ภายในพระราชวังเมืองจิ้น ณ ตำหนักเฉาหยุน ขณะนี้ผู้คนต่างพากันกระซิบกระซาบ
พระสนมเต๋อเฟยเป็นพระสนมอันดับหนึ่งในบรรดาสนมทั้งหมดที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากฮ่องเต้ หลังจากประสูติองค์ชายออกมาแล้ว พระนางเสมือนมารดาที่ได้ดิบได้ดีเพราะลูก ทว่าหลังจากที่ฮ่องเต้ทรงประชวร สิ่งที่พระสนมได้รับจึงมีเพียงแต่ความทุกข์ระทม
ยิ่งนานวันเข้า สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้าย ตอนนี้พระโอรสของตนเองต้องจำยอมแต่งงานกับคนโง่เขลาเบาปัญญา
คนทั้งวังล้วนรอดูความพังพินาศของพวกนางสองแม่ลูก
เมื่อได้ยินข่าวที่ว่าท่านอ๋องอวี้และพระชายาเข้ามาในเขตพระราชวังแล้ว ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลกับชะตาชีวิตของพระสนมเต๋อเฟย
เกรงว่านับจากนี้ไปพระสนมเต๋อเฟยจะไร้ซึ่งที่ยืนในพระราชวังแล้ว
“กราบทูลฮองเฮา ท่านอ๋องอวี้และพระชายาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“เข้ามาได้”
“เพคะ”
หลินเมิ้งหยาที่ถูกจับยัดเข้ามาในรถม้าและพาเข้าสู่พระราชวังอันทรงเกียรติรู้สึกอึดอัด
เครื่องประดับไข่มุกบนศีรษะค่อนข้างหนักจึงทำให้ปวดคอเล็กน้อย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนางยังไม่ได้กินอาหารเช้า
แม้ความดันโลหิตจะต่ำลงเพียงเล็กน้อย ทว่ากลับรู้สึกเสมือนร่างกายอ่อนแอลงไปมากทีเดียว
ใบหน้าสีขาวอมชมพูปรากฏต่อสายตาของทุกคนในเขตพระราชวัง
หลังจากที่ขันทีและหัวหน้านางในกลับมาจากการทำหน้าที่แอบฟังหน้าห้องหอเมื่อคืนแล้ว เรื่องลับๆ ระหว่างท่านอ๋องอวี้และพระชายาในค่ำคืนส่งตัวเข้าหอต่างแพร่สะพัดไปทั่วทั้งพระราชวัง
ยิ่งได้เห็นรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นอรชรของพระชายาพระองค์ใหม่แล้ว ทุกคนยิ่งคิดเห็นเป็นจริงเป็นจังตามข่าวลือที่ว่าท่านอ๋องอวี้เป็นบุรุษผู้ซึ่งไม่รู้จักทะนุถนอมสตรี
พระชายาพระองค์ใหม่นี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ณ ตำหนักเฉาหยุน หลงเทียนอวี้จ้องมองไปทางป้ายแขวนสีทองอร่าม
สมัยเยาว์วัย เสด็จพ่อมักจะพาเขามาดูละครและเล่นสนุกที่นี่
ตอนนั้นเขาคิดว่ามันคือสวรรค์ ทว่าตอนนี้ที่นี่เป็นเพียงคุกเท่านั้น คุกที่มีไว้สำหรับจองจำมนุษย์
ภาพความทรงจำสมัยเขาอายุสิบขวบยังคงเด่นชัด ตอนนั้นหมู่เฟยทำเรื่องผิดพลาดเพียงเล็กน้อย แต่พระนางกลับถูกฮองเฮาสั่งให้คุกเข่าอยู่ที่พระตำหนักแห่งนี้ตลอดทั้งคืน
แม้เวลาจะผันผ่านมาจนถึงตอนนี้แต่เขากลับยังคงจำฝังใจมิรู้ลืม ภาพโลหิตสีแดงฉานบนมุมปากของหมู่เฟยซึ่งกำลังส่งยิ้มอันแสนอ่อนโยนมาให้เขา
บางทีสาเหตุที่ทำให้หัวเข่าของหมู่เฟยเสื่อมสภาพและเจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน อาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ความแค้นนี้ เขาไม่มีทางลืมมันอย่างแน่นอน
“เป็นอะไรไปเพคะ?” หลินเมิ้งหยาซึ่งยืนอยู่ข้างกายได้เห็นฝ่ามือที่กำลังกำเข้าหากันแน่นของหลงเทียนอวี้ จึงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความยากลำบากเพราะความหนักของศีรษะ
“ไม่มีอะไร พวกเราเข้าไปถวายคำนับกันเถิด”
หลงเทียนอวี้ปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว สายตาพลันชำเลืองมองใบหน้างดงามราวกับภาพวาดของหลินเมิ้งหยา เมื่อนึกภาพสายตาเกรี้ยวกราดของฮองเฮาในอีกไม่กี่อึดใจขึ้นมาได้ ความรู้สึกดีใจบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ผุดขึ้นมาในใจ
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอารมณ์ของชายตรงหน้าอยู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาประดุจเกล็ดหิมะขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
“ท่านอ๋องอวี้และพระชายาขอถวายคำนับแก่องค์ฮองเฮา”
ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้ามา เสียงของขันทีหน้าห้องก็ร้องดังขึ้น
ภายในพระตำหนักมีฉากผ้าม่านลูกปัดกั้นเอาไว้ คนที่อยู่ภายนอกมิอาจเห็นผู้ที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน คนที่อยู่ภายในเองก็เห็นคนที่อยู่ภายนอกไม่ชัดเจนเช่นเดียวกัน
หลินเมิ้งหยาได้เห็นเงาคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ด้านหลังผ้าม่านลูกปัด แต่เมื่อนางได้เหลือบมาเห็นหลงเทียนอวี้คุกเข่าลงเพื่อถวายคำนับ นางจึงปฏิบัติด้วยท่าทางเช่นเดียวกัน
“เอ๋อร์เฉิน1 และพระชายาหลินเมิ้งหยาขอถวายคำนับฮองเฮา”
น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้เจือไว้ซึ่งความเย็นชาประดุจน้ำแข็งโดยไร้ซึ่งความเคารพใดๆ แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้จักวิธีคำนับ แต่อย่างน้อยความทรงจำในร่างนี้ก็ยังพอจะช่วยให้นางจำธรรมเนียมปฏิบัติได้อยู่บ้าง
“ตามสบาย ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเจ้าขยับขึ้นมาข้างหน้าให้เหนียงเหนียง2ได้เห็นชัดๆ หน่อยเถิด”
*******************
1 เอ๋อร์เฉิน คือสรรพนามเรียกแทนตนเองของพระโอรสหรือพระธิดา
2 เหนียงเหนียงคือสรรพนามแทนตัวของฮองเฮาหรือผู้เป็นมารดา