บทที่ 34 ลงแหครอบ
จางชุนเถาได้แต่ช่วยจางซิ่วเอ๋อทำงาน
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือบดสมุนไพรพวกนี้ให้เป็นผง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในหมู่บ้านมีโม่หินสำหรับบดอยู่ แต่ทุกคนล้วนเอาไว้โม่เมล็ดข้าว เครื่องเทศของนางมีกลิ่นแรงเกินไป ไม่เหมาะจะบดที่นั่น
ประกอบกับนางยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองใช้วัตถุดิบอะไรบ้างในการทำเครื่องเทศ
ตอนนี้จึงต้องใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมที่สุด
รอให้อีกหน่อยได้เงินแล้วนางจะซื้อโม่หินแล้วก็ลาหนึ่งตัว จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้
สองพี่น้องสลับกันทำงาน พอตกกลางคืน ก็เอามาบดต่อจนเป็นผง
เมื่อถึงกลางคืน จางซิ่วเอ๋อก็นำเนื้อที่แขวนอยู่กลางบ่อน้ำลึกออกมาหมายจะต้ม แน่นอนว่านางไม่กล้าใช้ผงเครื่องเทศที่ทำขึ้นมาด้วยความยากลำบากหรอก กลับนำเครื่องเทศสามสี่ชนิดใส่เข้าไปในถุงผ้าและเย็บปิด ทำเป็นถุงเครื่องเทศแล้วใส่ไปในหม้อ
จางซิ่วเอ๋อกลัวว่าเนื้อจะเสียจึงต้มเนื้อทั้งหมด เนื้อ 2 ชั่งนำใส่ในกะละมังได้ประมาณครึ่งนึง บวกกับผักป่าบางอย่างใส่ลงไปจนเต็มหนึ่งกะละมัง
ส่วนปลาที่จับมาได้นั้นจางซิ่วเอ๋อไม่กล้ากิน ได้แต่เอาเกลือหมักไว้ กะว่าแม่โจวมาเมื่อไหร่แล้วจะต้มให้นางกิน ปลาจี้อวี๋นี่บำรุงคนท้องดีนักแล
เมื่อกับข้าวทุกอย่างตั้งพร้อมสรรพบนโต๊ะ จางซิ่วเอ๋อจึงเริ่มกินก่อน จากนั้นจางชุนเถาและจางซานหยาถึงเริ่มกิน
ถึงแม้เด็กสองคนนี้จะเกิดในครอบครัวยากจน แต่ก็มารยาทดีมาตลอด
จางชุนเถากินเนื้อไปชิ้นหนึ่งก่อนจะรีบพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่ เนื้อรอบนี้อร่อยกว่าเมื่อก่อนอีกเจ้าค่ะ!”
จางซิ่วเอ๋อเอ่ยพลางอมยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว”
“ข้าเห็นพี่ใส่สมุนไพรไปตั้งมาก นึกว่าเนื้อที่ทำออกมาจะขม! คิดไม่ถึงว่าจะหอมขนาดนี้!” จางชุนเถาเอ่ยอย่างไม่อาจปกปิดความยินดีของตนไว้ได้!
ส่วนจางซานหยาก็กินไปคำนึง “พี่หญิงใหญ่ เนื้อนี่อร่อยกว่าเนื้อต้มที่พี่ซื้อจากในตลาดมาให้เรากินครั้งที่แล้วเยอะเลย!”
เครื่องเทศนี่นอกจากจะลดความคาวของเนื้อได้ ยังช่วยให้รสดีขึ้น คนยุคปัจจุบันกินเครื่องเทศทุกวันอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่คนยุคโบราณไม่เคยได้กินของที่ใส่เครื่องเทศมาก่อน พอได้กินก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ได้กินเนื้อก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้อร่อยขึ้นกว่าเดิมอีก สามพี่น้องจึงกินเต็มที่ กินจนกินต่อไม่ไหวแล้วถึงยอมเลิกรา
แต่น่าเสียดายที่แม่โจวไม่อยู่ที่นี่ ตอนนี้เหลือซาลาเปาแค่ 2 ลูก ซึ่งล้วนเก็บไว้ให้นางทั้งหมด จางซิ่วเอ๋อจึงหาใบไม้ใบใหญ่ 2-3 ใบห่อผักและแผ่นแป้งข้าวโพดให้จางซานหยานำกลับบ้าน
พอแม่โจวเห็นของกินพวกนี้ก็มีสีหน้าเศร้าสร้อย
ยิ่งบุตรสาวกตัญญูเท่าไหร่ นางยิ่งรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ช่างเย็นชา
ครั้งนี้แม่โจวก็ไม่ลังเล กินจนหมด เพื่อเจ้าก้อนแป้งในท้องนางแล้วนางก็ต้องบำรุงตัวเองให้ดี
จนถึงเวลามื้อเย็นของตระกูลจาง แม่โจวที่กินอิ่มแล้วก็กินไปไม่กี่คำ แม่เฒ่าจางเห็นก็ด่าขึ้นมาอีกว่าท้องนี้ของแม่โจวต้องเป็นบุตรสาวแน่ ๆ
วันเวลาหลังจากนั้น จางซิ่วเอ๋อก็ไม่กล้าไปตลาดอีก ส่วนจางชุนเถาอยู่บ้านทำพวกเครื่องเทศ
ตอนนี้จางชุนเถามั่นใจกับเครื่องเทศที่จางซิ่วเอ๋อทำมาก ของนี่ทำให้กับข้าวอร่อยขึ้นได้ นางเชื่อว่าขายออกแน่
ส่วนจางซิ่วเอ๋อในเวลานี้ไปตัดไผ่อยู่ นางตั้งใจจะทำแหครอบ
ในเมื่อรู้แล้วว่าในลำธารมีปลา หากนางไม่ไปจับก็จะรู้สึกคันยุบยิบในใจ แต่ตอนนี้นางไม่ลงไปจับในน้ำเองแล้ว เพราะประสิทธิภาพต่ำมาก เอาเวลานั้นไปทำเรื่องอื่นหาเงินมาซื้อปลาดีกว่าเยอะ
ถ้าปลานี่จับง่ายขนาดนี้ คนในหมู่บ้านจะยอมปล่อยปลาพวกนี้ไปได้อย่างไร?
จางซิ่วเอ๋อตั้งใจจะทำแหครอบนี่เพื่อผลระยะยาว
นางไม่ช่ำชองเลยในการถักแหครอบ ทำให้ต้องใช้เวลาทำมันถึง 3 วันเต็ม ๆ ส่วนสภาพของแหครอบเหรอ?….ก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
แต่ของนี่ไม่ใช่ตะกร้าสาน ดูดีไปก็เปล่าประโยชน์
จางซิ่วเอ๋อมองผลงานตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ
ส่วนจางชุนเถามองจางซิ่วเอ๋ออย่างไม่เข้าใจ “พี่ ของนี่จับปลาได้จริงเหรอเจ้าคะ?”
จางซิ่วเอ๋อมองแหครอบไม้ไผ่ที่ตัวเองถักด้วยสีหน้ามั่นใจ “เจ้าวางใจได้เลย”
เห็นจางซิ่วเอ๋อพูดอย่างมั่นใจแบบนั้น ความจริงแล้วนางเองก็ยังไม่มั่นใจนัก แต่เวลานี้นางกระดากเกินกว่าจะพูดแบบนั้นกับจางชุนเถา
ในคืนนั้นเอง จางซิ่วเอ๋อกับจางชุนเถาจึงคลำทางขึ้นเขาไป วางเศษเนื้อในแหครอบแล้วปล่อยลงน้ำ
นางไม่กล้าทำแบบนี้ตอนกลางวันหรอก ใครมาเห็นนางจับปลาไม่ได้คงเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าจับปลาได้คนในหมู่บ้านคงพากันเลียนแบบ
จะบอกว่าจางซิ่วเอ๋อเห็นแก่ตัวก็ได้ ขี้งกก็ได้ นางไม่ใช่คนใจกว้างเห็นแก่มวลชนขนาดนั้นอยู่แล้ว ตอนนี้ตัวเองยังกินไม่อิ่มเลย ไม่มีความคิดจะบอกวิธีหากินของตัวเองให้คนอื่นหรอก
พอตกดึกฝนกลับตกหนัก
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อยว่าตนเองจะวางแหครอบไว้ไม่แน่นและโดนน้ำซัดไป นางจึงหลับไม่ค่อยสนิท
นี่นางใช้เวลาทำถึง 3 วันเลยนะ โดนคมไม้ไผ่บาดมือไปไม่รู้กี่แผล! ถ้าแหครอบโดนน้ำซัดไปจะไม่ให้เจ็บใจได้อย่างไร?
เช้าวันรุ่งขึ้นฝนกลับตกหนักขึ้นไปอีก ไม่สามารถขึ้นเขาได้เลย จางซิ่วเอ๋อก็ง่วงหนัก จึงนอนไปทั้งวัน
จนถึงเวลากลางคืน ฝนจึงได้หยุดตก จางซิ่วเอ๋อจึงคิดจะขึ้นเขาไปดูว่าในแหครอบมีปลาหรือไม่
จางชุนเถาตื่นเต้นพอสมควร ด้านหนึ่งนางก็คิดว่าแหครอบของจางซิ่วเอ๋อจับปลาไม่ได้ อีกด้านก็คาดหวังว่าจะจับปลาได้
ก่อนไป จางซิ่วเอ๋อก็คิดไปคิดมา และหิ้วถังไม้ที่บ้านไปด้วย
จางชุนเถาเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ “พี่ จะเอาถังไม้ไปด้วยทำไม? หรือพี่คิดว่าจะจับปลาได้เป็นถังจริง ๆ ?”
จางซิ่วเอ๋อหัวเราะแห้ง “เผื่อไว้ก่อนน่ะ”
ตอนนี้นางไม่กล้ารับประกันว่าจะจับปลาได้มากขนาดไหน ถ้าถึงตอนนั้นแล้วจับไม่ได้เลยสักตัวจะไม่ขายหน้าแย่เหรอ?
จางซิ่วเอ๋อเดินอยู่ด้านหน้าแล้วหันไปมองจางชุนเถาเป็นครั้งคราว “ถนนลื่น เจ้าเดินระวังด้วยนะ”
ฝนเพิ่งตกไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้ยังมีกลิ่นดินคลุ้งอยู่ในอากาศ หยดน้ำเกาะอยู่เต็มต้นไม้ใบหญ้า ถึงต้นหญ้าจะถูกกดทับจนงอ แต่ก็ให้ความรู้สึกชีวิตชีวา
ฝนเพิ่งหยุด เมฆครึ้มบนฟ้าหายไป ท้องฟ้าจึงดูกว้างใหญ่ไพศาลกว่าปกติ
ถึงแม้จะเป็นตอนกลางคืน แต่เวลานี้ดวงจันทร์กำลังสุกสว่าง แสงจันทร์นวลสาดส่องลงมาบนพื้น สองพี่น้องจึงพอจะมองเห็นทางได้ราง ๆ
ภูเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ดูสงบแตกต่างไปจากปกติ มีเพียงเสียงเดินของสองพี่น้องเท่านั้นที่ดังอยู่
ไม่นานนักก็ถึงบริเวณที่จางซิ่วเอ๋อลงแหครอบไว้
ไม่ว่าอย่างไรจางชุนเถาก็ไม่ยอมให้จางซิ่วเอ๋อลงน้ำ ด้วยกลัวว่าแผลบนตัวของจางซิ่วเอ๋อจะถูกน้ำ ส่วนตัวนางเองมีแผลอยู่บนศีรษะ ไม่จำเป็นต้องกลัวถูกน้ำหรอก
จางซิ่วเอ๋อเถียงสู้จางชุนเถาไม่ได้ จึงผูกเชือกไว้ที่เอวจางชุนเถา ฝนเพิ่งจะตกไป ทำให้น้ำในลำธารขึ้นสูงและไหลเชี่ยวขึ้นไม่น้อย ดังนั้นนางจะเอาชีวิตของจางชุนเถามาล้อเล่นไม่ได้ ต้องป้องกันไว้ทุกทาง
……………………………………