เล่มที่ 1 บทที่ 30 วานรตัวนั้นจะมีชีวิตอมตะหรือไม่

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวจื่อเซวียนหันกลับมา ยิ้มพร้อมกล่าว “ไม่มีอะไร”

เขากลับไปล้างชามต่อ แต่หยาดน้ำตาหนึ่งหยดกลับไหลลู่ลงข้างแก้ม หยดลงไปในกระทะเหล็ก เขารีบหันหลัง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบน้ำตา

หลังจากกินอาหาร เซี่ยยวี่หลัวพักผ่อนครู่หนึ่ง จึงพาเซียวจื่อเมิ่งไปยกน้ำร้อนสะอาดมา จะอาบน้ำให้เซียวจื่อเมิ่ง

เซียวจื่อเมิ่งอิดออดไม่ยอมอาบ “พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อวานก่อนข้าเพิ่งอาบไป”

เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนอาบให้

เซี่ยยวี่หลัวไม่ยอม จับนางมาถอดเสื้อผ้า ระหว่างนั้นก็กล่าว “หลายวันมานี้อากาศดี ออกไปวิ่งเล่นครู่หนึ่งเหงื่อก็ออกเต็มตัวแล้ว เหงื่อเปียกชื้นเนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะจะสบายตัวหรือ? อาบน้ำให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดถึงจะนอนหลับสบาย”

เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนรักสะอาด

อย่าว่าแต่วันที่อากาศแบบนี้เลย ต่อให้เป็นฤดูหนาวอุณหภูมิติดลบหลายองศาและมีหิมะตกหนัก นางก็ต้องอาบน้ำทุกวัน หากไม่อาบน้ำจะไม่สบายตัว

เซี่ยยวี่หลัวผสมน้ำอุ่นเสร็จแล้ว หลังจากถอดเสื้อผ้าให้เซียวจื่อเมิ่งจนเปลือยเปล่า จึงจับนางเข้าไปในอ่างไม้ ภายในห้องจุดเตาไฟไว้ จุดไว้ตั้งแต่ก่อนกินอาหาร ภายในห้องอุ่นสบาย เซี่ยยวี่หลัวกลัวเซียวจื่อเมิ่งจะหนาว รีบอาบน้ำให้นาง จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ซับน้ำให้นางจนแห้ง ก่อนจะวางนางลงใต้ผ้านวมบนที่นอน

ใต้ผ้านวมวางโถน้ำร้อนไว้นานแล้ว ด้านในอบอุ่นยิ่งนัก เซียวจื่อเมิ่งนอนอยู่ด้านในด้วยความสบาย นอนตะแคงเห็นเซี่ยยวี่หลัวกำลังซักเสื้อให้นางด้วยน้ำร้อนที่นางใช้อาบเมื่อครู่

ภายในห้องอบอุ่นมาก เซียวจื่อเมิ่งเห็นว่าเมื่อครู่นี้พี่สะใภ้ใหญ่อาบน้ำให้นาง หน้าผากมีเหงื่อซึมชื้น ภายใต้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมัน เซียวจื่อเมิ่งมองเซี่ยยวี่หลัว ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยไปชั่วขณะ

เซี่ยยวี่หลัวกำลังซักเสื้อผ้า ใช้มือบิดเสื้อผ้า เดี๋ยวใช้น้ำสะอาดล้างอีกรอบก็เสร็จแล้ว นางเพิ่งบิดผ้าเสร็จ ยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก็มีเสียงสะอื้นดังแว่วเข้ามาใสโสตประสาท

เซี่ยยวี่หลัวหันมองบนเตียง คนตัวเล็กแอบอยู่ใต้ผ้านวม เสียงดังมาจากใต้ผ้านวมนั่นเอง

นางนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ รีบมาดูด้วยความวิตก “จื่อเมิ่ง เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหน? ทำไมถึงร้องไห้?”

ร่างเล็กใต้ผ้านวมสั่นเทิ้มไม่หยุด เซี่ยยวี่หลัวเปิดผ้านวมเพื่อดูนาง ภายใต้ผ้านวมแสนอบอุ่น แขนเล็กสองข้างยื่นออกมา โอบรอบคอเซี่ยยวี่หลัวไว้ทันที ศีรษะเล็กพักพิงอยู่บนไหล่เซี่ยยวี่หลัว ร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

เซี่ยยวี่หลัวกลัวว่านางจะรู้สึกน้อยใจอะไร รีบเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปจื่อเมิ่ง เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ บอกพี่สะใภ้ใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”

เซียวจื่อเมิ่งพิงตรงช่วงลำคอเซี่ยยวี่หลัวและร้องไห้ หยาดน้ำตาหยดใหญ่ไหลรินลงตรงแอ่งไหปลาร้าของเซี่ยยวี่หลัว เสียงร่ำไห้และหยาดน้ำตาทำให้เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกปวดใจนัก นางโอบกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้แน่น ตบหลังนางเบาๆ ไม่หยุด ปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จื่อเมิ่งไม่ร้อง มีอะไรบอกพี่สะใภ้ใหญ่ได้ ไม่ร้องไห้นะ!”

กล่าวถึงประโยคหลัง น้ำเสียงของนางก็เริ่มสะอื้น

นางรู้สึกอึดอัดมาก นางกลัวมาก

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นเด็กสองคนนี้ ก็คิดถึงชะตากรรมอันน่าอนาถของพวกเขาที่เขียนไว้ในหนังสือ เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเหมือนโดนคนขย้ำหัวใจ ภายในใจนางเหมือนโดนดึงทึ้งจนเจ็บปวด

อึดอัดเหลือเกิน!

เซียวจื่อเมิ่งสะอื้นไห้ “เสี่ยวฮวาบอกว่า ตอนนางอยู่บ้าน ท่านแม่ของนางเป็นคนอาบน้ำสระผมให้นาง แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่าท่านแม่เคยอาบน้ำสระผมให้ข้าหรือไม่ ฮือๆ… เสี่ยวฮวามักจะหัวเราะเยาะ บอกว่าข้า บอกว่าข้าเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่…”

เซี่ยยวี่หลัวโอบกอดนางไว้ในอ้อมอก

รู้สึกปวดใจจนทนไม่ไหว

ทำไมเด็กคนนี้ถึงน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้

เซี่ยยวี่หลัวกอดนางไว้ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เด็กโง่ ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะพวกท่านไปอยู่อีกสถานที่หนึ่ง แต่พวกท่านจะมองเห็นพวกเรา เราต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พวกท่านถึงจะดีใจ ต่อไปเจ้าก็คิดเสียว่าข้าเป็นมารดาของเจ้า ดีหรือไม่? พี่สะใภ้ใหญ่จะเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ ต่อไปจะเบิกตาให้กว้างมองหาสามีที่ดีให้เจ้า เฝ้าดูเจ้าแต่งงานมีลูก เฝ้าดูเจ้าอยู่อย่างมีความสุข เข้าใจหรือไม่?”

เซียวจื่อเมิ่งมุดอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยยวี่หลัว แหงนหน้าเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้นต่อไป ข้าสามารถบอกเสี่ยวฮวาได้หรือไม่ ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ก็คือท่านแม่ของข้า?”

 “ได้แน่นอน!” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความหนักแน่น “พี่สะใภ้ใหญ่เสมือนมารดา ต่อไปข้าก็คือมารดาของเจ้าและพี่รอง เข้าใจหรือไม่?”

เซียวจื่อเมิ่งแย้มรอยยิ้มอ่อนหวาน เซี่ยยวี่หลัวกอดนางไว้ ใช้ผ้านวมโอบนางไว้แน่น เมื่อเห็นนางแย้มรอยยิ้ม ภายในใจเซี่ยยวี่หลัวก็เหมือนมีดอกไม้เบ่งบาน

เด็กคนนี้ นางจะให้เด็กคนนี้มีชีวิตที่ราบรื่น ปลอดภัย และสงบสุขไปชั่วชีวิต

 “เช่นนั้นข้าก็มีท่านแม่แล้ว ต่อไปหากเสี่ยวฮวาหัวเราะเยาะข้าอีก ข้าก็สามารถบอกนางว่า พี่สะใภ้ใหญ่คือท่านแม่ของข้า!”

 “อือ! ข้าก็คือแม่ของเจ้า!” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างมั่นใจและเด็ดขาด

น้ำเสียงหนักแน่น ทั้งยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนไร้ขีดจำกัด

เซียวจื่อเซวียนที่วิ่งมาเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ภายในห้อง สุดท้ายก็ไม่ได้ผลักเปิดประตูเข้าไป

เสียงดีอกดีใจของเซียวจื่อเมิ่งดังขึ้นจากด้านในเป็นระยะ นางไม่เคยดีใจขนาดนี้มาก่อน

เซียวจื่อเซวียนยืนหลังพิงกำแพง แหงนหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า เผยรอยยิ้มบางที่มุมปาก เพียงแต่ ไม่นาน สีหน้าของเขาก็มืดหม่น

เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้ว่าเซียวจื่อเซวียนอยู่ด้านนอก หลังจากนางปลอบเซียวจื่อเมิ่งเสร็จ จึงจัดการน้ำสกปรกภายในห้อง นางเองก็อาบน้ำจนเสร็จ แล้วจึงขึ้นเตียงไป

คนตัวเล็กที่อยู่ใต้ผ้านวมเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวมาแล้ว รีบถอยหลังไป เซี่ยยวี่หลัวนึกว่านางกลัวตัวเองอีกแล้ว แต่หลังจากขึ้นเตียง เมื่อพบว่าตรงที่ตัวเองนอนอุ่นสบาย เซี่ยยวี่หลัวจึงเข้าใจ

เด็กคนนี้กำลังอุ่นเตียงให้นาง

เด็กอายุแค่หกขวบ ทำไมถึงมีจิตใจอ่อนโยนเช่นนี้!

เซี่ยยวี่หลัวยื่นมือไปดึงเซียวจื่อเมิ่งให้ขยับเข้ามาใกล้ตัวเอง ทั้งสองคนแนบชิดกัน เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “จื่อเมิ่ง พี่สะใภ้ใหญ่จะเล่านิทานให้เจ้าฟัง”

เด็กน่ารักขนาดนี้ ทั้งว่าง่ายและรู้ความ เหตุใดเซี่ยยวี่หลัวในนิยายถึงทารุณพวกเขาได้ลงคอ!

เซียวจื่อเมิ่งตาลุกวาวเป็นประกาย พยักหน้าราวกับลูกไก่จิกเมล็ดข้าวก็มิปาน “ดีเจ้าค่ะๆ”

นางไม่เคยฟังนิทานมาก่อน มีเพียงบางครั้งที่ได้ยินพี่ใหญ่บรรยายบทเรียนให้พี่รอง พี่ใหญ่จะเล่านิทานสั้นโดยอิงตามตำรา คนที่เซียวจื่อเมิ่งเลื่อมใสที่สุด ก็คือพี่ใหญ่

ทว่า…

จนถึงตอนที่เซี่ยยวี่หลัวกล่าวว่า “หากอยากรู้ว่าเรื่องราวต่อจากนั้นเป็นอย่างไร มาติดตามกันต่อในคืนวันพรุ่งนี้” เซียวจื่อเมิ่งกะพริบตาปริบๆ ดวงตาฉายประกายแวววาว จับแขนเซี่ยยวี่หลัวไว้ “พี่สะใภ้ใหญ่ แล้วในภายหลังวานรตัวนั้นได้ฝึกวิชาอมตะหรือไม่? มหาสมุทรกว้างใหญ่ขนาดนั้น เขาอยู่กลางมหาสมุทรเพียงลำพัง ไม่กลัวอย่างนั้นหรือ? หากเขาฝึกวิชาอมตะสำเร็จ แล้ววานรตัวอื่นๆ ของเขาล่ะ? จะเป็นอมตะเหมือนเขาหรือเปล่า?”

เซี่ยยวี่หลัวเล่านิทานเรื่อง ซีโหยวจี้ [1]ให้นางฟัง เด็กคนนี้ถามคำถามต่อเนื่องหลายข้อ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเซียวจื่อเมิ่งชอบฟังนิทานเรื่องนี้

นางกะพริบตาคู่โตสีดำแจ่มชัด ใบหน้าบ่งบอกความสงสัยและใคร่รู้

เมื่อเซี่ยยวี่หลัวเห็นดวงตาสีดำแจ่มชัดนั่น ภายในใจก็รู้สึกอ่อนยวบ “จื่อเมิ่งชอบฟังนิทานเรื่องนี้หรือไม่?”

[1] ซีโหยวจี้ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ไซอิ๋ว หนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีน