตาจึงปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมา
เพราะถึงอย่างไรชายผู้นี้ก็ไม่ใช่คนอื่น เป็นพญายมเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ที่เพียงได้ยินชื่อผู้คนล้วนหวาดกลัว สังหารคนโดยไม่กระพริบตา และเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้น!
“อา”
เมื่อเห็นชายตรงหน้า เล่อเหยาเหยาจึงนัยน์ตาเบิกกว้างพร้อมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่อยากเชื่อตัวเองและตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
แต่ถ้าหากให้เล่อเหยาเหยาพูด ตอนนี้เธอรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก เพราะชายตรงหน้าสังหารคนตายมานับไม่ถ้วน จึงทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนมากกว่าเห็นผี!
ขณะที่ใบหน้าเล่อเหยาเหยาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
เห็นชัดว่าริมฝีปากที่สวยงามคู่นั้นกำลังยิ้ม ซึ่งโดยหลักการแล้วต้องพูดว่าน่าหลงใหลดูดีถึงจะถูกต้อง
แต่พญายมก็คือพญายม เมื่อยิ้มขึ้นมาก็ทำให้คนสยดสยองจนขนลุกขนพองอยู่ดี
รวมทั้งกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขา ก็ทำให้อุณหภูมิรอบด้านลดลงทันที
ออร่ารุนแรงเกินไปแล้ว!
“เจ้าช่างกล้านัก เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ากัดและตบข้า! เจ้าว่าข้าควรลงโทษเจ้าอย่างไรดี!? หืม?”
น้ำเสียงที่อ้อยอิ่งอ่อนหวานของเขาดูคล้ายกำชับคนรักอย่างอ่อนโยน แต่เล่อเหยาเหยาที่ได้ยินกลับรู้สึกคล้ายลมหนาวในเดือนสิบสองที่รุนแรงได้พัดผ่านมา จนเธอสั่นเทาไปทั้งตัว
……………………………………………………………………………