บทที่ 15: สายเลือดแห่งทูตสวรรค์

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 15: สายเลือดแห่งทูตสวรรค์

เสียงรถม้าดังก้องมาจากด้านนอกประตู โรเอลและอลิเซียที่กำลังเขินอายจนใบหน้าแดงระเรื่อต่างก็รีบดึงสติของตนเองกลับมาอย่างรวดเร็ว แอนนาที่กำลังตื่นเต้นเองก็ดึงสติของเธอกลับมาเช่นกัน บรรยากาศอันโรแมนติกสลายหายไปราวกับฟองสบู่แล้วจึงถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง

โรเอลสอดส่องออกไปนอกประตูผ่านช่องอันคับแคบ เขาเห็นรถม้าของชนชั้นสูงอันสวยงามกำลังแล่นเข้ามาในลานคฤหาสน์อย่างช้า ๆ

แกร็ก แกร็ก แกร็ก!

เสียงกีบเท้ากระทบกับพื้นเป็นจังหวะดังก้องกังวาน ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดในบรรยากาศอันตึงเครียดนี้ การปรากฏตัวของม้าสีขาวที่ลากรถม้ามานั้นทำให้รูม่านตาของโรเอลหดตัวลงเล็กน้อย

มันคือ ม้าฟรอสต์วิง ลูกผสมระหว่างม้าเพกาซัสและยูนิคอร์น มันเป็นสัตว์ร้ายที่มีต้นกำเนิดสายพันธุ์อันสูงส่ง และมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวบนโลกนี้ โดยปกติแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นพวกมันภายนอกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ และคนส่วนใหญ่เองก็ไม่คิดที่จะเลี้ยงดูครอบครองพวกมันเช่นกัน

แม้ว่าม้าฟรอสต์วิงจะมีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าม้าพันธุ์อื่น ๆ แต่สภาวะอารมณ์ของมันนั้นแย่มากเนื่องจากสายเลือดอันสูงส่งของมัน

เพกาซัสเป็นสัตว์ในตำนานที่รู้จักกันในฐานะพาหนะของทูตสวรรค์เทวดา ในขณะที่ยูนิคอร์นเป็นม้าแปลกประหลาดที่อนุญาตให้เพียงสาวบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถขี่พวกมันได้

ตำนานกล่าวไว้ว่าในอดีต ม้าฟรอสต์วิง เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อเผ่าของไฮเอลฟ์ ภายใต้เงื่อนไขอันไร้ยางอายว่า ‘พวกเจ้าจะต้องทำตามความต้องการทั้งหมดของพวกเรา’

ใช่แล้ว พวกมันต้องการทุกอย่าง!

พวกมันเรียกร้องผู้ที่มีสายเลือดของทูตสวรรค์ เรียกร้องหญิงสาวบริสุทธิ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อสนองความต้องการของพวกมัน!

ม้าฟรอสต์วิงสุดแสนจะภูมิใจในสายเลือดสัตว์ในตำนานทั้งสองตัวของมัน ไม่ว่าทั้งเพกาซัสและยูนิคอร์นต่างก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกมันได้เลย

เนื่องจากถ้าหากพวกมันสามารถปลุกพลังที่แท้จริงของสายเลือดอันบริสุทธิ์ที่สุดทั้งสองของพวกมันกลับมาได้ ม้าฟรอสต์วิงก็จะกลายเป็นม้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยพลังของสัตว์ในตำนานทั้งสองที่เข้ามาหลอมรวมกัน

อย่างไรก็ตามมันก็แค่ทางทฤษฎีเท่านั้น จนถึงปัจจุบันไม่มีใครเคยเห็นม้าฟรอสต์วิงที่น่าเกรงขามเช่นนั้นมาก่อน

ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงมีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่สามารถใช้ม้าฟรอสต์วิงเป็นม้าลากรถได้ หรือจะให้ระบุแน่นอนกว่านั้น มีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้พวกมันได้

เมื่อตระหนักถึงความจริงนี้ ร่างกายของโรเอลก็เกร็งขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังตราสัญลักษณ์อันเด่นชัดที่ปรากฏอยู่ด้านข้างของรถม้า มันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประดับด้วยโล่อันสง่างามไม่มีใครเทียม โดยมีปีกสองข้างไขว้กันอยู่ สัญลักษณ์ภาคีผู้พิทักษ์ปีกแห่งแสง

เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้เป็นสัญลักษณ์สำหรับราชวงศ์หลักของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ตระกูลเซไซต์

จักรวรรดิเซนต์เมซิทเป็นประเทศที่การเมืองการปกครองและศาสนาเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง ผู้นำตระกูลเซไซต์ จึงเป็นทั้งจักรพรรดิของประเทศและพระสังฆราช ผู้ควบคุมดูแลโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ซึ่งบูชาเทพีผู้สร้างเซีย

ลัทธิเทพีผู้สร้าง เป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ มีผู้ศรัทธากระจัดกระจายอยู่ทั่วดินแดนต่าง ๆ มีอิทธิพลเทียบได้กับคริสตจักรโรมันคาธอลิกของอิตาลีในชาติก่อนของโรเอล คำสอนของลัทธิเทพีผู้สร้างส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิถีชีวิตของสาวก

โดยตระกูลเดียวที่มีอำนาจเหนือศาสนาอันใหญ่โตนั้น และมีผู้ติดตามนับไม่ถ้วนก็คือตระกูลเซไซต์

ตามปกติแล้ว มันไม่มีทางเลยที่ตระกูลเพียงตระกูลเดียวจะมีอิทธิพลขนาดมหึมาแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง มีบางตระกูลและองค์กรที่มีความทะเยอทะยาน หิวโหยในอำนาจและต้องการอำนาจบางส่วนมาเป็นของตนเอง จึงเรียกร้องให้มีการหมุนเวียนตำแหน่งพระสังฆราช เพื่อการกระจายอำนาจเหนือศาสนาให้กว้างออกไปมากขึ้น

ทว่าก่อนที่สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น ตระกูลเซไซต์ก็ได้ทำการยึดครองโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเอาไว้อย่างแน่นหนาเสียแล้ว ด้วยระยะเวลาในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา และเหตุผลเดียวที่ทำให้มันเป็นไปได้ก็คือ ตระกูลเซไซต์ มีสายเลือดแห่งทูตสวรรค์

ทูตสวรรค์เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ช่วยเหลือของเซีย ยุคสมัยแรกสุดของประวัติศาสตร์ พวกเขาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุด

บนโลกนี้ใครเล่าจะมีคุณสมบัติเพียงพอมากไปกว่าลูกหลานของทูตสวรรค์ในการปกครองลัทธิเทพีผู้สร้างกันล่ะ?

อย่างไรก็ตาม เรื่องของสายเลือดนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากไอซิ่งบนเค้ก ความถูกต้องที่มาจากหลักการนั้นไม่เพียงพอที่จะปกป้องสิ่งใดได้เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งพันปี

กุญแจสำคัญในการครอบครองอำนาจอย่างต่อเนื่องของตระกูลเซไซต์ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เถรตรงกว่านั้นมาก นั่นก็คือความแข็งแกร่งที่แท้จริง

สายเลือดนั้นไม่ได้มีข้อดีแค่ใช้ในการโอ้อวดว่าใครเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ตระกูลเซไซต์นั้นเป็นผู้สืบทอดสัญลักษณ์แห่งอำนาจโดยแท้จริง แม้ว่าสายเลือดแห่งทูตสวรรค์จะมีอยู่หลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือสายเลือดนี้ได้รับการรับรองว่าเป็นสายเลือดระดับทองในตำนาน หากสามารถปลุกพลังของมันให้ตื่นขึ้นมาได้

เพียงเหตุผลนั้นก็มากเกินพอแล้วที่จะรับประกันการสืบทอดอำนาจของตระกูลเซไซต์ ใครก็ตามที่ได้เกิดขึ้นมาในตระกูลนั้น ก็จะได้เพลิดเพลินไปกับชีวิตแห่งความสำเร็จที่ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าราวกับเป็นตัวเอกของนวนิยาย

เฮ้อ ช่างโชคดีเหลือเกิน

โรเอลคิดขณะรีบถอดสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ที่ตรึงไว้บนหน้าอกของเขาออก

“ท…ท่านพี่ ?”

อลิเซียประหลาดใจกับการกระทำอันแปลกประหลาดของโรเอล

อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะได้คุยกัน รถม้าของตระกูลเซไซต์ได้หยุดลงแล้วทำให้เหล่าคนรับใช้ต้องรีบออกไปเปิดประตูของรถม้าสีทองอร่าม จากนั้นร่างของคนสามคนก็ก้าวเท้าออกมาจากรถม้าคันนั้น

คนแรกคือมาร์ควิสคาร์เตอร์ บิดาของโรเอล

คนที่สองคือ ชายผมสีทองผู้มีร่างกายใหญ่โตและใบหน้าอันเคร่งขรึม

ส่วนคนที่สามนั้นเป็นเด็กสาว

——————————————–

“ยินดีต้อนรับท่านผู้สูงศักดิ์เคน กระหม่อมมีนามว่า โรเอล แอสคาร์ด ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามและความกล้าหาญของฝ่าบาทที่ได้ร่วมมือร่วมศึกกับบิดาของกระหม่อมมานานแล้ว ถือเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้พบกับฝ่าบาทในวันนี้ขอรับ”

ณ ห้องโถงของคฤหาสน์ตระกูล โรเอลเข้าทักทายชายผมทอง จ้องมองเขาด้วยดวงตาขนาดใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอันไร้เดียงสาของเด็กที่มีต่อเขา การแสดงของเขาเกือบจะสมบูรณ์แบบจนไม่มีใครหาจุดบกพร่องได้

มาร์ควิสคาร์เตอร์รู้สึกตะลึงเล็กน้อยที่เห็นโรเอลแสดงท่าทางผิดปกติเช่นนี้ แต่ชายผมสีทองข้าง ๆ เขากลับส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมา

“ ฮ่าฮ่าฮ่า คาร์เตอร์ ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเพื่อนอย่างเจ้าจะพูดถึงเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับข้าให้เขาฟัง !”

เคน เซไซต์ ผู้บัญชาการกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ รู้สึกยินดีกับคำพูดของโรเอล เขาไม่คิดเลยว่าผู้บัญชาการจอมเวทของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างคาร์เตอร์ ที่มักจะคัดค้านคำแนะนำของเขาจะพูดยกย่องเขาต่อหน้าบุตรชายของตน

เมื่อมองไปยังใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมของโรเอล เคนก็ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยอะไรในเรื่องนี้อีกเลยแม้แต่น้อย

ในฐานะที่โรเอลเป็นชนชั้นสูงผู้สูงศักดิ์ เด็กชายสมควรที่จะสามารถพูดตามมารยาทออกมาได้อย่างไพเราะเช่นนี้อยู่แล้ว นอกจากนี้เขายังอยู่ในวัยที่เป็นปกติของเด็ก ๆ ที่จะเคารพชื่นชอบในอัศวินผู้กล้าหาญอย่างที่สุด เด็กชายคนไหนกันไม่เคยใฝ่ฝันถึงการเป็นอัศวินผู้อ่อนโยนเข้าช่วยเหลือเจ้าหญิงจากเงื้อมมือของมังกรที่ชั่วร้าย?

…แม้ว่าสำหรับโลกนี้ น่าจะเป็นฝ่ายเจ้าหญิงเสียมากกว่าที่เป็นผู้ช่วยชีวิตอัศวิน

เคนมองไปยังโรเอลเป็นครั้งที่สองเพื่อยืนยันความคิดของเขาอีกครั้ง

อา ช่างเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์และนิสัยดีจริง ๆ!

องค์ชายเคนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะหันไปมองอลิเซีย เด็กสาวยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วด้วยการเคลื่อนไหวอันสง่างามราวกับเจ้าหญิง

“หม่อมฉันมีชื่อว่า อลิเซีย แอสคาร์ด เป็นบุตรสาวบุญธรรมของมาร์ควิสคาร์เตอร์ หม่อมฉันเองก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบฝ่าบาทเช่นกันเพคะ”

คำทักทายของอลิเซียนั้นสุภาพ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันเย็นชาและสูงส่งอยู่เบื้องหลัง มันไม่ได้เป็นเจตนาของเด็กสาว แต่เป็นเหมือนกับเอกลักษณ์ตามนิสัยโดยธรรมชาติของเธอเสียมากกว่า

แม้ว่าเคนจะมีประสบการณ์มากมายและเคยได้พบกับผู้คนเกือบทุกประเภท แต่เขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นท่าทางของอลิเซียแบบนี้ทั้งที่ยังเด็ก

“เด็กคนนี้…ข้าเข้าใจแล้ว”

เคนตรวจสอบอลิเซียอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความคิดหนึ่งจะแล่นเข้ามาในใจของเขา ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นการแสดงออกอันหนักหน่วง เขาเอื้อมมือไปขยุ้มผมนุ่ม ๆ ของอลิเซียเบา ๆ

“เจ้าเป็นบุตรีของ ลาธทีสินะ” องค์ชายเคนเริ่มบทสนทนากับเด็กสาวตรงหน้า

“ฝ่าบาทรู้จักบิดาของหม่อม​ฉันเหรอเพคะ?” อลิเซียเอ่ยถามด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ลืมที่จะคงกิริยาสำรวมไว้

“แน่นอน ข้านี่แหละที่ฝึกสอนเขามากับมือ!”

เคนทุบหน้าอกของเขาอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้งแล้วหันไปมองที่คาร์เตอร์

“เจ้าดูแลนางได้ดีเลยทีเดียว”

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่ทำให้ ลาธทีผิดหวังแน่”

ชายทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน ขณะที่มองไปยังอลิเซีย องค์ชายเคนก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเขาก็กวักมือเรียกเด็กสาวที่มาด้วยกัน “มานี่สิ นอร่า มาเจอเพื่อนใหม่ของเจ้า”

ร่างอันอ่อนช้อยงดงามเดินมาข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ เธอเป็นเด็กผู้หญิงผมสีทองที่มีดวงตาสีไพลิน สะสวยสมวัยราวกับทูตสวรรค์ผู้บัญชาการที่ปรากฏตัวขึ้นเหนือดวงอาทิตย์

“ข้าคือ นอร่า เซไซต์ ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทั้งสองคน”