บทที่ 36 จับผิด

จางซิ่วเอ๋อทำหน้าอย่างนึกหวาดกลัว “ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะ แค่กลัวว่าย่าจะด่าข้าน่ะ….”

จางชุนเถาถอนหายใจ เป็นอันว่าเข้าใจจางซิ่วเอ๋อ

ตอนนี้พวกนางสองคนไม่กลัวแม่เฒ่าจางแล้ว แต่สมัยก่อนตอนที่บ้านตระกูลจาง พวกนางเห็นแม่เฒ่าจางเหมือนหนูเห็นแมว โดยเฉพาะจางซิ่วเอ๋อที่หวาดกลัวจนต้องเผาหนังสือก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

จางชุนเถาบ่นเสียดายอยู่พักหนึ่งก็กลับไปอยู่ในห้วงแห่งความดีใจที่จับปลาได้

จางซิ่วเอ๋อกวาดตามองปลาและเอ่ยขึ้น “ปลานี่ตายแล้ว เอาไปขายคงไม่ได้ราคา พวกเรากินกันเองเถอะ”

จางชุนเถาทำหน้าเสียดาย ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ ถ้าขายคงได้เงินไม่น้อย กลับทำได้แค่ต้องกินเอง…..น่าเสียดายจริง ๆ

แต่จางชุนเถาก็ไม่มีวิธีอื่น จึงพยักหน้าและเอ่ย “งั้นพรุ่งนี้ตุ๋น แล้วเรียกซานหยากับท่านแม่มากินด้วยไหมเจ้าคะ”

จางซิ่วเอ๋อยิ้มและพยักหน้า “รู้แล้วล่ะ!”

เช้าวันรุ่งขึ้น จางซิ่วเอ๋อก็ตื่นแต่เช้า ค้นเอาปลาที่ตัวใหญ่หน่อยออกมา 15 ตัว ใส่ลงถังไม้ทั้งหมด แล้วเอาถังไม้ใส่ในตะกร้าสาน ซึ่งโชคดีที่ตะกร้าสานใบใหญ่กว่า

นางเอาผักป่าวางทับไว้ด้านบนด้วยและออกจากบ้าน

แบกของมากขนาดนี้ หากไปตลาดด้วยการเดินเท้าคงจะเป็นไปไม่ได้

จางซิ่วเอ๋อจึงกัดฟันหยิบเหรียญทองแดงออกมา 2 เหรียญ หวังจะเรียกรถลากออกไป

ใต้ต้นหวายฉู่ใหญ่นั่นมีเกวียนวัวคันนึงจอดไว้ คนลากเกวียนเป็นชายแก่ไว้เคราแพะ ชายแก่คนนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชิงสือเพียงลำพัง ปกติก็หากินด้วยการลากเกวียน

ทุกคนเรียกเขาว่าเฒ่าหลี่

จางซิ่วเอ๋อมาถึงก็ทักทายอย่างมีมารยาท “ท่านปู่หลี่เจ้าคะ”

เฒ่าหลี่มองจางซิ่วเอ๋อและพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “จะเข้าเมืองหรือ?”

จางซิ่วเอ๋อยิ้มและยื่นเหรียญให้ “เข้าเมืองเจ้าค่ะ”

เวลานี้ตรงนั้นมีคนอยู่ไม่น้อย ทุกคนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างอยากรู้อยากเห็น เห็นได้ชัดว่าแปลกใจกับเรื่องที่จางซิ่วเอ๋อมีเงินนั่งเกวียนเทียมวัวมาก

จางซิ่วเอ๋อทำเป็นไม่รู้สึกถึงสายตาประหลาดใจของคนเหล่านี้

เฒ่าหลี่ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็มัดเกวียนเสร็จ ให้ทุกคนขึ้นไปและลากเข้าไปในเมือง

“ซิ่วเอ๋อ เจ้าเอาอะไรมาด้วยล่ะ” ในที่สุดก็มีคนนึงเอ่ยถามเพราะทนไม่ไหว

จางซิ่วเอ๋อมองคน ๆ นั้น นางเป็นสตรีอายุ 30 ปีนิด ๆ สวมชุดกระโปรงที่ซักจนสีซีด แต่ไม่มีรอยปะบนชุด ดูออกว่าคน ๆ นี้ไม่ได้รวยมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นยากจนนัก

แต่จางซิ่วเอ๋อไม่รู้จริง ๆ ว่าคน ๆ นี้ชื่ออะไร เวลานี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเรียกอีกฝ่ายอย่างไร จึงได้แต่พูดว่า “นี่เป็นพวกผักป่า ข้าว่าจะเอาไปขายเจ้าค่ะ”

สตรีอีกคนบนเกวียนพูดขึ้นมา ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ “ผักป่าตะกร้าเดียวจะขายได้สักเท่าไหร่เชียว โชคไม่ดีต้นเดียวก็ขายไม่ได้ ยังไม่ได้ค่าเกวียนคืนเลย”

จางซิ่วเอ๋อสัมผัสได้ถึงความแดกดันในน้ำเสียงของคน ๆ นี้ “เมื่อวานข้าฝ่าฝนไปขุดผักป่า ไม่ทันระวังเลยล้มขาพลิก ชุนเถาเป็นไข้นิดหน่อย ข้าจึงตัดสินใจจะไปซื้อยาในตัวเมือง จะให้เดินไปคงไม่ได้ แต่จะไปมือเปล่าก็ไม่ได้ เลยเอาผักป่าพวกนี้มาขายด้วย หวังว่าจะหาค่าเกวียนได้น่ะเจ้าค่ะ”

ทุกคนได้ฟัง สายตาที่มองจางซิ่วเอ๋อก็ไม่เหมือนเดิมในบัดดล

โอ้ ตอนแรกก็นึกว่าจางซิ่วเอ๋อเป็นพวกละเลงเงินเสียอีก

แต่พอได้ยินแบบนี้ ก็รู้สึกว่าอย่างไรเสียจางซิ่วเอ๋อก็ต้องเข้าเมือง บาดเจ็บอย่างนี้อย่างไรก็ต้องนั่งเกวียน แต่ด้วยความเป็นคนมัธยัสถ์ นางจึงเอาผักป่าไปด้วยหวังจะหาค่ารถคืน

หายากจริง ๆ!

ประโยคเดียวของจางซิ่วเอ๋อก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของนางในใจทุกคน

ท่านป้าที่พูดจาแดกดันเมื่อครู่ก็พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ต่อ “เจ้าพูดเพราะกว่าร้องเพลงอีก”

จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง แสดงถึงความไม่พอใจของตัวเอง

พอเห็นบรรยากาศบนเกวียนเริ่มตึงเครียด ก็มีผู้หนึ่งคุยกับท่านป้าคนนั้น “น้องสวี่จ๊ะ อวิ๋นซานของบ้านเจ้าอายุก็ไม่น้อยแล้วนะ ใกล้จะได้แต่งงานแล้วใช่หรือไม่?”

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็รู้ฐานะของท่านป้าผู้นี้ในทันที นางเป็นแม่ของสวี่อวิ๋นซาน*นี่เอง! น่าจะมีชื่อว่าหลิน สวี่หลินซื่อ

*สวี่อวิ๋นซาน ชื่อเดิมคือ สวี่หวินซาน

นางเข้าใจแล้วว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงพูดจาทิ่มแทงเหลือเกิน คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าสวี่อวิ๋นซานชอบนาง แต่แม่หลินต้องรู้อยู่แล้ว! ไม่แน่ว่าสวี่อวิ๋นซานอาจจะเปิดอกกับแม่ตัวเองไปนานแล้วด้วยก็ได้

ส่วนแม่หลินไม่ชอบนาง จึงพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้!

จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง แม่หลินไม่ชอบนางอย่างนั้นหรือ นางเองก็ไม่ได้อยากไปเป็นลูกสะใภ้ของแม่หลินเสียหน่อย!

เมื่อก่อนนางก็รู้อยู่แล้วว่าระหว่างตัวเองกับสวี่อวิ๋นซานนั้นคงเป็นไปไม่ได้ พอตอนนี้ได้เห็นแม่หลินก็รู้ว่ายิ่งเป็นไปไม่ได้ มีแม่สามีแบบนี้วันเวลาข้างหน้าจะได้อยู่อย่างสงบสุขเหรอ ไม่แน่นางอาจจะต้องเป็นแม่โจวคนที่สอง!

แม่หลินได้ฟังก็ชำเลืองมองจางซิ่วเอ๋อ และพูดเหมือนจงใจ “พวกเจ้าก็รู้ ตอนที่ข้ารับหลีฮวามาเลี้ยงก็ตั้งใจว่าจะให้เป็นภรรยาอวิ๋นซาน เด็กสองคนนี้โตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ก็ต้องดีอยู่แล้ว…..”

“ที่ผ่านมาเด็กสองคนอายุยังน้อย ในเมื่อตอนนี้พวกเขาโตแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าก็ได้มากินเลี้ยงงานมงคลของอวิ๋นซานบ้านข้าแล้ว” คำพูดของแม่หลินมีความอวดเบ่งอยู่นิด ๆ

นางเพ่งมองจางซิ่วเอ๋อ นึกว่าแม่นางน้อยจะมีท่าทางเจ็บปวด

แต่ใครจะรู้ว่าจางซิ่วเอ๋อในตอนนี้นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่สิ นางน่าจะได้ยิน เพียงแต่ไม่ได้แยแสมากกว่า!

แม่หลินไม่พอใจนิดหน่อย

บุตรชายถึงกับยอมเถียงกับนางเพื่อจางซิ่วเอ๋อ แต่ดูจางซิ่วเอ๋อสิ อย่างกับไม่แยแสลูกชายนางเลยสักนิด เรื่องนี้ทำให้แม่หลินรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง วาจาของนางจึงทวีความไม่น่าฟังขึ้น “หลีฮวาบ้านข้า ข้าเลี้ยงดูมาอย่างหวงแหน ต่อให้ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ก็เสมือนลูกแท้ ๆ ไม่ใช่อะไรที่พวกดวงกินสามีเทียบได้หรอกนะ”

คำพูดของแม่หลินเจาะจงอย่างเห็นได้ชัด

ทุกคนทอดสายตาไปที่จางซิ่วเอ๋อ และมีความคิดมากมายในใจ

ทำไมแม่หลินต้องเอาหลีฮวากับจางซิ่วเอ๋อมาเปรียบเทียบกัน? หรือว่าจางซิ่วเอ๋ออยากแต่งงานกับสวี่อวิ๋นซาน? เหอะ ก็เป็นไปได้จริง ๆ นั่นแหละ อย่างไรเสียในหมู่บ้านชิงสือ สวี่อวิ๋นซานก็เป็นคนรุ่นหลังที่โดดเด่นเป็นอันดับต้น ๆ อยู่แล้ว

แต่จางซิ่วเอ๋อไม่เจียมตัวเกินไปรึเปล่า? ต่อให้ยังเป็นสาวในเรือนก็ได้แค่ฝัน

ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่เป็นแม่ม่ายเลย!

มีคนถึงกับคิดว่าจางซิ่วเอ๋อเคยยั่วสวี่อวิ๋นซานหรือเปล่า ถึงได้โดนแม่หลินหมายหัว?

ถึงอย่างไรแม่หลินก็ไม่ได้หมายหัวสาวคนอื่นในหมู่บ้านนี่

คนเป็นแม่ม่ายนี่มีเรื่องเยอะจริง ๆ โดยเฉพาะจางซิ่วเอ๋อที่ได้เป็นแม่ม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย สายตาที่ทุกคนมองจางซิ่วเอ๋อจึงบังเกิดความดูแคลนขึ้นมา

นึกว่าจะเป็นเด็กรู้หน้าที่ คิดไม่ถึงว่าเป็นพวกชอบยั่วผู้ชายเหมือนกัน

……………………………………………