ตอนที่ 145 ต่อกรไม่ได้! ต่อกรไม่ได้!

 

 

ถ้าต้องหาใครสักคนบนโลกใบนี้ที่เหนียนเสี่ยวมู่กลัว ก็ต้องเป็นถานเปิงเปิงอย่างแน่นอน

 

 

คนที่ปกติพูดน้อย เมื่อตัวพัวพันถึงปัญหาสุขภาพ ก็จะกลายเป็นคนพูดมาก

 

 

ศัพท์เฉพาะทางต่างๆ เล่นเอาเวียนหัวเสียเหลือเกิน!

 

 

ต่อกรไม่ได้ๆ!

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่ขดตัวอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองด้วยความหวาดหวั่น มองบริกรถือเมนูที่สั่งแล้วเรียบร้อยจากไปตาปริบๆ

 

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องรีบร้อนอยากเจอฉันด้วย” ถานเปิงเปิงยกแก้วน้ำตรงหน้า หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งแล้วก็ถามขึ้น

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่นึกถึงเรื่องสำคัญได้เมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบนั่งตรงตัวตรง แล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าตัวเอง

 

 

“นี่คือโบนัสของฉันในเดือนนี้ แล้วก็มีสลิปเงินเดือนของฉันด้วย” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางยื่นของให้ถานเปิงเปิง

 

 

คำสั่งของอวี๋เยว่หานได้ผลดีมาก พอเขาเอ่ยปาก ผู้ช่วยก็ให้คนของแผนกการเงินโอนโบนัสมาที่เธอ

 

 

เธอจำได้ว่ามีหนี้ที่ใกล้ถึงเวลาจ่ายแล้ว

 

 

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีโอกาสบอกเธอสักที อวี๋เยว่หานคิดว่าฝีมือฉันไม่เลว ก็เลยให้ฉันเข้าไปทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทตระกูลอวี๋ แถมเป็นตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ด้วยนะ! แต่แผลของเสี่ยวลิ่วลิ่วยังไม่หายดี ฉันก็เลยต้องดูแลเธอควบไปด้วย…”

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่เหมือนเด็กที่ไม่ได้เจอญาติมานานมาก จึงรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ให้ฟังอย่างละเอียด

 

 

ถานเปิงเปิงแค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไร

 

 

จากนั้นเธอก็ยื่นมือไปหยิบซองจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาดูเงินข้างในครั้งหนึ่ง

 

 

แต่เธอก็หยิบสลิปเงินเดือนข้างในออกมาส่งคืนให้เหนียนเสี่ยวมู่ “เธอเก็บสลิปเงินเดือนไว้เถอะ”

 

 

คุณหมอสาวพูดจบก็เก็บเงินในองจดหมายเข้าไปในกระเป๋า โดยไม่ให้โอกาสเหนียนเสี่ยวมู่ได้ปฏิเสธเลย

 

 

อาหารมาถึงครบหมดแล้ว

 

 

วิธีการที่พวกเธอสองคนพูดคุยกันไม่ค่อยเหมือนเพื่อนสนิททั่วไปเท่าไหร่นัก

 

 

นั่นเป็นเพราะนิสัย เหนียนเปิงเปิงพูดน้อยมาก เธอฟังเหนียนเสี่ยวมู่เล่าเหตุการณ์ล่าสุดของตัวเอง พูดตอบเพียงหนึ่งหรือสองประโยคเท่านั้น

 

 

“จริงสิ เธอเคยได้ยินนางแบบที่ชื่อซ่างซินหรือเปล่า” เหนียนเสี่ยวมู่นึกถึงงานที่ตัวเองกำลังติดขัด จึงถามโดยสัญชาตญาณ

 

 

เดิมทีคิดว่าด้วยชื่อเสียงและความนิยมขอบริษัทตระกูลอวี๋และบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า เชิญนางแบบคนหนึ่งมาเป็นพรีเซนเตอร์ คงจะเป็นเรื่องกล้วย แต่ดูจากตอนนี้แล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

 

 

อย่าว่าแต่ให้เธอติดต่อซ่างซินเลย ตอนนี้ติดต่อผู้จัดการของนางแบบสาวยังเป็นเรื่องยากเลย!

 

 

ครั้นอีกฝ่ายได้ยินว่าเธอมาเจรจาเรื่องพรีเซนเตอร์ ก็แทบจะไม่ให้โอกาสได้เจรจาเลย แถมยังปฏิเสธในทันที

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งถามจบก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เสียแล้ว

 

 

ในสายตาของถานเปิงเปิงมีแต่คนไข้ เรื่องอื่นไม่อยู่ในสายตาของเธอโดยสิ้นเชิง เป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะสนใจข่าวบันเทิง

 

 

“เธอหมายถึงนางแบบที่พอเดินแบบก็ดังเป็นพลุแตกคนนั้น” ท่าทางคนกาแฟของถานเปิงเปิงชะงักงัน ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย

 

 

“เธอรู้จักเหรอ” เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งใจเย็นลงได้ก็ต้องร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

เธอรีบร้อนไต่อยู่ตรงหน้าโต๊ะ “อะไรยังไง เธอรีบบอกฉันเร็ว!”

 

 

“ฉันไม่รู้จักหรอก แต่ในแผนกของพวกฉันมีหมอผู้ชายหลายคนเป็นแฟนคลับของเธอ ฉันได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดถึงอยู่หลายครั้ง เล่ากันว่าเป็นผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์มาก”  ถานเปิงเปิงชำเลืองมองอีกฝ่าย ก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาดื่ม แล้วกล่าวอย่างเรียบง่าย

 

 

“มีเอกลักษณ์มากแค่ไหน” เหนียนเสี่ยวมู่ได้กลิ่นสิ่งผิดปกติ จึงหรี่ตาถาม

 

 

เมื่อเห็นเธออยากรู้จริงๆ สายตาของถานเปิงเปิงก็จริงจังขึ้นมา คุณหมอสาววางแก้วลง แล้วนึกอย่างละเอียด

 

 

“ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่า ซ่างซินคนนี้เหมือนจะไม่เคยรับงานพรีเซนเตอร์ ลึกลับมาก แม้แต่นักลงทุนอยากเลี้ยงข้าวเธอก็ยังถูกปฏิเสธทั้งหมด”

 

 

 

 

ตอนที่ 146 เขากำลังรอเธอเหรอ

 

 

“อวดดีขนาดนี้ คงจะผิดใจกับใครไม่ยาก” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินถึงตรงนี้ก็ชะงักงันไป

 

 

ในวงการบันเทิง ถึงแม้อยู่หลังฉากก็ไม่กล้าหลงระเริงขนาดนี้

 

 

นางแบบที่เพิ่งเดินแบบได้ไม่นาน วิธีการของซ่างซินเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

“ผิดใจกับคนเยอะแยะไป ตอนที่เธอเพิ่งเดินแบบได้ไม่นานและมีความนิยมน้อยกว่าตอนนี้ มีเสี่ยใหญ่วงในชอบใจความหยิ่งของเธอ อยากจะเชิญเธอไปกินข้าว ให้เธอเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าของตัวเอง”

 

 

ถานเปิงเปิงวางมือสองข้างทับซ้อนกันอยู่หน้าลำตัว มุมปากยกยิ้มเย้ยหยัน

 

 

ปากบอกว่าจะเชิญไปกินข้าวเพื่อคุยเรื่องพรีเซนเตอร์ แต่ความจริงชัดแจ้งอยู่แล้ว เสี่ยใหญ่คนนั้นถูกใจนางแบบสาว อยากจะเคลมเธอเสียมากกว่า

 

 

แต่ฝ่ายนางแบบให้เกียรติตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมีเงินมากมายแล้ว แถมยังอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกต่างหาก

 

 

เสี่ยใหญ่ใช้เงื่อนไขมากมายบีบบังคับซ่างซิน ต้องการให้เธอปรากฏตัวในงานเลี้ยง

 

 

ผลสุดท้ายซ่างซินไปร่วมงาน แต่เสี่ยใหญ่ยังไม่ทันได้จับไหล่ของเธอด้วยซ้ำ เธอก็ต่อยเขาล้มคว่ำไปแล้ว

 

 

ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสาดไวน์ใส่หน้าอีกฝ่าย พร้อมทั้งชี้หน้าต่อว่าอีกด้วย

 

 

“วงการนี้มีกากเดนอย่างพวกคุณเพิ่มขึ้นมาทำให้แปดเปื้อน ขืนกล้าแต๊ะอั๋งฉันอีก ครั้งหน้าฉันจะตัดไอ้จ้อนคุณทิ้ง”

 

 

นิสัยเผด็จการของเธอแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวงการภายในข้ามคืน

 

 

เล่ากันว่าเสี่ยใหญ่ที่ถูกเธอต่อยคว่ำต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ครึ่งเดือนเลยทีเดียว

 

 

หลังจากเขาออกจากโรงพยาบาล ทุกคนต่างก็คิดว่าซ่างซินจะต้องมีข่าวเสียติดตัวแน่ แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้จบลงโดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…

 

 

และซ่างซินก็ยังคงเป็นซ่างซิน

 

 

นอกจากงานเดินแบบสินค้าแบรนด์เนม เธอไม่รับงานแสดง และไม่รับงานพรีเซนเตอร์

 

 

ความงามและนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอนี้เอง ที่ทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจชาวจีนในทันที…

 

 

“ฉันคิดว่าเพื่อนร่วมงานของเธอน่าจะเคยได้ยินเรื่องที่นางแบบคนนั้นต่อยคนกันหมด คิดจะเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซนเตอร์ เตรียมโลงศพให้ตัวเองก่อนดีกว่า”

 

 

“…”

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่ฟังจบก็หัวเราะไม่ออกแล้ว

 

 

แม้แต่เสี่ยใหญ่วงในยังถูกต่อยโดยที่สวนหมัดไม่ได้ สุดท้ายเรื่องราวยังจบลงเงียบๆ อีก ปูมหลังของซ่างซินคนนี้คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

 

 

กระดูกเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ เธอจะกล้าเคี้ยวได้อย่างไร

 

 

ครืด ครืด… โทรศัพท์มือถือส่งเสียงขึ้นมาทันใด

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ พบว่าเป็นเบอร์บ้านแปลกหน้า แต่ก็กดรับด้วยใจกังขา

 

 

วินาทีต่อมา เธอได้ยินเสียงเล็กจ้อยลอดมาจากในนั้น “พี่สาวคนสวย ตะไมพี่ไม่กลับมากินข้าวล่ะ”

 

 

“…” เธอนึกขึ้นได้ทันที ก่อนหน้านี้ดีใจเกินไปที่ได้รับโทรศัพท์จากถานเปิงเปิง ลืมบอกเสี่ยวลิ่วลิ่วไปเลย ว่าวันนี้เธอกลับไปกินข้าวกับเด็กหญิงไม่ได้

 

 

เสี่ยวลิ่วลิ่วรอเธออยู่ตลอดเลยเหรอเนี่ย

 

 

อย่างนั้นอวี๋เยว่หาน…

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่หนาวสันหลังวาบ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “ที่รัก ฉันกินอิ่มแล้ว ต้องกลับไปดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่วที่คฤหาสน์ตระกูลอวี๋แล้ว ไว้วันหลังนัดกันใหม่นะ”

 

 

ครั้นพูดจบก็ถือกระเป๋าวิ่งออกจากร้านอาหารไป

 

 

เธอเรียกรถแท็กซี่กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอวี๋อย่างรวดเร็ว

 

 

อีกเดี๋ยวถ้าเจออวี๋เยว่หานจะอธิบายกับเขาเรื่องที่เธอลืมกินข้าวเป็นเพื่อนเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างไรดี เธอคิดแทบล้มประดาตายมาตลอดทาง

 

 

แต่เธอยังไม่ทันคิดเหตุผลได้ ตัวเองก็มาถึงคฤหาสน์ตระกูลอวี๋แล้ว

 

 

เธอเพิ่งเดินมาถึงเขตคฤหาสน์ ก็เห็นเงาร่างสูงส่งยืนอยู่ในห้องรับแขก

 

 

เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆ กางเกงสแล็กสีขาว ขับรูปร่างของเขาให้ดูสูงโปร่งเข้าไปใหญ่

 

 

ด้านหลังของเขาแผ่ความรู้สึกเหินห่างห้ามใครเข้าใกล้ออกมา

 

 

ตอนที่เธอกำลังคิดว่าต้องเข้าไปตอนนี้หรือไม่ เขาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันมามองเธอในทันที…