บทที่ 19 ได้กลับมาเต็มกระบุง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 19 ได้กลับมาเต็มกระบุง

จางซิ่วเอ๋อจ่ายค่ามัดจำและเอาของไว้ที่นี่ก่อน รอเมื่อนางซื้อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยค่อยเอารถลากมารับ

ไม่อย่างนั้นการที่ต้องหิ้วผ้าห่มสองผืนออกไปซื้อของด้วยไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่

ซื้อผ้าห่มเสร็จ หลังจากนั้นก็หม้อ แล้วก็มีด

สองสิ่งนี้ไม่ต้องเลือกอะไรมาก ในแคว้นมีร้านตีเหล็กแค่ร้านเดียว ของไม่ต่างกันมากนัก แต่ก็ใช้ตำลึงไปไม่น้อยเลย ทั้งหม้อทั้งมีดใช้ไปทั้งหมด 2 ตำลึงเงิน

หากไม่เคยลองดูแลบ้านจะไม่มีทางรู้เลยว่าของพวกนี้มีราคาแพงแค่ไหน นี่นางยังไม่ทันจะซื้ออะไรเลยนะ ตำลึงในตัวก็ใช้ไปเกินครึ่งแล้ว

ตำลึงที่เหลือจางซิ่วเอ๋อไม่กล้าใช้สะเปะสะปะแม้แต่น้อย นางซื้อเกลือไปหน่อยนึง รวมถึงแป้งข้าวโพดถุงเล็ก ของพวกนี้สามารถเอามาทำข้าวต้มก็ได้ ทำแผ่นแป้งก็ได้ ส่วนเครื่องปรุงและอาหารแห้งอย่างอื่น จางซิ่วเอ๋อไม่กล้ามองเลยล่ะ

ตอนเดินผ่านร้านเนื้อ นางกัดฟันซื้อเนื้อจำนวน 2 ชั่งที่มีทั้งส่วนมันและส่วนเนื้อเท่า ๆ กัน แล้วก็ซื้อเนื้อส่วนมันอีกชั่งนึง คนเราก็ต้องกินอะไรที่มีไขมันบ้างสิ

จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ซื้อเนื้อที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะเมื่อวานนางเพิ่งจะซื้อเนื้อชิ้นใหญ่ไป 2 ชิ้น ถือว่าเป็นลูกค้าเก่า คนขายเนื้อจึงเป็นมิตรเป็นพิเศษ

“อ้าว เจ้าดูเลยนะว่าต้องการอะไรอีกรึเปล่า”

จางซิ่วเอ๋อกวาดตามอง นางมองไส้หมูด้วยความน้ำลายสอ ของนี่ไม่แพง แต่…ตอนทำต้องใช้เกลือกับน้ำส้มเพื่อล้างความคาวและกลิ่นเหม็น ซึ่งของพวกนี้ราคาแพงมาก คิดแล้วนางก็รู้สึกเสียดายน่ะ

“กระดูกหมูขายยังไงจ๊ะ” จางซิ่วเอ๋อทอดสายตาไปที่กระดูกหมูแทน

ต้มเป็นซุปกระดูกหมูแล้วกินท่าจะดีกว่า จะได้บำรุงร่างเล็ก ๆ ของพวกนางพี่น้อง

โดยเฉพาะชุนเถาที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต จะปล่อยปละละเลยไม่ได้ บวกกับว่านางอยากจะแอบให้อาหารแม่โจวกับซานหยาด้วย กระดูกนี่จึงเหมาะที่สุดแล้ว ถือว่ากินได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

“อ๋อ กระดูกนี่ชั่งละ 2 เหรียญจ้ะ”

จางซิ่วเอ๋อตาเป็นประกาย ไม่แพงจริง ๆ ด้วย แถมบนกระดูกยังมีเนื้อติดมาบ้าง

ซื้อกลับไปแล้วเขี่ยเนื้อออกมาก็คุ้มอยู่ แค่เสียเวลาหน่อย แต่ที่สำคัญที่สุดคือในกระดูกสามารถต้มเพื่อเอามันออกมาได้ด้วย

“ข้าเหมาหมดเลย” จางซิ่วเอ๋อตาเป็นประกาย

“ได้เลย เดี๋ยวข้าชั่งให้”

พ่อค้าเนื้อคนนี้แซ่ซุน แล้วจางซิ่วเอ๋อนึกขึ้นได้อีกเรื่อง จึงเอ่ยเสียงหวาน “ลุงซุน พรุ่งนี้ลุงเชือดหมูอีกไหมจ๊ะ?”

“ข้าเชือดหมูทุกวันแหละ” พ่อค้าซุนบอกยิ้ม ๆ

“แล้วเลือดหมูลุงขายไหม?” จางซิ่วเอ๋อรีบถาม

พ่อค้าซุนขมวดคิ้วและเอ่ย “ของพวกนี้ไม่ขายหรอก ทิ้งหมดเลย เจ้าอยากได้รึ? เลือดหมูน่ะอาถรรพ์ออก เจ้าจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร?”

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังพ่อค้าซุนพูดก็พลันนึกขึ้นมาได้ ว่าตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครกินเลือดหมู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไส้กรอกเลือดอาหารตะวันออกเฉียงเหนือเลย ไม่มีทางได้กินแน่

คนสมัยนี้คิดว่าเลือดหมูมีอาถรรพ์ เป็นของที่มีกลิ่นอายความตายรุนแรงที่สุดในตัวหมู พวกเขาจึงต้องทิ้งมัน

แต่จางซิ่วเอ๋อไม่คิดแบบนั้น เลือดหมูน่ะเป็นของดี ต่อให้ไม่มีกรรมวิธีในการทำไส้กรอกเลือด แต่ทำเป็นเต้าหู้เลือดก็สามารถกินได้อยู่

ไม่ต้องพูดถึงชุนเถา เอาแค่ตัวนางเอง ร่างนี้ปีนี้ก็อายุ 15 ปีแล้วแต่ยังไม่มีประจำเดือนเลย ที่นี่น่ะ อายุ 15 ปีก็มีลูกได้แล้วนะ

นางกังวลจริง ๆ ว่าร่างกายตัวเองจะมีปัญหา

ตอนนี้หากมีวิธีบำรุงนางก็ไม่ยอมพลาดหรอก

จางซิ่วเอ๋อไม่ได้คิดถึงเรื่องที่อีกหน่อยต้องแต่งงานมีลูก แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายนี่ก็เป็นของนาง ไม่อาจปล่อยปะจนร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอไม่ได้หรอกนะ

นางรู้ว่าตัวเองจะบอกพ่อค้าซุนไม่ได้เด็ดขาดว่าจะเอาเลือดหมูไปกิน จึงต้องหาข้ออ้างเหตุผลขึ้นมา

จางซิ่วเอ๋อพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ตอนนี้น้องข้าป่วยอยู่ เลือดหมูนี่เอาไปไล่สิ่งชั่วร้ายได้…ดังนั้น ข้าก็เลย….”

เคล็ดลับรักษาโรคของชาวบ้านน่ะมีอยู่ถมเถไป พ่อค้าซุนรู้สึกว่าสิ่งที่จางซิ่วเอ๋อพูดมาก็มีเหตุผล จึงบอกยิ้ม ๆ “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง งั้นพรุ่งนี้เช้าเจ้าไปเอาที่บ้านข้า เอาถังไม้มาเองนะ ข้าไม่คิดเงิน ๆ”

จางซิ่วเอ๋อรีบรับคำเสียงหวานทันที “ขอบคุณจ๊ะ วันหลังข้าซื้อเนื้อก็มาซื้อกับร้านลุงนี่แหละ”

ประโยคนี้ถูกใจพ่อค้าซุนอย่างมาก เขายิ้มและใส่เศษเนื้อหมูรวมหนังนิดหน่อยให้จางซิ่วเอ๋อไปด้วย ถือว่าแถมให้นางไป

เนื้อที่ซื้อมาไม่ได้เยอะเท่าไหร่นัก จางซิ่วเอ๋อถือเองได้

นางไปซื้อกะละมังและถังจากอีกร้านที่อยู่ห่างกันไม่ไกล รวมถึงถ้วยกระเบื้องหยาบและจาน 2 ใบ

พอคำนวณดูแล้ว เงินที่เหลือจากการซื้อของเหลืออยู่แค่ 500 เหรียญเท่านั้นเอง

จางซิ่วเอ๋อเงยหน้ามองฟ้า พอเห็นว่าตะวันคล้อยต่ำแล้วก็นึกได้ว่าวันนี้นางออกมาซื้อของทั้งวัน และยังไม่ได้กินอะไรเลย

พอคิดได้ดังนี้ก็เริ่มรู้สึกหิว

นางมองซาลาเปาที่กำลังส่งกลิ่นหอมฟุ้งใกล้ ๆ และสุดท้ายก็กัดฟันซื้อมา 12 ลูก

จากนั้นจางซิ่วเอ๋อจึงไปหาคนลากรถขาเป๋ ตามเอาของที่ตัวเองซื้อ และเดินทางไปที่หมู่บ้าน

พอมาถึงตรงหมู่บ้าน จางซิ่วเอ๋อก็มองคนลากรถขาเป๋และเอ่ยขึ้น “ปู่อู๋ ปู่รอข้าตรงนี้ก่อนได้ไหม ข้าเอาของไปเก็บแล้วจะพาน้องสาวมาเอาของด้วยน่ะ”

จางซิ่วเอ๋อไม่กล้าให้รถลากเข้าไปโทง ๆ ในหมู่บ้านหรอก

ถึงแม้ตำลึงนี้นางจะได้มาอย่างสุจริต แต่นี่เพิ่งจะย้ายออกมาเท่านั้น มีคนเพ่งเล็งอยู่ไม่น้อย นางพอรู้อยู่ว่าไม่ควรเปิดเผยทรัพย์สมบัติให้ใครรู้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปทั้งชีวิต แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องระมัดระวังหน่อย

เมื่อจางซิ่วเอ๋อกลับมาถึงบ้านร้าง นางก็รู้สึกอุ่นใจ

หญ้าที่ขึ้นรกอยู่ในสวนถูกถอนออกไปหมดแล้ว พวกของเกะกะก็ถูกจัดระเบียบไว้ พอมองเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นมันก็กลับสะอาด อีกทั้งตอนนี้จางชุนเถายังทำงานอยู่เลย

จางซิ่วเอ๋อเห็นภาพนี้แล้วก็รีบกล่าว “ชุนเถา เลิกทำได้แล้ว ไปช่วยพี่ยกของหน่อย”

จางซิ่วเอ๋อพูดพลางยกของที่ตัวเองเอากลับมาเข้าไปไว้ในห้อง

ของที่เหลือสองพี่น้องช่วยกันขนกลับมา ขนอยู่สองรอบถึงจะเสร็จ จางซิ่วเอ๋อจึงจ่ายเงินตอนขนรอบสุดท้ายให้ปู่อู๋คนลากไป

หลังจากกลับมาถึงบ้าน จางซิ่วเอ๋อก็รีบเอาซาลาเปาที่ซื้อวันนี้ออกมาและเอ่ยขึ้น “ยังร้อน ๆ อยู่เลย เจ้ารีบกินเร็ว”

จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ “เดี๋ยวเจ้าออกไปดูหน่อยนะ ลองหาวิธีไปพบซานหยาดู เอาที่เหลือไปให้แม่กับซานหยา”

จางชุนเถาเองก็หิวแทบแย่ กินซาลาเปาลูกใหญ่หมดในไม่กี่คำเท่านั้น

นางดื่มน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะพูดอย่างเคอะเขิน “พี่ พี่กินข้าวรึยัง?”

“ข้ากินตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว เจ้าวางใจแล้วกินเถอะ ไม่ต้องเอาไปให้แม่กับซานหยาเยอะมากนัก เอาไปเยอะพวกนางก็กินไม่หมด แล้วจะยุ่งกว่าเดิม” จางซิ่วเอ๋อบอก

จางชุนเถารีบพยักหน้า เพราะต่อให้พี่นางไม่พูดอะไร นางก็จะทำแบบนั้น