บทที่ 37 ใส่ร้าย

เหอะ! ไม่ดูหน้าตาตัวเองเลย!

นอกจากจางซิ่วเอ๋อแล้ว ในหมู่บ้านชิงสือยังมีแม่ม่ายอีกคนหนึ่ง ตอนนี้อายุราว ๆ สามสิบ ผู้คนต่างเรียกกันว่าแม่ม่ายหลิว

สามีนางตายไปนานแล้ว เหลือเพียงนางเลี้ยงลูกคนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว

จะพูดถึงแม่ม่ายหลิวอย่างไรดีล่ะ? นางมากรักยิ่งนัก ข้องแวะกับบุรุษมากหน้าหลายตาในหมู่บ้าน

ดังนั้นทุกคนจึงเกลียดแม่ม่ายที่ชอบหมายปองบุรุษคนอื่นแบบนี้

มีใครในหมู่บ้านไม่รู้บ้าง ว่าหลีฮวาเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงให้เป็นภรรยาของสวี่อวิ๋นซาน

การที่จางซิ่วเอ๋อหมายปองสวี่อวิ๋นซาน ก็เหมือนกับหมายปองบุรุษที่มีภรรยาแล้วน่ะสิ

อายุน้อยเพียงเท่านี้ กลับเอาอย่างพฤติกรรมของแม่ม่ายหลิว จริง ๆ เลย….

ใครจะรับประกันได้ว่าวันหน้าจางซิ่วเอ๋อจะไม่ใช่แม่ม่ายหลิวอีกคน

ทุกคนคิดไปต่าง ๆ นานา คนที่จากตอนแรกเห็นใจจางซิ่วเอ๋อที่ต้องมาเป็นแม่ม่ายตอนอายุยังน้อย ก็เริ่มดูแคลนและระแวงจางซิ่วเอ๋อ

จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยขึ้น “ดวงข้ากินสามีก็จริง แต่ข้าก็ไม่ใช่พวกหมาแมว ที่ไปหมายปองคนที่ไม่ควรหมายปอง หวังว่าคนบางคนคงไม่ต้องมาดูถูกกัน ในขณะที่ทำลายชื่อเสียงคนอื่น จงช่วยนึกถึงชื่อเสียงบุตรชายตัวเองด้วย”

แม่หลินหน้าเสีย “จางซิ่วเอ๋อ! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย เจ้ายอมรับเองเลยรึ”

จางซิ่วเอ๋อมองแม่หลินอย่างขบขัน “ท่านป้าหลิน ข้าก็แค่แสดงความคิดเห็นของตัวเอง ไม่ได้เจาะจงใครเหมือนท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ!”

แม่หลินคิดไม่ถึงว่าจางซิ่วเอ่อจะมีฝีปากกล้าเช่นนี้ นางแค่นเสียง “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าหมายตาอวิ๋นซานของข้ามาตลอด วันนึ้ข้าจะพูดให้เจ้าเข้าใจชัดเจน อย่าว่าแต่ตอนนี้เจ้าเป็นแม่ม่ายเลย ต่อให้ไม่ใช่ ก็อย่าหวังว่าจะเข้าประตูตระกูลสวี่ของข้าได้!”

ทำไมแม่หลินถึงโมโหขนาดนี้น่ะหรือ?

ถ้าเป็นปกติ ถึงแม่หลินจะไม่ชอบจางซิ่วเอ๋อ แต่ก็ทนได้

แต่ใครใช้ให้วันนั้นสวี่อวิ๋นซานเห็นจางซิ่วเอ๋อลงจากเขา และทนไม่ได้ที่นึกได้ว่าจางซิ่วเอ๋ออาศัยอยู่ในบ้านผีสิง จนคิดว่าถ้าแต่งงานกับจางซิ่วเอ๋อให้นางเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว นางจะได้ไม่ต้องลำบาก

สวี่อวิ๋นซานจึงพูดเรื่องนี้กับแม่หลิน

แม่หลินจะยอมได้อย่างไร และพอหลีฮวารู้เข้า นางก็ร้องไห้โวยวายจะฆ่าตัวตาย

ที่แม่หลินเข้าเมืองในครั้งนี้ก็เพื่อไปซื้อยาให้สวี่อวิ๋นซานที่ป่วยนอนซม และหลีฮวาที่จะเป็นจะตาย

พอเห็นจางซิ่วเอ๋อ แม่หลินย่อมโมโห

จางซิ่วเอ่อไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่อให้รู้ นางก็ไม่ยอมให้แม่หลินดูถูกข่มเหงตัวเองเฉย ๆ เพราะเรื่องนี้หรอก!

จางซิ่วเอ๋อมองแม่หลินด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ท่านป้าหลิน อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีข้านะ ข้าจางซิ่วเอ๋อบอกตอนไหนว่าชอบสวี่อวิ๋นซาน? บอกตอนไหนว่าข้าอยากเข้าไปอยู่ในตระกูลสวี่?”

“วันนี้ข้าพูดไว้ตรงนี้เลย ถ้าข้าชอบสวี่อวิ๋นซาน ขอให้ฟ้าผ่าข้าตาย” จางซิ่วเอ๋อพูดเสียงเย็น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความดุดัน

ต่อให้เจ้าของร่างจะมีความรู้สึกดี ๆ ให้สวี่อวิ๋นซาน แต่ก็ไม่เกี่ยวกับนาง นางไม่มีทางชอบสวี่อวิ๋นซานเด็ดขาด!

คนที่นี่กลัวเทพยดาฟ้าดินอยู่ พอเห็นจางซิ่วเอ๋อสาบานถึงชีวิตขนาดนี้ก็ตกใจ หรือที่จางซิ่วเอ๋อพูดคือความจริง? แล้วนางถูกแม่หลินใส่ร้ายป้ายสี?

แต่แม่หลินจะสร้างเรื่องโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุได้อย่างไร?

ในตอนที่ทุกคนงงงวย ก็ได้ยินจางซิ่วเอ๋อพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าลูกชายท่านมาชอบข้าเองแล้วท่านเลยพาลมาหาเรื่องข้าหรอกหรือเจ้าคะ!”

คนบนเกวียนที่ได้ฟังก็ตกใจ หรือว่าสวี่อวิ๋นซานจะเป็นฝ่ายชอบจางซิ่วเอ๋อจริง ๆ

ถึงแม้ความเป็นไปได้ที่จางซิ่วเอ๋อชอบสวี่อวิ๋นซานจะมีมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ทางเดียว

คนเราความชอบไม่เหมือนกัน ไม่แน่สวี่อวิ๋นซานอาจจะเป็นฝ่ายไปพัวพันกับจางซิ่วเอ๋อเสียเอง

แม่หลินเห็นจางซิ่วเอ๋อเถียงตัวเองฉอด ๆ ก็ยิ่งโมโห “ลูกข้าน่ะเหรอชอบเจ้า ลูกข้าน่ะเหรอชอบนังสำส่อนอย่างเจ้า เจ้าน่ะสิมายั่วยวนลูกข้า”

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็เอ่ยเสียงเย็น “ข้าว่าท่านมีมารยาทหน่อยดีกว่า ข้าไปยั่วยวนลูกชายท่านตอนไหน?”

จางซิ่วเอ๋อโกรธขึ้นมาแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? จู่ ๆ นางก็มาเจอเรื่องไม่ดีแบบงง ๆ

ดูท่าฐานะแม่ม่ายในหมู่บ้านนี้จะไม่มีใครชอบจริง ๆ ด้วย

แม่หลินแค่นเสียง “ยั่วยวนรึเปล่า เจ้ารู้อยู่แก่ใจ”

“เหอะ ที่ท่านพูดก็ตลกดีนะ พูดไปเรื่อยไม่มีหลักฐานใด ๆ ก็จะสาดน้ำเสียใส่ข้ารึ?” จางซิ่วเอ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

พูดมาถึงตรงนี้จางซิ่วเอ๋อก็ชะงักไปนิดหน่อย มองแม่หลินด้วยหน้าตาอึ้ง ๆ “อ้า ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าทำไมท่านต้องหาเรื่องข้าขนาดนี้ ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมท่านถึงทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายชื่อเสียงข้า?”

“ทุกคนอยากรู้ไหมเจ้าคะว่าทำไมท่านป้าหลินถึงทำกับข้าแบบนี้” จางซิ่วเอ๋อถามเสียงดัง

จากนั้น ไม่รอให้มีคนถาม จางซิ่วเอ๋อก็คลี่ยิ้ม “สวี่อวิ๋นซานไม่ได้ชอบข้า และข้าก็ไม่ได้ไปยั่วสวี่อวิ๋นซาน แต่เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนักข้าได้ขึ้นเขาไปตัดหญ้า แล้วเห็นชายหญิงคู่หนึ่งในป่า….”

พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงจางซิ่วเอ๋อก็สื่อเป็นนัย “พวกท่านก็รู้ ข้าทำงานจนฟ้ามืดถึงได้กลับบ้านทุกวัน ตอนนั้นฟ้ามืดแล้ว บนเขาก็ไม่มีใคร ตอนข้าเห็นสองคนนี้ยังแปลกใจอยู่เลย ข้าจึงเข้าไปใกล้เพื่อจะได้มองเห็นชัด ๆ …..”

“แต่ตอนนั้นมืดเกินไป ข้าเห็นสองคนนั้นไม่ชัด เห็นแค่บุรุษผู้นั้นสวมชุดสีเทา ส่วนสตรีผู้นั้นรูปร่างคล้ายท่านป้าหลินอยู่นะเจ้าคะ” จางซิ่วเอ๋อพูดมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างมีความหมาย

“ตอนแรกข้าลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ พอวันนี้ท่านป้าหลินมาหาเรื่องข้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยข้าก็นึกออกแค่สาเหตุเดียว ท่านคงคิดว่าตอนนั้นข้ารู้ว่าเป็นท่าน เลยกลัวว่าข้าจะเอาไปพูด จึงทำลายชื่อเสียงข้า ถ้าชื่อเสียงข้าไม่ดี ต่อให้ข้าพูดอะไรก็ไม่มีคนเชื่อ” จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ

แม่นางน้อยบอกได้แม้กระทั่งว่าบุรุษผู้นั้นสวมชุดสีเทา ในหมู่บ้านชิงสือมีบุรุษสวมชุดสีเทาไม่น้อย แถมมีบุรุษจำนวนนึงที่ไม่ประพฤติตัวอยู่ในกฎในเกณฑ์ด้วย

เวลานี้มีคนบางคนคิดอย่างอดไม่ได้ว่าคนที่เล่นชู้กับแม่หลินจะเป็นสามีของตัวเองรึเปล่า

สายตาที่ทุกคนมองแม่หลินล้วนไม่เหมือนเดิม

แม่หลินโมโหจนพูดไม่ออก หน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่จางซิ่วเอ๋ออย่างเกรี้ยวกราด นางชี้นิ้วใส่จางซิ่วเอ๋อ ค้างไว้เนิ่นนานกว่าจะปรับอารมณ์ได้พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “เจ้าใส่ร้ายข้าชัด ๆ! เจ้าไปเห็นข้าตอนไหน?”

ชื่อเสียงเป็นเรื่องสำคัญมากในหมู่บ้านนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ แค่มีคนพูดถึงแบบนี้ก็ส่งผลต่อชื่อเสียงของตนแล้ว

จางซิ่วเอ๋อยังดีที่จริง ๆ แล้วเป็นคนยุคปัจจุบัน ต่อให้ใส่ใจเรื่องชื่อเสียง แต่ก็ไม่ถึงกับมีชีวิตต่อไปไม่ได้เพราะทุกคนว่าร้ายนาง

…………………………………………………