กลิ่นหอมของข้าวโชยมาจากห้องครัว
ระหว่างที่เซี่ยยวี่หลัวตักข้าวก็รู้สึกดีใจเมื่อพบว่า ใต้ข้าวที่หุงต้มจนสุกมีข้าวตังอีกหนึ่งชั้น
ยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านใด ขณะหุงข้าวจะไม่ปล่อยให้มีข้าวไหม้ติดก้นกระทะ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองข้าวสาร
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้าวตังอร่อยมาก กัดแล้วกรอบจนเกิดเสียง “กรุบกรุบ” หอมอร่อยจนแทบกลืนลิ้นได้เลย
เซี่ยยวี่หลัวตักข้าวด้านบนขึ้น เห็นว่าก้นกระทะมีข้าวตัง นางจึงใส่ฟืนเพิ่มด้วยความดีใจ ใช้ไฟอ่อนอบข้าวตังครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเหยาะน้ำมันสองหยดลงบนข้าวตัง
เดิมทีกลิ่นหอมของข้าวตังก็กระตุ้นต่อมอยากอาหารของเด็กสองคนมากอยู่แล้ว ตอนนี้เหยาะน้ำมันหอมลงไป เซียวจื่อเมิ่งที่ยืนอยู่ข้างเตาปรุงอาหารมาตลอด เบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะแนบติดบนข้าวตัง
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวเป็นเชิงหยอกล้อ “จื่อเมิ่ง รีบเช็ดปากเร็ว”
เซียวจื่อเมิ่งเช็ดปากตามที่เซี่ยยวี่หลัวบอกด้วยท่าทางไม่เข้าใจนัก จากนั้นจึงมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางมึนงง
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “น้ำลายจะหยดลงในกระทะอยู่แล้ว!”
เซียวจื่อเมิ่งหัวเราะคิกคัก เสียงหัวเราะช่างไพเราะประหนึ่งเสียงกระดิ่งเงินก็มิปาน ก่อนจะขยับไปอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัวอีกครั้ง
ตอนนี้เซียวจื่อเมิ่งสนิทกับเซี่ยยวี่หลัวมาก นางยืนอยู่ตรงหน้าเตาปรุงอาหารดูเซี่ยยวี่หลัวทำอาหาร ส่วนเซียวจื่อเซวียนกลับอยู่ค่อนข้างห่าง นั่งอยู่ตรงหน้าเตาไฟ เงยหน้าขึ้นมองท่าทางตั้งอกตั้งใจของเซี่ยยวี่หลัว และท่าทางดีอกดีใจของจื่อเมิ่งเป็นครั้งคราว ในจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวตัง อย่าให้กล่าวเลยว่าหอมเพียงใด
ข้าวตังนี่ต้องอร่อยมากแน่นอน เขายังไม่เคยกินมาก่อน
เซี่ยยวี่หลัวอบข้าวตังเสร็จแล้ว จึงรีบแซะและตักขึ้นมา เพราะข้าวตังถูกอบจนกรอบ ทั้งยังเหยาะน้ำมันเล็กน้อย ตอนตักขึ้นมาจึงมีลักษณะเหมือนกระทะ เป็นรูปทรงกลม ทั้งเรียบและดูดี
เซียวจื่อเมิ่งเห็นเซี่ยยวี่หลัวทำข้าวตังขนาดใหญ่ออกมา จึงปรบมือด้วยความดีใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ สวยมาก สวยมาก”
เซี่ยยวี่หลัวก็หัวเราะ ก่อนตะโกนบอกเซียวจื่อเซวียนที่อยู่ด้านหลังเตาไฟ “จื่อเซวียน ใส่ฟืนเข้าไปในเตาไฟอีกหน่อย เจ้าก็พาน้องสาวไปล้างมือ เตรียมกินข้าวได้แล้ว”
เซียวจื่อเซวียนขานตอบ ก่อนใส่ฟืนจำนวนหนึ่งเข้าไปในเตาไฟ
เมื่อมีฟืนเพิ่ม ไฟด้านในจึงโหมไหม้แรงขึ้น แสงสาดส่องบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเซียวจื่อเซวียน เผยให้เห็นแววตาของเขาที่ฉายประกายฉงน
พี่สะใภ้ใหญ่ ต่างจากเดิมแล้วจริงๆ
เซี่ยยวี่หลัวหยดน้ำมันลงกระทะ รอให้น้ำมันร้อน
เซียวจื่อเมิ่งล้างมือเสร็จแล้ว กลับมายืนอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัว มองข้าวตังในมือเซี่ยยวี่หลัวไม่ละสายตา
เซี่ยยวี่หลัวแบ่งข้าวตังออกเป็นสามส่วน เด็กสองคนกินมากหน่อย ส่วนของตัวเองเล็กกว่า นางหยิบข้าวตังที่แบ่งเสร็จแล้วยื่นให้จื่อเมิ่ง “มา จื่อเมิ่ง รีบกิน กินตอนร้อนทั้งกรอบทั้งหอม แต่ระวังอย่าให้ลวกปาก”
เซียวจื่อเมิ่งยื่นมือรับมา อ้าปากกัดหนึ่งคำทันที
ข้าวตังทั้งกรอบทั้งหอม เซียวจื่อเมิ่งกัดหนึ่งคำก็มีเสียงกรอบดัง “กรุบ” เงยหน้ากล่าวกับเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางดีใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าวตังอร่อยมากจริงๆ หอมเหลือเกิน!”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวเตือน “อร่อยก็กินเร็วเกินไปไม่ได้ ต้องเคี้ยวให้ละเอียดแล้วค่อยกลืน ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายท้อง”
“อืมๆ เข้าใจแล้ว!” เซียวจื่อเมิ่งขานตอบอย่างว่าง่าย จากนั้นระหว่างกิน จึงกัดเพียงคำเล็ก เคี้ยวจนละเอียดแล้วค่อยกลืน
เห็นเด็กน้อยผู้นี้ว่าง่ายรู้ความ ภายในใจเซี่ยยวี่หลัวรู้สึกดีใจยิ่งนัก
นางยื่นส่งอีกชิ้นหนึ่งให้เซียวจื่อเซวียน
เซียวจื่อเซวียนมองของในจาน เขาตกอยู่ในภวังค์เลื่อนลอย
เมื่อครู่เขาเห็นเซี่ยยวี่หลัวแบ่งข้าวตัง
มีสองชิ้นที่ใหญ่มาก อีกชิ้นเล็กมาก
นางแบ่งสองชิ้นที่ใหญ่ที่สุดให้ตนเองกับน้องสาว
เซี่ยยวี่หลัวเห็นเขาไม่รับ “เป็นอะไรไป ไม่ชอบกินงั้นหรือ? อร่อยมากทีเดียว”
เด็กเล็กชอบกินของที่ทั้งหอมทั้งกรอบแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
เซียวจื่อเซวียนเงยหน้ามองเซี่ยยวี่หลัว ก่อนก้มมองข้าวตังในมือนาง สุดท้ายก็กัดริมฝีปาก ยื่นมือรับข้าวตังมา
กัดลงไปหนึ่งคำ ในปากรู้สึกทั้งกรอบทั้งหอม อร่อยมากจริงๆ
เซี่ยยวี่หลัวใช้มือหนึ่งถือข้าวตังไว้ กินไปพลางใช้มืออีกข้างผัดอาหารไปพลาง
ด้านนอกยังมีแสงสว่างเล็กน้อย แม้ว่าภายในครัวจะไม่สว่างมากนัก แต่ก็ไม่ได้จุดไฟ มีเพียงไฟจากเตาไฟ ที่ส่องแสงสว่างตลอด สาดส่องบนใบหน้าเซียวจื่อเซวียน และแก้มที่ขยับขึ้นลง
เซียวจื่อเมิ่งไม่ได้อยู่กับเขา
น้องสาวที่เมื่อก่อนตามติดเขาตลอด ตอนนี้ยืนอยู่ข้างเตาปรุงอาหาร ตามอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัว
พูดคุยหยอกล้อขำขันกับเซี่ยยวี่หลัว
เซียวจื่อเมิ่งที่หวาดกลัวเซี่ยยวี่หลัวมาตลอด ตอนนี้โดนเซี่ยยวี่หลัวหยอกเย้าจนหัวเราะคิกคัก ท่าทางดีใจและมีความสุขนั่น ไม่เหมือนเป็นการแสร้งทำสักนิด และเซี่ยยวี่หลัวก็มีสีหน้าดีอกดีใจ เสียงหัวเราะยังคงดังไม่ขาดสาย
เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ กลิ่นควันไฟ กลิ่นหอมของอาหาร และแสงไฟ
แต่ก่อนบ้านนี้ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่เสียงพูดคุยยังถือว่าหาได้ยากนัก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงของอย่างอื่น
แต่จู่ๆ เพียงชั่วข้ามคืน ในบ้านหลังนี้ กลับมีทุกสิ่งที่กล่าวมา
เซียวจื่อเซวียนที่รู้สึกว่าบ้านนี้ช่างแสนหนาวเหน็บมาตลอด เกิดความรู้สึกว่าบ้านนี้เหมือนจะไม่ได้หนาวเหน็บถึงเพียงนั้นเป็นครั้งแรก
ไม่เพียงแต่ไม่หนาว ทั้งยังรู้สึกอบอุ่นนัก
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ เด็กสองคนยกอาหารไปที่ห้องด้วยตัวเอง เซี่ยยวี่หลัวใช้น้ำเดือดลวกชามกับตะเกียบ จากนั้นจึงนำไปในห้อง
ตอนที่เซียวจื่อเซวียนเดินเข้าห้อง เห็นห้องของตัวเองเปลี่ยนไปมาก ก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก
เครื่องนอนบนเตียงเปลี่ยนเป็นแบบหนาและใหม่ จับดูรู้สึกทั้งนุ่มและอบอุ่น เซียวจื่อเซวียนรู้สึกตกใจจนกล่าวอะไรไม่ออก เซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ข้างๆ เริ่มบอกเล่าเรื่องที่นางและพี่สะใภ้ใหญ่ทำในช่วงบ่ายด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว จับเครื่องนอนชั้นหนาพร้อมยิ้มและบอกว่า พี่รอง ตอนกลางคืนท่านไม่ต้องนอนหนาวแล้ว
เซียวจื่อเซวียนจับมือเซียวจื่อเมิ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนเปลี่ยนจริงหรือ?”
เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้าไม่หยุด “พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนทำจริงๆ! นางเปลี่ยนเองกับมือ ผ้าปูนี่นางก็เป็นคนเย็บให้ท่าน พี่สะใภ้ใหญ่ยังบอกอีกว่า ต่อไปจะทำเสื้อใหม่ให้ท่านใส่ เหมือนกับจื่อเมิ่ง”
เซียวจื่อเซวียนแย้มรอยยิ้ม ลูบผมทรงซาลาเปาของเซียวจื่อเมิ่ง แววตาฉายประกายตั้งตารอคอย
พี่สะใภ้ใหญ่ เหมือนจะต่างจากเดิมแล้วจริงๆ
เซี่ยยวี่หลัวเข้ามาในห้อง เห็นเด็กสองคนยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นพวกเขายืนอยู่ข้างเตียง นางนึกว่าเด็กสองคนรู้สึกอึดอัดอีกแล้ว จึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทำไมถึงยืนกันล่ะ? รีบนั่งลงกินข้าวเร็ว เดี๋ยวข้าวจะเย็นเสียก่อน”
เซียวจื่อเมิ่งจูงมือพี่รองมาที่โต๊ะ นางนั่งลงก่อน
เซียวจื่อเซวียนกลับนิ่งไป ลังเลครู่หนึ่งก่อนนั่งลง
เซี่ยยวี่หลัวตักข้าวให้เซียวจื่อเมิ่งเต็มชาม เซียวจื่อเมิ่งจ้องไข่ตุ๋นในจานไม่ละสายตา
ไข่ตุ๋นถูกตุ๋นจนเป็นสีเหลืองทอง ด้านบนเหยาะน้ำมันหอม กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าอะไร คลุกกับข้าวอร่อยยิ่งนัก
เซี่ยยวี่หลัวใช้ช้อนตักใส่ชามข้าวของเซียวจื่อเมิ่งช้อนแล้วช้อนเล่าจนเต็มชาม จากนั้นจึงวางไว้ตรงหน้านาง “มา ผักจี้ช่ายก็ต้องกินให้มาก ดีต่อร่างกาย จะได้ตัวสูงๆ เข้าใจไหม?”
เซียวจื่อเมิ่งก้มหน้ากินอาหารในชาม ตักไข่ตุ๋นคลุกข้าวกินหนึ่งคำ ก่อนกล่าวด้วยท่าทางว่าง่าย “อืม ข้ารู้แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่”
เด็กน้อยกินข้าวเร็ว แทบจะมุดหน้าลงไปในชาม ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีข้าวหนึ่งเม็ดและไข่ติดที่มุมปาก เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้มพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่จื่อเมิ่ง กินช้าๆ กินเลอะเหมือนลูกแมวน้อยเชียว!”
เซียวจื่อเมิ่งแลบลิ้นให้เซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางเก้อเขิน ก่อนหัวเราะ
แล้วจึงก้มหน้ากินข้าวต่อ
เซี่ยยวี่หลัวตักข้าวให้เซียวจื่อเซวียนเป็นคนที่สอง ตักจนเต็มชามเหมือนกัน จากนั้นจึงตักไข่ตุ๋นให้หลายช้อนใหญ่ ยื่นส่งให้เซียวจื่อเซวียน
เซียวจื่อเซวียนไม่ได้รับ ตอนนี้เขากำลังจ้องมองเซี่ยยวี่หลัว