สาวน้อยไม่ยอมเสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ!

เธอมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ด้านนี้ คนอื่นร่ำเรียนมาหลายปีก็ยังไม่อาจเรียนวิชากู่ได้แตกฉานนัก เธอเรียนอยู่ไม่กี่เดือนก็ล้ำเลิศแล้ว สหายคนนั้นของเธอรู้สึกว่าเธอเป็นต้นกล้าที่ดี เลยแนะนำเธอแก่อาจารย์ของเขา อาจารย์ของเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งหนึ่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่รับศิษย์ง่ายๆ ทว่าถูกชะตากับเธอตั้งแต่แรกเห็น สั่งสอนเธออยู่สองเดือน…มอบตำรากู่ที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งให้เธอ

ในยุคปัจจุบันกู้ซีจิ่วศึกษาวิชาหลายแขนง วิชาหลักที่เธอเรียนคือวรยุทธ์วิชาพิษและการแพทย์

เธอรู้สึกว่าวิชากู่ต้องใช้หนอนเป็นสื่อกลาง และเธอก็ไม่ค่อยชอบพวกแมลงเท่าไหร่ ประกอบกับการเลี้ยงกู่ต้องใช้แก่นโลหิตในร่างตนเสมอ เรื่องเยอะเกินไป ข้อจำกัดก็มากเกินไป ดังนั้นถึงแม้เธอจะร่ำเรียนมาไม่น้อย แต่แทบไม่ได้ใช้เลย และไม่เคยเลี้ยงกู่เลย

เพียงแต่เธอสนใจด้านการขจัดกู่มาก ได้มองดู ‘เจ้าตัวน้อย’ เหล่านั้นสลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ในมือเธอค่อนข้างรู้สึกสมใจอยู่บ้าง

ดังนั้นเธอเลยตั้งใจศึกษาวิชาขจัดกู่ที่อยู่บนตำราเล่มนั้น ในตำรานั้นไม่เพียงแต่มีเคล็ดวิชากู่หายากสารพัดเท่านั้น ยังมีวิธีแก้ที่สัมพันธ์กันอยู่ด้วย

แน่นอนว่าเนื่องจากไม่มีผู้ที่โดนกู่ให้เธอได้ลองทดสอบ ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นเธอเลยได้แต่อ่านเท่านั้น

โชคดีที่ความจำของเธอดีมาก อ่านรอบเดียวก็จำได้เกือบสมบูรณ์…

เดิมทีเธอแค่จะเล่าที่มาวิชากู่ของตนสักหน่อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเธอก็รู้สึกว่าความรู้ยุคปัจจุบันเหล่านี้ของเธอไม่เกี่ยวข้องกับที่นี่มากนัก สหายในยุคปัจจุบันของเธอถึงจะเก่งกาจเพียงใดก็มาที่นี่ไม่ได้

แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซักถามละเอียดนัก เขาถามครอบคลุมไปถึงรูปพรรณสัณฐานอัตลักษณ์ของคนทั้งสองที่ถ่ายทอดวิชากู่ให้เธอด้วย

สุดท้ายเขาก็ยื่นพู่กันด้ามหนึ่งและกระดาษอีกหลายแผ่นให้กู้ซีจิ่ว “มาสิ วาดพวกเขาออกมาหน่อย”

กู้ซีจิ่วงงงัน แต่เธอก็เป็นคนฉลาด จึงถามออกไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ “ท่านคงไม่คิดว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือหนึ่งในพวกเขาใช่ไหมเจ้าคะ? เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ การมาของข้าเป็นเรื่องบังเอิญนัก เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาด้วยเหมือนกัน เรื่องทะลุมิติเป็นเรื่องบังเอิญยิ่ง…”

“ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ เจ้าวาดออกมา เปิ่นจุนจะดูเปรียบเทียบกัน”

“เช่นนั้นท่านก็วาดเป้าหมายที่ท่านสงสัยให้ขาดูด้วยสิเจ้าคะ อ๊ะ ใช่แล้ว ท่านวาดตัวผู้บงการเบื้องหลังที่ท่านเห็นจากเชียนหลิงเทียนออกมาด้วยได้ไหมเจ้าคะ?” ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกาย

สาวน้อยไม่ยอมเสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ!

สุดท้ายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ตกลง ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งตรงข้ามกันต่างฝ่ายต่างวาด…

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทั้งสองฝ่ายต่างวาดเสร็จแล้ว จึงนำมาแลกกันดู

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วาดได้สมจริงมาก เขาวาดคนลึกลับที่สวมชุดขาวคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองไม่ออกว่าอ้วนหรือผอมและมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่บุคลิกค่อนข้างประหลาดเย็นชา ดูเหมือนเขาจะปรากฏตัวในยามราตรีทุกครั้ง แถมยังเป็นสถานการณ์ที่ไร้แสงเดือนแสงดาวด้วย ดังนั้นการสวมชุดพรางตัวเช่นนี้ปรากฏตัว จึงน่าอึดอัดเล็กน้อย

ภาพของกู้ซีจิ่วเป็นภาพร่าง ตวัดไม่กี่ลายเส้นร่างเอกลักษณ์บุคคลออกมา ถึงแม้จะไม่สมจริงไปบ้าง แต่เอกลักษณ์เฉพาะของตัวคนก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษแล้ว

สหายคนนั้นของเธอเป็นหนุ่มหล่อปากแดงฟันขาว ยามยิ้มแย้มเจิดจ้าดั่งแสงตะวัน แต่อาจารย์ที่เร้นกายอยู่ในหุบเขาลึกผู้นั้นดูต่างกันลิบลับ สวมเสื้อคลุมผ้าป่านตัวยาว ร่างผอมสูง เครื่องหน้า…เครื่องหน้าไม่ชัดเจน เนื่องจากอีกฝ่ายไว้หนวดเครา แถมเครานั้นก็ยาวเฟื้อย เครื่องหน้าถูกซ่อนไว้มิดชิดภายใต้หนวดเครา ดังนั้นอัตลักษณ์เครื่องหน้าจึงไม่ชัดเจน

กู้ซีจิ่วก็เล่าออกมาอย่างกระจ่าง อาจารย์ท่านนี้นิสัยประหลาดนัก เงียบขรึมพูดน้อย ปรากฏตัวน้อยมาก ยามที่ถ่ายทอดวิชากู่ให้เธอก็ไม่เผยโฉมสักเท่าไหร่ คนหนึ่งพูดอยู่ในห้อง อีกคนฟังอยู่นอกห้องเสมอ

จำนวนครั้งที่พบหน้าเขาแทบนับนิ้วได้เลย