ผู้ช่วยมาแล้ว

 

 

 

ภายในห้องพัก4444ตายยกรังเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

 

 

วันหนึ่งสืออวี้อ่านนิยายติดเรท จึงเกิดความอยากรู้เลยถามประธานเชี่ยนว่า การทำเรื่องอย่างว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนที่ในหนังสือเขียนหรือเปล่า?

 

 

ตอนนั้นประธานเชี่ยนดันแว่นตา แล้วพูดอย่างคนมีประสบการณ์ว่า ความแตกต่างทางความคิดของคนถูกจึ๊กกับคนที่ไม่เคยถูกจึ๊กก็คือ ความแตกต่างระหว่างคนที่บอกไม่เอาๆกับอย่านะ

 

 

ตอนนั้นสืออวี้กับต้าอีต่างรู้สึกเขินและก็รู้สึกเป็นเรื่องลึกลับมาก พอเห็นประธานเชี่ยนแสดงออกไม่เหมือนกัน ในใจของพวกเธอต่างคิดว่า ประธานเชี่ยนจะต้องเคยถูกจึ๊กอย่าง…อะไรแบบนั้น

 

 

ตอนนั้นหลังจากประธานเชี่ยนแสร้งทำเป็นคนประสบการณ์เยอะไปแล้วในใจก็แอบยกนิ้วกลาง จะให้เธอบอกกับเพื่อนเหรอว่าเธออยากขับรถแต่ถูกประจำเดือนมาขวางไว้? ทำได้แค่แสร้งทำเป็นมีประสบการณ์ แล้วให้ความรู้ไป

 

 

แต่ทว่าความรู้ในตอนนั้นกลับทำให้ในใจของต้าอีเต้นแทบไม่เป็นจังหวะในเวลานี้

 

 

อวี๋หมิงอี้บอกให้เธอถอด อันที่จริงคือต้องการให้เธอถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็เลิ่กเสื้อขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้นวดให้ จากนั้นก็แปะแผ่นยา

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าต้าอีจินตนาการไปไกลแล้วเพราะคำว่า ‘จึ๊ก’

 

 

เธอหน้าแดงนอนอยู่บนเตียง ความคิดกำลังตีกันอย่างรุนแรง

 

 

“ปะป๊า”

 

 

เสียงใสๆของเด็กน้อยทำให้อวี๋หมิงอี้หันไปทันที ต้าอีเอาหน้าซุกหมอน

 

 

นี่เธอกำลังคิดอะไรเนี่ย มีเด็กอยู่ในบ้านแท้ๆ เธอจะทำอะไรได้?

 

 

“พ่านพ่านมีอะไรเหรอคับ? ปะป๊าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ปีนเก้าอี้มองลงไปข้างล่าง มันอันตรายมาก”

 

 

“ย่ามาแล้ว” พ่านพ่านยืนอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกแล้วชี้ไปข้างล่าง อวี๋หมิงอี้จึงมองลงไป แม่เขามาจริงๆด้วย

 

 

ต้าอีนอนอยู่บนเตียงกำลังปวดหัวกับความคิดลามกของตัวเอง ไม่ได้ยินพ่านพ่านพูดว่าย่ามาแล้ว เธอนอนอยู่บนเตียงแล้วรีบกดส่งข้อความหาประธานเชี่ยนอย่างรวดเร็ว

 

 

อันที่จริงก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ดูจากวันเกิดประธานเชี่ยนอายุน้อยที่สุด แต่กลับเป็นพี่ใหญ่ในห้องตายยกรังนี้ มีเรื่องอะไรก็เลยอยากคุยกับเธอ

 

 

ต้าอีส่งไปแค่ไม่กี่คำ ฉันควรทำไงดี

 

 

เสี่ยวเชี่ยนแทบจะตอบในทันที ไม่กี่คำเช่นกัน ทฤษฎีหน้าต่างแตก

 

 

ต้าอีเป็นลูกศิษย์ที่เสี่ยวเชี่ยนปั้นมา ฝีมือใช่ว่านักศึกษาใหม่ทั่วไปจะเทียบได้ เธอนึกถึงข้อมูลที่เสี่ยวเชี่ยนเคยให้อ่านทันที

 

 

ทฤษฎีหน้าต่างแตกเป็นทฤษฎีของคนร้าย ตึกๆหนึ่งมีหน้าต่างแตกเป็นรูเล็กๆ หากไม่ซ่อมแซมให้ดี อาจจะมีคนที่ชอบทำลายมาทำลายหน้าต่างเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายพวกเขาก็จะบุกรุกเข้าภายในตึก หากพบว่าไม่มีคนอยู่ก็อาจเข้าไปอาศัยในนั้นหรือวางเพลิง

 

 

กำแพงตึก หากมีการพ่นสีแล้วภาพไม่ถูกลบออกไป ไม่นานกำแพงก็จะเต็มไปด้วยภาพต่างๆ หรือสิ่งที่ไม่น่ามอง คนที่เดินผ่านไปมาก็จะคิดว่าเป็นที่ที่ไม่ได้รับการดูแล จากนั้นก็จะมีขยะมากอง จนสุดท้ายผู้คนก็จะมองว่านั่นคือที่ทิ้งขยะ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าต้าอีกับอวี๋หมิงอี้ทำไปแล้ว ถึงได้พิมพ์ไปแบบนั้นเพื่อเป็นการบอกอ้อมๆ ในเมื่อทำไปแล้วก็ทำไป จากที่ไม่เอาๆ ก็จะกลายเป็นอย่านะๆ(อย่าช้า)

 

 

แน่นอนว่าก็แฝงไปด้วยการแซวเล็กๆ แต่ประธานเชี่ยนที่สุดแสนฉลาดกลับคาดการณ์ผิด เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้าอียังไม่ได้ทำ พอเห็นประธานเชี่ยนส่งมาแบบนี้ ต้าอีก็คิดไปอีกทาง

 

 

นี่ประธานเชี่ยน…ยุเธอให้ทำแบบนั้น?

 

 

ต้าอีจับโทรศัพท์ ใบหน้าเธอแดงกล่ำ

 

 

เธอรีบกดส่งข้อความไปอีกรอบ แล้วต้องทำไงบ้าง?

 

 

เสี่ยวเชี่ยนกำลังเศร้าใจที่ตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่ พอเห็นข้อความที่ต้าอีส่งมาเธอก็เข้าใจว่าต้งอีกำลังถามเธอว่าต้องทำไงอวี๋หมิงอี้ถึงจะพอใจ

 

 

จึ๊ๆ ดูพี่รองสิ ปกติเห็นเงียบๆแบบนั้น พออยู่ในคราบหมาป่า นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่จะชอบแบบทำบนพื้น ตอนนี้ยังเล่นเอาถึงกับทำให้ลูกศิษย์เธอต้องมาถามเคล็ดลับในการยั่ว?

 

 

แน่นอนว่าเสี่ยวเชี่ยนบอกไปไม่ได้ว่าประสบการณ์ของเธอนั้นมาจากความทรงจำอันแสนไกลโพ้นในชาติที่แล้ว อีกอย่างอวี๋หมิงหลางตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงตอนนี้ไม่ต้องทำการยั่วอะไรทั้งนั้น ยกเว้นครั้งแรกที่ต้องมอมเหล้า หลังจากนั้นเสี่ยวเฉียงก็เป็นฝ่ายรุกก่อนตลอด ห้ามยังไงก็เอาไม่อยู่ ทั้งท่า ทั้งลีลา ทั้ง…เดี๋ยว หยุดก่อน นี่ไม่ใช่สาระสำคัญ

 

 

สิ่งสำคัญคือ ประธานเชี่ยนตัดสินใจแสร้งทำเป็นคนประสบการณ์เยอะไปแล้ว

 

 

เธอตอบต้าอีไปแค่คำเดียว เด็ดๆ

 

 

ถอด

 

 

ผู้หญิงยังจะต้องใช้วิธีไหนอีก? ถอดไปเลย ถ้าแบบนั้นแล้วผู้ชายยังไม่รู้สึกอะไรก็ถีบออกไปได้เลย

 

 

ผู้ชายที่ไม่รู้สึกรู้สาเมื่อผู้หญิงของตัวเองแก้ผ้าแล้วมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือไร้สมรรถภาพ สองคือไม่รัก แบบนั้นถีบทิ้งได้เลยไม่ผิด

 

 

ต้าอีหลังจากเห็นข้อความก็จ้องเครื่องหมายอัศเจรีย์สามตัวอยู่หลายวินาที จากนั้นหน้าก็แดงกล่ำ

 

 

ประธานเชี่ยนพูดเหมือนเขาเลย…

 

 

ไม่เหมือนเลยต่างหาก นายอวี๋หมิงอี้ถูกปรักปรำ เขาพูดโดยไม่คิดอะไรแท้ๆ แต่ประธานเชี่ยนผู้ช่วยคนนี้กลับไปช่วยเปิดประตูที่ไม่อาจบรรยายได้ในใจของต้าอี

 

 

ในขณะที่ต้าอีกำลังจ้องเครื่องหมายอัศเจรีย์สามตัวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงจากด้านนอก เธอรีบลุกขึ้น แล้วอดทนต่ออาการเจ็บเอวเดินออกไป

 

 

“เขาล่ะ?” แม่อวี๋เข้าบ้านมาก็ถามทันที

 

 

“นอนอยู่ครับ”

 

 

“สวัสดีค่ะคุณน้า” ต้าอีผลักประตูออกมาทักทายแม่อวี๋

 

 

“อย่ายืนสิ รีบไปนอนเร็วเข้า เดี๋ยวน้าล้างมือแล้วจะไปฝังเข็มให้ จริงๆเลยตารอง เราก็เคยแต่งงานมาแล้วนะ ทำไมยังรุนแรงอะไรแบบนั้น…” เมื่อคืนแม่อวี๋ได้รับโทรศัพท์ที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากลูกชายคนรอง วันนี้จึงแลกเวรแล้วตั้งใจมาดู

 

 

“เกี่ยวอะไรกับแต่งงานแล้วด้วยครับ?” อวี๋หมิงอี้งง

 

 

เขาจะรู้ได้ยังไง เมื่อคืนแม่อวี๋พอได้ยินลูกชายถามเรื่องต้งอีเอวเคล็ด ตอนนี้ขยับไม่ได้ควรทำไงดี ตอนนั้นมันตั้งดึกแล้ว แม่อวี๋ก็คิดไปในทางอย่างว่าสิ

 

 

พอวางสายแล้วมานั่งคิดดู ปลุกพลตรีอวี๋ที่หลับไปแล้วขึ้นมา เจ้าเล็กก็ถูกสงสัยเหมือนว่าเวลาที่ทำจะเร็วไป? ตารองก็เทคนิคแย่ คนเป็นแม่จะทนได้ยังไง

 

 

บังคับให้พลตรีอวี๋ไปสอนเทคนิคในเรื่องนี้กับลูกๆ แบ่งปันประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เล่นเอาพลตรีอวี๋โมโหสุดๆ

 

 

แล้วจะให้เริ่มยังไงเล่า

 

 

ปรากฏว่าแม่อวี๋โมโหกว่า คนเป็นพ่อไม่พูดแล้วจะให้คนเป็นแม่ไปพูดหรือไง? เจ้าเล็กคงไม่ต้องพูดอะไร อย่างไรเสียเธอก็ไปคุยกับแผนกครัวของหน่วยที่นั่นไว้แล้วว่าให้ทำซุปบำรุงอวี๋หมิงหลางบ้าง เดี๋ยวก็ดีขึ้น …อวี๋หมิงหลางเลือดกำเดาไหลบ่อยขนาดนั้น จะต้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แน่นอน แน่นอนว่าแม่อวี๋ยังไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองทำอะไรไปบ้าง

 

 

ตอนนี้คนที่เป็นห่วงที่สุดก็คือตารอง เดิมก็เป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว ตอนนั้นที่ตัดสินใจจะคบกันก็เล่นเอาต้าอีเป็นลมแล้วเป็นลมอีก แม่อวี๋ได้ยินหมด

 

 

ตอนนี้ยังจะมีเรื่องเทคนิคลีลาแย่ ยังมีอีกไหม? อยากจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตหรือไง?

 

 

แม่อวี๋จึงตัดสินใจเปลี่ยนเวรแล้วมาหาด้วยตัวเอง

 

 

“แม่ ตาเป็นอะไรเหรอครับ? นอนไม่พอเหรอ?” อวี๋หมิงอี้เห็นขอบตาแม่อวี๋คล้ำๆ ดูเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอ

 

 

ได้รับสายตามองค้อนกลับไป “ก็เพราะเรานั่นแหละ หลบไป อย่ามาขวางทางไปล้างมือ”

 

 

พลตรีอวี๋ถูกตบตีให้ลุกขึ้นมากลางดึกด้วยความโมโห คิดดูสิ กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ดีๆ เมียก็ถีบตกเตียง ไม่ยอมให้พูดแทรกอะไรทั้งนั้นเอาแต่ชี้หน้าด่า อีกทั้งยังกล้าสงสัยในยีนของพลตรีอวี๋ด้วยว่ามีปัญหา

 

 

แบบนี้มันทนไม่ได้ ครั้นแล้วพลตรีอวี๋จึงพิสูจน์กำลังวังชาของตัวเอง พิสูจน์ว่าเรื่องที่ลูกๆเป็นแบบนั้นไม่เกี่ยวกับเขา อย่างน้อยเขาก็ยังฟิตปึ๋งปั๋งอยู่…