เล่มที่ 1 บทที่ 29 ไม่อาจลืมไปชั่วชีวิตจริงๆ

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซี่ยยวี่หลัวตื่นเต้นเล็กน้อย

เซียวจื่อเมิ่งคีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งตัว ไม่มีแก่ใจจะรอให้มันเย็น กัดหนึ่งคำ แผ่นเกี๊ยวเหนียวนุ่ม ประกอบกับไส้หมูใส่ผักจี้ช่าย กลิ่นหอมของเนื้อหมูและผักทำให้เซียวจื่อเมิ่งไม่มีแก่ใจจะสนใจความร้อน กินเกี๊ยวที่เหลืออีกครึ่งตัวลงไปทั้งหมด จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางชอบอกชอบใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ เกี๊ยวอร่อยมาก อร่อยมาก!”

เมื่อเซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าเด็กคนหนึ่งชอบ ค่อยเบาใจลงเล็กน้อย “อร่อยก็ดี แต่ต้องระวังร้อน เกี๊ยวที่เพิ่งตักขึ้นจากหม้อ อาจลวกปากได้”

จากนั้นจึงทอดสายตามองไปทางเซียวจื่อเซวียนโดยทำทีราวกับไม่ได้ตั้งใจ เซียวจื่อเซวียนไม่ได้รีบกินอย่างอดรนทนไม่ไหวเหมือนน้องสาว

เขาคีบขึ้นมาหนึ่งตัว หลังจากเป่าจนเย็น จึงกัดหนึ่งคำ

เซี่ยยวี่หลัวหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ หัวใจเต้นแรงจนดังตึกตักๆ นางจ้องมองเซียวจื่อเซวียน รู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนอยู่ต่อหน้าแฟนคลับหลายแสนผ่านหน้าจอเสียอีก

เนื้อหมูสามชั้นที่มีชั้นเนื้อสลับกับมันหมู ไม่แห้งและไม่มันเกินไป ประกอบกับกลิ่นหอมของผักจี้ช่าย รวมถึงแผนเกี๊ยวเหนียวนุ่ม

เซียวจื่อเซวียนกินไปหนึ่งตัว ยังไม่แสดงความคิดเห็น เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่เร่งเร้า ทำทีเป็นง่วนกับงานที่ทำอยู่ แต่ความจริง นางกำลังทำหูผึ่งรอฟังความคิดเห็นของเซียวจื่อเซวียนอยู่

แต่เซียวจื่อเซวียนในตอนนี้ กลับรู้สึกตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร

นับตั้งแต่ตอนที่บิดามารดาจากโลกนี้ไป เขาก็ไม่เคยได้กินเกี๊ยวอีก เมื่อก่อนตอนพวกท่านยังอยู่ ตอนปีใหม่ ท่านพ่อท่านแม่จะห่อเกี๊ยว ตอนนั้นรู้สึกว่าเกี๊ยวที่ท่านแม่ห่อเป็นอาหารโอชารส ทว่า เมื่อได้กินเกี๊ยวที่เซี่ยยวี่หลัวทำในวันนี้ อร่อยจนเขาจำรสชาติเกี๊ยวที่ท่านแม่ทำไม่ได้แล้ว

ไม่อาจลืมไปชั่วชีวิตจริงๆ

เซียวจื่อเซวียนวางตะเกียบลง

เซี่ยยวี่หลัวมือลื่นทันที ไส้ของเกี๊ยวที่ห่ออยู่เกือบทะลักออกมา “เป็นอะไรไป ไม่อร่อยหรือ?”

น้ำเสียงของนางสั่นระริกเล็กน้อย นางรู้สึกตื่นเต้น

หลอกแฟนคลับหลายแสนคนมาได้ แต่หลอกเด็กตัวเล็กแค่นี้ไม่ได้?

เซี่ยยวี่หลัวนะเซี่ยยวี่หลัว เจ้ามีความกล้าแค่นี้เองหรือ

เซียวจื่อเซวียนเงยหน้า มองเซี่ยยวี่หลัวทีหนึ่ง เมื่อก่อนเขามองเซี่ยยวี่หลัวด้วยแววตาเรียบเฉยมาตลอด แฝงเร้นด้วยความหวั่นเกรงและหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ครั้งนี้…

เขานั่งอยู่ด้านหลังเตาไฟ แสงค่อนข้างมืด มองเห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก

แต่เขาแย้มรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวทั้งปาก ยิ้มพร้อมกล่าว “อร่อย!” แววตาของเขาฉายประกายรู้สึกผิดเล็กน้อย ทว่า เซี่ยยวี่หลัวไม่ทันสังเกตเห็น

นางผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก “อร่อยก็ดี กินมากหน่อย หากไม่พอเราค่อยต้มเพิ่มอีก”

ไม่ว่าอย่างไร ต่อไปเด็กๆ ต้องได้กินอิ่มทุกวัน

เซี่ยยวี่หลัวรีดแผ่นเกี๊ยวและห่อเกี๊ยวต่อด้วยความดีใจ แม้ว่านางจะไม่ได้กินเกี๊ยวสักตัวเดียว แต่ภายในใจรู้สึกดียิ่งนัก เห็นเด็กสองคนนี้กิน นางรู้สึกดีกว่าได้กินเองเสียอีก

ไม่รู้ว่าเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งซุบซิบอะไรกันอยู่ด้านหลัง ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวจื่อเมิ่งยกเกี๊ยวชามหนึ่งมา กล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ นี่เป็นส่วนที่เรายังไม่ได้กิน ท่านกินด้วยกันสิเจ้าคะ”

เด็กสองคนกินเกี๊ยวแค่คนละหนึ่งตัว ก็แบ่งเกี๊ยวในชามตัวเองออกมาคนละกึ่งหนึ่ง ในชามของเซี่ยยวี่หลัวมีเกี๊ยวเต็มชาม ส่วนในชามของเด็กสองคนกลับหายไปกึ่งหนึ่ง เหลือเพียงคนละครึ่งชาม

เซี่ยยวี่หลัวย่อตัวลง มองเซียวจื่อเมิ่งที่ว่าง่ายและรู้ความ รู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย “ทำไมถึงให้พี่สะใภ้กินมากขนาดนี้?”

เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส “พี่รองบอกว่า พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ต้องกินถึงจะมีแรงเจ้าค่ะ!”

เซี่ยยวี่หลัวหันมองไปด้านหลังเตาไฟ นางเห็นแววตาของเซียวจื่อเซวียนที่หลบไม่ทันเข้าพอดี จึงแย้มรอยยิ้มให้เขา

เซียวจื่อเซวียนรีบก้มหน้าลง

สุดท้ายเซี่ยยวี่หลัวก็คืนเกี๊ยวให้เด็กสองคนคนละสองตัว ชามใหญ่ขนาดนี้ กระเพาะนางเล็ก อย่างไรเสียก็กินไม่หมด

แม้ว่าเกี๊ยวจะมีแต่เกลือ แต่ก็หอมเสียยิ่งกว่าอะไร อาจเพราะเนื้อหมูและผักจี้ช่ายในตอนนี้ล้วนเป็นของจากธรรมชาติ ทั้งยังมีน้ำจากแม่น้ำที่ใสสะอาดและเตาไฟที่ใช้ฟืนในการเผา ไม่มีกลิ่นจากสารเคมี กลับคงไว้ซึ่งกลิ่นหอมหวนดั้งเดิม

เกี๊ยวมื้อนี้ ไม่ใช่แค่เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งที่กินแล้วไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต แม้แต่เซี่ยยวี่หลัวก็กินจนไม่อาจลืมไปทั้งชีวิต

เด็กสองคนล้วนมีจิตใจดี ภพก่อนมีจุดจบน่าเวทนา ภพนี้ นางต้องดูแลเด็กสองคนให้ดี ให้พวกเขาเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุข มีชีวิตอย่างปลอดภัยและราบรื่นไปชั่วชีวิต

หลังจากเซี่ยยวี่หลัวกินเกี๊ยวเสร็จ ก็ห่อเกี๊ยวอีกสามสิบถึงสี่สิบตัวจึงหยุด

ยังดีที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ ด้านนอกยังหนาวเย็น เซี่ยยวี่หลัววางเกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้วไว้ภายในห้องครัว วางกระจายบนแผ่นไม้สะอาด ก่อนใช้ฝาครอบปิดไว้ ตอนเย็นไม่ได้กินเกี๊ยว เซี่ยยวี่หลัวหั่นหมูตุ๋นน้ำแดง เคี่ยวจนได้น้ำมันหมูชามใหญ่ ส่วนที่เหลือนำมาทำหมูตุ๋นน้ำแดงทั้งหมด

หั่นหมูเนื้อแดงกึ่งหนึ่ง สับละเอียดแล้วผสมน้ำ เติมเกลือเพิ่มรสชาติ เติมน้ำในหม้อด้านใน วางตะแกรงอันหนึ่งไว้ในหม้อเพื่อตุ๋น รอจนน้ำด้านในเดือด เซี่ยยวี่หลัวนำเข่งไม้ไผ่มาวางไว้ในหม้อ ปูผ้าขาวบางหนึ่งชั้น นับเกี๊ยวที่ห่อไว้ยี่สิบตัว วางไว้ในเข่งเพื่อนึ่ง

เมื่อนึ่งเกี๊ยวจนสุก ซุปหมูสับก็เสร็จแล้วเหมือนกัน

ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจุดไฟภายในห้องครัว

วางเกี๊ยวที่นึ่งเสร็จแล้วไว้บนจาน เซียวจื่อเซวียนยกเข้าไปในห้อง เซี่ยยวี่หลัวก็ยกซุปหมูสับเข้าไปในห้อง แต่ละคนมีซุปหนึ่งชาม และหมูสับหนึ่งชิ้น กินเกี๊ยวอีกไม่กี่ตัว เซี่ยยวี่หลัวก็อิ่มแล้ว

เซียวจื่อเมิ่งก็กินได้ไม่มาก ถึงอย่างไรตอนบ่ายก็กินเกี๊ยวไปเจ็ดถึงแปดตัวแล้ว หลังจากกินหมูสับและดื่มซุป กินเกี๊ยวอีกไม่กี่ตัวก็บอกว่าแน่นจนทนไม่ไหวแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวยกเกี๊ยวที่เหลือทั้งหมดให้เซียวจื่อเซวียน ให้เขาจัดการเสีย

เซียวจื่อเซวียนเป็นเด็กผู้ชาย ทั้งยังอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต จึงกินได้เยอะ และย่อยได้เร็ว เกี๊ยวครึ่งชามใหญ่ที่กินไปตอนบ่าย ตอนนี้ก็ย่อยเกือบหมดแล้ว

มื้อเย็น เขาดื่มซุปหนึ่งชาม กินหมูสับหนึ่งชิ้น จากนั้นกินเกี๊ยวอีกสิบกว่าตัว จึงวางชามและตะเกียบลง

เขาก็กินอิ่มแล้ว

เพียงแต่ หลังจากเขากินเสร็จ ก็มีความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ

หลังจากกินอาหาร เซียวจื่อเซวียนยกชามที่ใช้แล้วเข้าไปในครัว เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวคิดจะลงมือเอง แต่เด็กคนนั้นไม่ยอม เซี่ยยวี่หลัวได้แต่ปล่อยไป

เซียวจื่อเซวียนล้างชามอยู่ในห้องครัว เซียวจื่อเมิ่งเก็บโต๊ะกินข้าวกับเซี่ยยวี่หลัว ก่อนตามเซียวจื่อเซวียนเข้าไปในครัว

เซียวจื่อเมิ่งยืนอยู่ตรงหน้าเตาปรุงอาหาร มองดูพี่รองก้มตัวล้างชาม เซียวจื่อเมิ่งยิ้มจนคิ้วโก่งโค้งงาม “พี่รอง หากพี่ใหญ่รู้ว่าเรากินอิ่มขนาดนี้ทุกวัน ต้องดีใจแน่”

มือของเซียวจื่อเซวียนที่กำลังล้างชามหยุดชะงักไป พี่ใหญ่ต้องดีใจแน่

เพียงแต่…

เซียวจื่อเซวียนยืนตัวตรง ไม่ได้มองใบหน้าของเซียวจื่อเมิ่งที่ยิ้มแย้มเบิกบาน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเรากินอิ่มแล้ว มีทั้งเนื้อหมูมีทั้งเกี๊ยว แต่พี่ใหญ่ล่ะ?”

ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ที่ไหน อยู่สบายหรือไม่?

กินข้าวที่ไหน เขากินอิ่มหรือไม่?

เหนื่อยหรือไม่?

ลำบากหรือไม่?

เซียวจื่อเมิ่งไม่เข้าใจเรื่องที่เซียวจื่อเซวียนเป็นห่วง นางเอ่ยถามเสียงใส “พี่รอง ท่านว่าอะไรนะ? พี่ใหญ่ทำไมหรือ?”

บรรยากาศพลันเงียบสงัด แฝงเร้นด้วยความกดดันที่ยากจะบรรยาย