ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดูรูปสองแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา จู่ๆ ก็เอ่ยออกประโยคหนึ่ง “เจ้าอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่กับคนผู้นี้สองเดือนหรือ?” เขาชี้ไปที่ชายมีเครา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น พอตกเย็นคนผู้นี้จะเรียกข้าไปแล้วถ่ายทอดความรู้ให้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ช่วงอื่นก็ปล่อยให้ข้าวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในหมู่บ้าน”

“เขามีฐานะอย่างไรในหมู่บ้าน?”

“ปรมาจารย์กู่เจ้าค่ะ ปรมาจารย์ชื่อดัง คนในหมู่บ้านค่อนข้างกริ่งเกรงเขา ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครไปมาหาสู่เขา”

“เช่นนั้นเขาเคยแสดงฝีมืออันใดต่อหน้าอย่างชัดเจนบ้างหรือไหม?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซักไซ้

กู้ซีจิ่วย่นคิ้ว “แค่วิชากู่เท่านั้นเจ้าค่ะ”

โดยทั่วไปแล้วปรมาจารย์กู่ค่อนข้างลึกลับ แต่คนผู้นั้นลึกลับที่สุด ไม่คบค้าสมาคมกับผู้อื่น คนในหมู่บ้านที่เคยเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาก็มีอยู่ไม่กี่คน หากมิใช่เพราะกู้ซีจิ่วต้องไปที่กระท่อมของเขาทุกวันวันละหนึ่งชั่วโมง ก็อาจจะไม่เคยเห็นเขา…

“กล่าวเช่นนี้คือ เขาไม่เคยเห็นเขาลงมือเลยหรือ?”

กู้ซีจิ่วส่ายหัว “ไม่เลยเจ้าค่ะ อันที่จริงโลกนั้นของพวกเราสงบสุขมาก ในหมู่บ้านอย่างมากก็แค่ไก่ของบ้านสกุลตงหายไป หรือแกะของบ้านสกุลซีหนีเตลิดไป แต่ก็ตามกลับมาได้เร็วนัก เมื่ออยู่ที่นั่นวิชากู่ของเขาเลยไม่มีโอกาสให้ลงมือเจ้าค่ะ”

สายตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จดจ่ออยู่ที่ใบหน้าเธอ กล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอยู่บ้าง “คนผู้นี้ลึกลับถึงเพียงนี้ ด้วยนิสัยของเจ้าน่าจะเคยสำรวจกระท่อมไม้ไผ่ของเขากระมัง? ในกระท่อมของเขามีอะไรบ้างไหม?”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เธอกระแอมไอแล้วเอ่ยตอบ “ข้าร่ำเรียนวิชาของผู้อื่น ก็นับว่าผู้อื่นเป็นอาจารย์ข้ากึ่งหนึ่ง อีกทั้งข้าเป็นคนที่เคารพนับถือครูบาอาจารย์ จะไปสำรวจกระท่อมของผู้อื่นได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไร เพียงแค่มองดูเธอ

กู้ซีจิ่วถูกมองจนใจฝ่อ จึงมองกลับบ้าง ผลคือเธอพ่ายแพ้ในการจ้องตากับผู้อื่นเป็นครั้งแรก เลยยกมือยอมรับ “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ายอมรับ ข้าสำรวจ แต่ในกระท่อมของเขาไม่มีอะไรเลย เพียงแค่เก่าซอมซ่อไปหน่อยเท่านั้น ข้าวของในบ้านก็ธรรมดา แล้วก็มีโหลเลี้ยงกู่นิดหน่อยเท่านั้น”

“โหลเลี้ยงกู่ของเขาเป็นโหลอย่างไร?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สอบถามทันที

กู้ซีจิ่วแทบจะกุมหน้าผากแล้ว “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านสงสัยเขาจริงๆ หรือเจ้าคะ? คนละภพนะเจ้าคะ! เขามาไม่ได้หรอก!”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นกระดาษกับพู่กันมา “วาดออกมา”

วินาทีนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกเสียใจที่เคยเรียนวาดภาพมาบ้าง ที่เสียใจยิ่งกว่าคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าตนวาดภาพเป็น

ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้เพียงวาดหลายสิ่งที่อยู่ในความทรงจำออกมา พอวาดเสร็จก็ดันไปทางท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “นี่เจ้าค่ะ อยู่ในนี้หมดแล้ว”

บางทีอาจเป็นเพราะพูดคุยจนคุ้นเคยแล้ว บทสนทนาของกู้ซีจิ่วกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นกันเองขึ้นเรื่อยๆ พูดจาท่านๆ ข้าๆ อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

อาจเป็นเพราะไม่ชอบใจที่นั่งไม่ค่อยสะดวกนัก กู้ซีจิ่วจึงลากเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆ ทันที อธิบายแก่เขาว่าในโหลเหล่านี้เลี้ยงกู่อะไรไว้บ้าง

คนทั้งสองไหล่ชนไหล่ หารือกันสองสามประโยคบ้างเป็นครั้งคราว ภาพนั้นดูอบอุ่นและเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองนางที่อธิบายอยู่ข้างกายอย่างตั้งอกตั้งใจแวบหนึ่ง หัวใจพลันสั่นไหว มีความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นมา

เป็นครั้งแรกที่อยู่ในตัวตนนี้แล้วมีคนเข้ามาใกล้เขาเช่นนี้ และเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้…

เพียงแต่ก็น่าขันอยู่เหมือนกัน หากสี่ทูตได้มาเห็นภาพนี้เข้า คาดว่าคงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!

แม่นางน้อยผู้นี้ท้าทายอำนาจ ‘เทพ’ โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว

เพียงแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะตักเตือนนางเลย เขารู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือน

จุดสูงสุดนั้นเหน็บหนาวนัก

ในความเป็นจริงคนผู้หนึ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดมาเนิ่นนาน ย่อมโดดเดี่ยวและหว่าเว้ อยากจะมีใครสักคนมาอยู่ข้างกาย…

กลิ่นอายจางๆ จากร่างนางอบอวลอยู่รอบกายเขา ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ทันที ปรารถนาจะดึงนางเข้ามาไว้อ้อมกอดยิ่งนัก…