บทที่ 2

ถังหยินล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาหยิบธนบัตรมูลค่า 100 หยวนออกมาจำนวนหนึ่ง วางมันลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงเดินไปทางประตูด้านหลังของลานเต้นรำ

ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่ควรเดินมาทางนี้ แต่ขาของเขามันกลับควบคุมไม่ได้ แม้ว่าบริเวณลานเต้นรำจะถูกตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ตรอกด้านหลังของมันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันมืด ชื้น สกปรก และเต็มไปด้วยเศษขยะจำนวนมาก

หลังจากออกไปทางประตูหลัง ถังหยินก็ย่นคิ้วเข้าหากันอย่างอดไม่ได้กับกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยมาจากถังขยะ

ในเวลานี้ น้ำเสียงที่แผ่วเบาและดูไม่มีแรงดังออกมาจากตรอกลึก ๆ ตรอกหนึ่ง หากเป็นคนธรรมดาก็อาจจะไม่ได้ยินเสียงนี้ แต่มันก็ไม่สามารถเล็ดลอดไปจากหูของถังหยินได้

ชายหนุ่มหมุนตัวและเดินตรงเข้าไปในตรอกลึกนั่นทันที

ตรอกแคบทึบ ทั้งยังให้ความรู้สึกน่าขนลุกที่ไม่สามารถอธิบายได้ในเวลากลางดึก ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็เหมือนเข้าใกล้กับปากของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่มากขึ้นเท่านั้น

ห่างออกไปประมาณสิบเมตร เขาเห็นกลุ่มคนนั่งอยู่ตรงหลืบของซอย ชายหัวโล้น 4 คนร่างกายเปลือยเปล่าพร้อมกับร่างไม่ได้สติของหญิงสาวที่นอนอยู่ที่พื้น

ท่ามกลางความหนาวเย็นของพวกเขา คนทั้งหมดได้ยินเสียงเท้าดังขึ้นด้านหลังของตน พวกเขาตกใจและรีบหันไปมองด้านหลังของตนทันที

ตอนแรกพวกเขาอยู่ค่อนข้างห่างออกไป จึงไม่สามารถมองเห็นการปรากฏตัวของถังหยิงได้ชัดนัก แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ชายหัวโล้นทั้ง 4 ก็พลันเห็นหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ชายหัวโล้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มลุกยืนขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย จ้องไปที่ชายตรงหน้า สายตาของชายหัวโล้นมันราวกับหมาป่าที่ถูกปล้นเนื้อ ผู้พร้อมที่จะพุ่งไปหาและกัดถังหยินได้ตลอดเวลา

ในเวลานี้ หัวใจของถังหยินนั้นขัดแย้งกันอย่างมาก เขาก้มหน้าลง เดินผ่านชายหัวโล้นทั้ง 4 และหญิงสาวไป เสียงฝีเท้าของเขาไม่ได้หยุดลงขณะที่เดินต่อไปช้า ๆ

“หึ ! ”

1 ในชายหัวโล้นทั้ง 4 ส่งเสียงเหยียด ความเย็นชาของถังหยินกลายเป็นความอ่อนแอในสายตาของคนทั้ง 4 ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขากล้าทำเรื่องไร้ยางอายมากกว่าเดิม 1 ในคนทั้งหมดพูดว่า “ฉันจะถือว่านายฉลาดก็แล้วกัน ถ้ากล้าหาเรื่องใส่ตัว ฉันจะฆ่านายแน่ ! ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ”

“เฮ้ย น้องสาม อย่าทำให้มันกลัวสิ ดูจากท่าทางแล้ว เขายังเป็นนักเรียนอยู่เลย ! ”

“นักเรียนอะไรล่ะ ! ”

“ให้ตายเถอะ มันก็แค่ไอ้เด็กเหลือขอเท่านั้นแหละ”

กลุ่มชายหัวโล้นพูดเย้ยหยันและก่นด่ากัน เสียงของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ และคำพูดของพวกเขาก็ยิ่งไม่น่าฟังมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เด็กเหลือขอ’ ถังหยินที่เดินอยู่ก็หยุดชะงัก ไอ้เด็กเหลือขอ ! เขาไม่ได้ยินคำนี้มาหลายปีแล้ว ชายหนุ่มเป็นเด็กกำพร้าและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปตั้งแต่ถูกรับไปเป็นลูกบุญธรรม ตอนเด็ก ๆ มีผู้คนมากมายที่ตะโกนใส่เขาด้วยคำพวกนี้ แต่ตอนนี้คนพวกนั้นไม่อยู่แล้ว

เขาหยุดยืนอยู่กลางซอยโดยที่หันหลังให้กลุ่มชายหัวโล้น จากนั้นก็หันหน้ากลับไปครึ่งหนึ่งและถามด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ? ”

“พูดอะไรงั้นเหรอ ? ” ชายหัวโล้นหัวเราะออกมาอย่างดุเดือดและพูดออกมาเสียงดัง “ก็เรียกแกว่าไอ้เด็กเหลือขอไงล่ะ ไอ้เด็กเวร ! ”

ถังหยินถอนหายใจ มันไม่เหมือนกับว่าเขาโมโหอะไร แต่มันดูราวกับโล่งใจอะไรบางอย่างมากกว่า เขาค่อย ๆ หันหลังกลับไปและเดินตรงไปหาชายทั้ง 4 คน

ชายทั้ง 4 คนมีท่าทีตกใจในตอนแรก จากนั้นพวกเขาก็ยืนเผชิญหน้ากับถังหยินแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ยืนเรียงกันเป็นทรงคล้ายพัดต่อหน้าอีกฝ่าย ชายหัวโล้นที่อยู่หน้าสุดแสยะยิ้ม “ไอ้เด็กน้อย นายคิดจะทำอะไร ? คิดจะหาเรื่องหรือไง ? ”

ทันทีที่เสียงพูดจบลง แสงไฟฟ้าที่สว่างจ้าจนน่ากลัวก็สว่างวาบออกมาจากตรอกมืด ๆ นั้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียง “ฉับ” ดังขึ้นให้ได้ยินเท่านั้น และเมื่อมองไปที่ชายหัวโล้น ก็จะเห็นเข้ากับศีรษะล้านเลียนกลม ๆ ของอีกฝ่ายที่ได้หลุดออกมาจากบ่า ร่วงลงพื้นและกลิ้งออกไปไกล

อ๊ากก !

ชายหัวโล้นอีก 3 คนไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง พวกเขายกมือของตัวเองขึ้นมาและแตะเลือดที่เปรอะบนหน้า จากนั้นก็มองร่างไร้หัวที่นอนอยู่บนพื้นและกรีดร้องออกด้วยความหวาดกลัว

ณ จุดจุดหนึ่ง กระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวก็ปรากฏขึ้นในมือของถังหยิน ใบมีดของมันบางเฉียบ โค้งเว้าราวพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว หากมองผ่าน ๆ อาจจะดูเหมือนกับเคียว ‘หากแต่มันคือเคียวที่สามารถดึงจิตวิญญาณของผู้คนออกมาได้’

เขาเอามันออกมาได้ยังไง เอามันออกมาจากส่วนไหนของร่างกาย และเขาโจมตีชายทั้ง 3 ยังไง มองเห็นไม่ชัด สิ่งเดียวที่คนทั้งหมดเห็นมีก็แค่แสงที่จู่ ๆ ก็สว่างวาบขึ้นเท่านั้น

ตุ้บ !

ชายหัวโล้นขาอ่อนและลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด ขณะที่ร่างกายสั่นระริก “ผม..”

ถังหยินไม่ให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพูด ใบมีดเสี้ยวพระจันทร์ในมือของเขาสั่นเล็กน้อย ก่อนที่ปลายกระบี่จะฟันเข้าไปที่คอของชายหัวโล้นอีกคน มันยังคงเป็นการโจมตีเข้าจุดตายเช่นเดิม ชายหัวโล้นตรงหน้ายังไม่ทันได้ส่งเสียงสักแอะขณะที่ทรุดลงบนพื้นและตายในที่สุด

“แม่ง ! ”

อย่างมากที่สุด อันธพาลพวกนี้ก็แค่เคยรวมกลุ่มทะเลาะวิวาทเท่านั้น เขาเคยเห็นภาพแบบนี้ที่ไหนกัน ? แล้วแบบนี้จะให้พวกเขารับมือกับคนที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมเช่นนี้ไหวเหรอ ? ชายหัวโล้นอีก 2 คนรู้สึกกลัวจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขากรีดร้องออกมาพร้อมกับหันหลังและวิ่งออกไป

ชายทั้ง 2 พยายามวิ่งและใช้ทุกวิถีทางเพื่อหนีเอาตัวรอด แต่ในสายตาของถังหยิน ความเร็วของคนทั้งคู่นั้นไม่ได้เร็วไปกว่าเต่าเลยด้วยซ้ำ เขาพุ่งตัวออกไป และเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็ได้ไปโผล่อยู่ด้านหลังของคนทั้ง 2 แล้ว ! เสียง “ฉึก ฉึก” ดังขึ้น ทั้ง 2 ถูกแทงทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ร่างของพวกเขาก้าวต่อไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะล้มลงพื้น และตายไป

เร็วจัง ! ใบมีดของเขาเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?

คนที่รับเขามาเป็นลูกบุญธรรม อาจารย์ของเขาเคยพูดอยู่ครั้งหนึ่งว่าศิลปะการต่อสู้นั้นล้วนเกี่ยวกับการสังหาร และถ้าหากจะโจมตีแล้ว งั้นเราก็ไม่ควรแสดงความเมตตาใด ๆ ต้องเอาให้ตาย และหากจะทำแบบนี้ได้ ความเร็วถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น

ความแข็งแกร่งกำหนดความเร็ว เพราะฉะนั้นตอนที่ถังหยินอายุเพียง 8 ปี แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำแข็งและหิมะ เขาก็ยังต้องเอาขวานเล่มใหญ่ที่ขนาดพอ ๆ กับตัวเขาเข้าไปให้ป่า และตัดต้นไม้ที่หนากว่าตัวของตัวเอง ถ้าหากเขาไม่สามารถทำตามเป้าที่อาจารย์ตั้งเอาไว้ได้ เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขโมยเอาอาหารจากสุนัขของอาจารย์หลังจากที่กลับไป

เมื่ออายุ 15 เขาก็ไม่ต้องไปตัดต้นไม้ด้วยขวานเล่มใหญ่อีกต่อไป และอาจารย์ของเขาก็มอบมีดเล่มใหญ่ให้ พออายุ 18 มีดเล่มใหญ่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นมีดทำครัวแทน และเมื่ออายุ 20 เขาก็สังหารอาจารย์ของตัวเองจากการเรียนรู้ที่จะฆ่าอีกฝ่ายด้วยการต่อสู้ที่ยุติธรรม

ในวัยเด็ก เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าความสุขคืออะไร ในเวลานั้นเขาได้อดทนกับความยากลำบากหลายต่อหลายครั้งสำหรับคนทั่วไป ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์ในอนาคตจะยากเย็นสักแค่ไหน เขาก็จะสามารถอดทนและกัดฟันเพื่อฝ่ามันไปได้

นี่คือถังหยิน

ผู้ชายที่คนจำนวนมากจะให้ความเคารพ เทิดทูน หวาดกลัว และเกลียดชังในอนาคต

เมื่อหญิงสาวได้สติ เธอก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เธอหันไปถามพยาบาลว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่ามีผู้ชายคนหนึ่งพาเธอมา เธอถามออกไปอีกครั้งว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง ? พยาบาลสาวก็มีท่าทีงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อมาก ๆ แล้วก็ชอบหัวเราะค่ะ ! ”