บทที่ 7 มดแมลง

ตระกูลอู๋นั้นมีอิทธิพลมากกว่าตระกูลหลี่ของเธอเป็นอย่างมาก และที่สำคัญไปกว่านั้น อู๋เส้าฮัวคือนายน้อยของตระกูลอู๋ ซึ่งในอนาคตเขาคือผู้นำคนต่อไปของตระกูลอู๋นั่นเอง

เมื่อเทียบสถานะของเธอกับพี่เขยของเธอตอนนี้กับอู๋เส้าฮัว ฝั่งตรงข้ามนั้นคือคนที่พวกเขาไม่สามารถไปยั่วยุได้!

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานในตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เขาไม่สามารถฆ่าคนได้อย่างเปิดเผยในโลกปัจจุบันที่มีกฎหมายรองรับ

เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะจ้องเขม็งไปที่อู๋เส้าฮัวอีกครู่หนึ่ง และลากหลี่หรงจากไป

เมื่อโดนสายตาของอวี้ฮ่าวหรานจ้องมองเมื่อครู่ อู๋เส้าฮัวขาสั่นไม่หยุดโดยไม่มีเหตุผล หากเขาไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะป่านนี้เขาอาจจะขาอ่อนนั่งลงไปกับพื้นแล้วก็ได้

อย่างไรก็ตามมันใช้เวลาไม่นานเลยที่เขาจะดึงสติกลับมาได้ ซึ่งเมื่อเขาคืนสติมาได้แล้วความเดือดดาลมันก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

สายตาเมื่อกี้ของไอ้เวรนั่นมันคืออะไรกัน ทำไมมันถึงได้น่ากลัวขนาดนั้นกันวะ? ไม่หรอก ไม่น่าเป็นไปได้ ขยะอย่างไอ้เวรนั่นมันจะมีอะไรให้คนอย่างฉันกลัวได้ยังไง? ทุกอย่างมันน่าจะเป็นภาพหลอนแน่ ๆ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ไอ้เวรนั่นมันจะพาผู้หญิงไปง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ!?

“เฮ้ยไอ้ขยะ! แกจะเดินหนีหางจุกตูดไปแบบนี้งั้นเหรอ?” อู๋เส้าฮัวตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้าดูถูก

แต่แล้วเมื่อเขาเห็นว่าคำพูดของตัวเองหยุดฝีเท้าของฝั่งตรงข้ามได้เขาก็รู้สึกประหม่านิดหน่อย แต่เมื่อเขาเห็นว่าฝั่งตรงข้ามเพียงแค่หยุดแต่ไม่ได้หันหน้ามามองเขา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าฝั่งตรงข้ามน่าจะไม่กล้าสบตาเขาเพราะหวาดกลัวตัวเอง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาได้ใจมากขึ้นและยืดอกตะโกนต่อไป

“ไอ้ขยะที่เอาแต่เดินหนีเอ๊ย แกมันไม่คู่ควรกับหลี่เม่ยเลยสักนิด คนอย่างแกไม่เพียงแต่จะทำให้หลี่เม่ยหลงผิดไปเลือกแกแทนที่จะเลือกผู้ชายที่แสนวิเศษอย่างฉัน แต่ท้ายที่สุดแกกลับเป็นต้นเหตุทำให้เธอตายไปอีกต่างหาก แกนี่มันไม่สมควรอยู่บนโลกนี้เลยจริง ๆ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่หรงเริ่มทนไม่ไหว มันคงไม่เป็นไรหากฝั่งตรงข้ามพุ่งเป้ามาที่เธอคนเดียว แต่ตอนนี้อู๋เส้าฮัวกลับพาดพิงไปถึงพี่สาวที่เธอเคารพ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกยอมไม่ได้

“อู๋เส้าฮัว นายต้องการอะไรกันแน่?”

“ฉันต้องการอะไรน่ะเหรอ? ฉันต้องการให้ไอ้ขยะที่อยู่ข้าง ๆ เธอคุกเข่าขอขมาฉันในข้อหาที่มันบังอาจแย่งหลี่เม่ยไปจากฉัน และทำให้หลี่เม่ยตาย!” เมื่อพูดจบอู๋เส้าฮัวรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมากที่ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เจอกับอวี้ฮ่าวหราน และได้มีโอกาสเหยียบย่ำขยะผู้นี้

เขาคิดอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่ที่อวี้ฮ่าวหรานคุกเข่าลงเขาจะถ่มน้ำลายใส่เพื่อตอกย้ำว่าเขาอยู่เหนือกว่า และแก้แค้นที่เมื่อครู่อวี้ฮ่าวหรานทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานที่ในตอนแรกคิดจะจากไปตามคำพูดของหลี่หรงก็ทนไม่ไหว เขาหันกลับมามองที่อู๋เส้าฮัวด้วยสายตาเย็นชา

“มดแมลงอย่างแกกล้าดียังไงถึงได้มาส่งเสียงดังต่อหน้าเทพผู้นี้!?”

ห๊ะ?

ไอ้ขยะนี่มันพูดอะไรของมัน? ทำไมมันถึงใช้คำพูดเหมือนในหนังกำลังภายในย้อนยุคแบบนี้กันนะ?

อู๋เส้าฮัวรู้สึกงุนงง “แกพูดว่าไงนะ พูดใหม่อีกทีสิ? นี่แกกลัวจนพูดจาไม่เหมือนมนุษย์มนาไปแล้วงั้นเหรอไอ้ขยะ?”

ไม่ใช่เพียงแค่อู๋เส้าฮัวที่รู้สึกงุนงง แต่หลี่หรงก็รู้สึกงุนงงเหมือนกัน เธอมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาเวทนา และอยากจะปลอบอวี้ฮ่าวหรานที่ตอนนี้กลัวจนสมองเพี้ยนพูดจาเหมือนตัวละครในหนังจีนกำลังภายในไปซะแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า โคตรขำเลย 3 ปีที่แล้วแกเป็นขยะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่พอมาตอนนี้แกกลับกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว…ฮ่าฮ่าฮ่า!” อู๋เส้าฮัวระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมกับเดินเข้ามาชี้หน้าอวี้ฮ่าวหรานในระยะประชิดอย่างดูถูก

เพี้ยะ!! เพี้ยะ!!

แต่แล้วยังไม่ทันที่อู๋เส้าฮัวจะได้หัวเราะจนจบ เสียงปะทะดังลั่นก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของเขาลอยละลิ่วไปไกลกว่า 5 เมตร และกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกหลายตลบก่อนจะหยุดนิ่ง

บรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครเห็นเลยว่าทำไมจู่ ๆ อู๋เส้าฮัวถึงได้ลอยละลิ่วออกไปแบบนั้น ไม่มีใครเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานขยับตัวเลยสักคน!

อู๋เส้าฮัวนอนแผ่ตาค้างอยู่กับพื้นได้พักหนึ่ง จากนั้นเมื่อเขาได้สติเขาก็รีบลุกขึ้นพร้อมกับเอามือกุมหน้าที่บวมปูด และรีบวิ่งไปขึ้นรถสปอร์ตหรูที่จอดอยู่ตรงถนนอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าก่อนจะขับรถจากไป เขาไม่ลืมที่จะหันมาจ้องเขม็งไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธแค้น

เขาจ้องอยู่สักพักแต่เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างชั่วร้ายที่มุมปาก เขาก็รีบเหยียบคันเร่งจนมิดแล้วหนีไปในทันที

“อวี้…อวี้ฮ่าวหราน เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? อย่าบอกนะว่านายเป็นคนทำ?”

หลี่หรงมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตางุนงง จากนั้นเธอก็หันไปมองอู๋เส้าฮัวที่จากไปแล้วอย่างสับสน

อวี้ฮ่าวหรานไม่ตอบอะไรเธอ เขาไม่พูดทั้งปฏิเสธหรือยอมรับ เขาเลือกที่จะหยิบสัญญาธุรกิจที่เขาเพิ่งให้เฉิงชิวอวี้เซ็นเมื่อครู่ขึ้นมาให้กับหลี่หรง

“สัญญาถูกเซ็นเรียบร้อยแล้ว”

มันคงเป็นเรื่องตลกอย่างมากหากเขาไม่สามารถจัดการกับคนธรรมดาเช่นอู๋เส้าฮัวได้ ต้องรู้เอาไว้ว่าร่างกายของเขาคือร่างเทวะที่แม้แต่กระสุนปืนยังเจาะไม่เข้า ดังนั้นการตบคนธรรมดาให้ปลิวนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เรื่องที่ท้าทายมากกว่าก็คือต้องออมกำลังแค่ไหนฝั่งตรงข้ามถึงจะไม่ตายต่างหาก

“สัญญาอะไร?” หลี่หรงถามกลับด้วยสีหน้างุนงง พร้อมกับหยิบเอกสารปึกใหญ่ที่อวี้ฮ่าวหรานยื่นให้มาอ่านดู

จากนั้นเมื่อหลี่หรงตรวจสอบดูเธอก็นึกขึ้นได้ว่านี่มันเป็นสัญญาที่เธอส่งให้อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเช้าเพื่อให้ไปคุยกับบริษัทเวชภัณฑ์ซานฮ่วยอัน แต่แล้วในตอนนี้สัญญาฉบับนี้กลับแตกต่างไปจากเดิมเพราะมันมีลายเซ็นของเฉิงชิวอวี้ลูกสาวของเฉิงกัวอันเซ็นตกลงทำสัญญากับบริษัทเธอเรียบร้อยแล้ว!

เธอเบนสายตากลับไปจ้องอวี้ฮ่าวหรานด้วยความตกตะลึง เธอไม่เข้าใจเลยว่าพี่เขยของเธอคนนี้ทำได้ยังไง การแข่งขันในตลาดเวชภัณฑ์นั้นรุนแรงมาก และเฉิงกัวอันก็เป็นคนที่เข้าถึงยากสุด ๆ สัญญาฉบับนี้เธอไม่คิดว่ามันเป็นไปได้เลย เพราะเธอเองก็ลองไปขอเข้าพบเฉิงกัวอันมาหลายรอบแล้ว แต่ฝั่งตรงข้ามนั้นไม่เคยไยดีเธอเลย แต่ตอนนี้พี่เขยของเธอกลับใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวในการทำสิ่งที่เธอคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้จนสำเร็จ

สิ่งนี้มันยิ่งทำให้เธอคิดว่าตั้งแต่เขากลับมา เธอรู้สึกได้อยู่ตลอดว่าเขาเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จักเลย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะมีคำถามอยู่ในใจมากมายที่อยากจะถามอวี้ฮ่าวหรานออกไป แต่เมื่อเธอมองไปที่ใบหน้าที่เฉยเมยของเขาคำถามทั้งหมดมันก็จุกอยู่ที่คอ

กริ๊ง…กริ๊งงง…

โชคยังดีที่ในขณะบรรยากาศมันเริ่มจะกระอักกระอ่วน จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของ หลี่หรงก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล หลี่หรงพูดสาย…เอ๊ะ? ครูหวางเหรอคะ? หา? ถวนถวนทะเลาะกับเพื่อนในชั้นเรียน? ถวนถวนมีรอยถลอกนิดหน่อย?”

ก่อนที่หลี่หรงจะทันได้คุยจนจบสาย อวี้ฮ่าวหรานก็ดึงโทรศัพท์ของเธอออกไปคุยเองอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเดือดดาล

“คุณบอกว่าถวนถวนบาดเจ็บงั้นเหรอ!?…ผมคือพ่อของเธอ!…โอเค…ได้…เดี๋ยวผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”

เมื่อพูดจบอวี้ฮ่าวหรานก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว และเขาเอาเบอร์ของครูหวางมาบันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ของเขาเอง จากนั้นเขาบอกให้หลี่หรงกลับบ้านไปก่อนเพื่อทำอาหารที่เป็นของโปรดของถวนถวนโดยเฉพาะ ส่วนตัวของเขานั้นจะไปที่โรงเรียนด้วยตัวคนเดียว