บทที่ 38 ไม่ใช่คนที่รังแกได้ง่าย ๆ
แต่แม่หลินไม่หมือนกัน
นางถือเรื่องชื่อเสียงมากกว่าจางซิ่วเอ๋อ ตอนนี้อายุนางก็ไม่น้อยแล้ว ถ้ามีข่าวลืออะไรแพร่ออกไปจริง ๆ จะใช้ชีวิตในหมู่บ้านต่อไปได้อย่างไร?
จางซิ่วเอ๋อมองแม่หลินอย่างนึกขำ “ท่านป้าหลิน เมื่อกี้ท่านสามารถกล่าวหาว่าข้ายั่วยวนสวี่อวิ๋นซานด้วยการคาดเดาของท่านได้ ทำไมพอถึงทีข้ากลับกลายเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ทั้งที่ข้าเห็นกับตาแท้ ๆ ล่ะ?”
“บนโลกไม่มีเรื่องเช่นนี้หรอกนะเจ้าคะ!” นางเอ่ยเสริม
แม่หลินโกรธจนตัวสั่น วันนี้นางแค่อยากจะทำให้จางซิ่วเอ๋อขายหน้าเพื่อระบายความอัดอั้นของตนเอง และให้จางซิ่วเอ๋อได้รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันได้แต่งเข้าตระกูลสวี่
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่จางซิ่วเอ๋อถูกนางกระแนะกระแหน กลับไม่ได้เจ็บปวดโศกเศร้าอย่างใด แต่โต้กลับด้วยการสร้างเรื่อง!
ส่วนจางซิ่วเอ๋อหรือ? นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่แม่หลินกล่าวหาว่าตัวเองยั่วยวนสวี่อวิ๋นซานนั้น ต่อให้ตัวเองไม่ยอมรับและไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่คนอื่นที่ได้ยินแบบนี้ก็ต้องเกิดความคลางแคลงใจบ้าง
นางไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง และไม่รู้สึกจะเป็นจะตายแค่เรื่องแบบนี้ แต่เรื่องอะไรนางจะต้องยอมให้แม่หลินมาเหยียบย่ำตัวเองแบบนี้ด้วย?
ในเมื่อแม่หลินอยากทำลายชื่อเสียงนาง งั้นนางก็จะไม่ใจดีกับแม่หลินเหมือนกัน!
อย่างน้อยก็ต้องทำให้เปื้อนน้ำโคลนด้วยกันทั้งคู่ ลากแม่หลินให้เปื้อนไปด้วย!
ตอนนี้ตัวนางเองไม่มีสามีและไม่คิดจะแต่งงาน ไม่มีชื่อเสียงก็คือไม่มี เพียงแต่นางอยากจะลองดูว่าแม่หลินกลับไปแล้วจะสู้หน้าสามี สู้หน้าลูกชายได้อย่างไร!
ถึงจางซิ่วเอ๋อจะไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับสวี่อวิ๋นซาน แต่ก็ไม่ได้รังเกียจเขา นึกขอบคุณสวี่อวิ๋นซานอยู่ในใจด้วยซ้ำ แต่นึกขอบคุณเขาคือเรื่องหนึ่ง โกรธแค้นกับแม่หลินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นางจะปล่อยให้แม่หลินรังแกตัวเอง เพียงเพราะยารักษาแผลขวดเดียวของสวี่อวิ๋นซานไม่ได้หรอกนะ!
ถ้าวันนี้ตัวเองไม่สู้ ไม่รู้ว่าวันหน้าแม่หลินจะเหิมเกริมขนาดไหน!
ต่อให้แม่หลินไม่หาเรื่องนาง ก็อาจจะมีคนอื่นเห็นนางหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วรังแกเอาได้!
แม่หลินไม่สนใจอะไรแล้ว ครั้นบันดาลโทสะ คำพูดที่ใช้ด่าก็ยิ่งไม่น่าฟัง สีหน้านางหรือก็ดุดันขึ้น “นังแม่ม่ายชั้นต่ำ! ยั่วยวนลูกชายข้าแล้วยังจะมาใส่ร้ายข้าอีก! หน้าไม่อายจริง ๆ”
สีหน้าจางซิ่วเอ๋อเย็นยะเยือก “ท่านป้าหลิน ข้ารู้ว่าท่านโกรธที่ข้าพูดเรื่องนั้นของท่าน แต่ถ้าวันนี้ท่านไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็คงไม่ทำแบบนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
พูดมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ นางก็ทำตาแดง แสดงสีหน้าเสียใจและน้อยใจออกมา “ข้าเป็นแม่ม่ายก็จริง แต่มันเป็นความผิดข้าเหรอ? ทุกคนบอกว่าข้ามีดวงกินสามี แต่คุณชายเนี่ยล่ะ? ต่อให้ข้าไม่แต่งกับเขา เขาก็จะไม่ตายเหรอ?”
“ข้าหวังอะไรได้บ้างจากการแต่งงานกับคุณชายเนี่ย? บอกว่ามีสินสอด แต่ข้ายังไม่เห็นสักแดงเดียว! จู่ ๆ ข้าต้องกลายเป็นแม่ม่ายทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ข้าเองก็ทุกข์ทนในใจ….” จางซิ่วเอ๋อเช็ดน้ำตา ก่อนจะเงยหน้ามองแม่หลิน “ท่านป้าหลิน ข้าไม่เคยอยากมีเรื่องกับท่าน แต่ทำไมท่านต้องบีบคั้นกันขนาดนี้ด้วย ต่อให้ข้าเป็นแม่ม่าย แล้วสตรีทุกคนที่สามีตายก็ต้องเป็นสตรีชั้นต่ำกันหมดอย่างนั้นหรือ? พวกนางสมควรโดนดูถูกหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อพูดมาถึงตรงนี้ก็ทุบเกวียน น้ำเสียงแสดงความเสียใจ “ข้าเพิ่งจะอายุสิบห้า เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ พอแต่งเข้าตระกูลเนี่ยได้ไม่นานก็กลายเป็นแม่ม่าย รู้สึกทุกข์ทรมานใจเหลือเกิน”
“เมื่อก่อนข้าเคยฆ่าตัวตายเพราะหาทางออกไม่ได้ ทว่าตอนนี้อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้ไม่ใช่เพื่อตัวเองก็ต้องอยู่เพื่อชุนเถา แต่ตอนนี้ดูแล้วข้าอยู่ไปก็เท่านั้น ข้าว่าข้าตายไปเสียดีกว่าจะได้จบ ๆ พาชุนเถาไปตายด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมีใครมาว่าพวกเราว่าเป็นแม่ม่ายกับคนเอ๋อ!”
“ฮือ ๆๆๆ…..”
จางซิ่วเอ๋อร้องไห้ไปทุบเกวียนไป
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็อดปวดใจไม่ได้
พวกเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวในเวลานี้เองว่าที่จริงจางซิ่วเอ๋อเป็นเพียงแม่นางน้อยที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะ ต้องกลายมาเป็นแม่ม่ายและพาน้องสาวตัวเองออกจากบ้าน พวกนางต้องใช้ชีวิตลำบากขนาดไหนกัน?
สตรีผู้หนึ่งบนเกวียนเห็นจางซิ่วเอ๋อเป็นแบบนี้ก็นึกเห็นใจ จึงเข้ามาใกล้
นางคือจวี๋ฮวา สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านตระกูลจ้าว
“ซิ่วเอ๋อ เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย เจ้ายังสาวยังเยาว์วัย อีกหน่อยยังหาคนดี ๆ แต่งงานได้ใหม่ เจ้าไม่เหมือนคนที่กลายเป็นแม่ม่ายพวกนั้นหรอกนะ” จวี๋ฮวาเอ่ยเสียงนุ่มนวล
จางซิ่วเอ๋อเหมือนหาที่พึ่งได้ นางกอดจวี๋ฮวาไว้ “ฮือ ๆ ข้าแค่พยายามจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ดูแลชุนเถาให้ดี แต่ทำไมล่ะ ทำไม? ข้าไม่เคยมีเรื่องกับใคร แต่คนอื่นชอบมาตัดทางข้า!”
แม่หลินที่อยู่อีกด้านมองภาพตรงหน้าด้วยตาเบิกกว้าง
นางยังไม่ทันได้ตั้งสติ จางซิ่วเอ๋อที่เมื่อครู่ยังเถียงคำไม่ตกฟากกับนางทำไมจู่ ๆ ถึงร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้แล้วล่ะ? ปากก็พูดไม่หยุดว่านางจะบีบคั้นเจ้าตัวให้ตาย?
แม่หลินกัดฟัน นางขยับปากกำลังจะพูด
พลันด้านนี้ก็มีคนเอ่ยขึ้น “แม่นางสวี่ ท่านพูดให้มันน้อย ๆ หน่อย! ซิ่วเอ๋อเป็นเด็กใจเด็ด อายุแค่นี้ก็ต้องกลายเป็นแม่ม่าย จะรู้สึกดีได้อย่างไร? ไม่ว่าใครถูกใครผิด ท่านก็ไม่ควรแทงใจดำนางต่อหน้าทุกคนแบบนี้!”
“เด็กคนนี้โดนส่งกลับมาในเกี้ยวเจ้าสาว พวกเราหลายคนเห็นกันหมดว่ามีกรรไกรปักที่อก! นางไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วจริง ๆ ตอนนี้นางอุตส่าห์ฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ถ้าเจ้าไปทำให้คนอื่นเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก เกรงว่าตัวเจ้านั่นแหละได้โดนแน่!”
คนที่พูดเป็นหญิงชราผมขาว ทุกคนเรียกนางว่าแม่เฒ่าเฝิง
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อพอรู้จักคนบนเกวียนหมดแล้ว ใครนิสัยอย่างไรก็พอทราบบ้าง
คนที่หวังดีกับนางบนเกวียนนี้คงจะมีแค่จวี๋ฮวาและแม่เฒ่าเฝิง นางจะจำสองคนนี้ไว้ให้ดี คิดกับตัวเองว่าอีกหน่อยจะไปมาหาสู่กับสองคนนี้บ่อย ๆ
ส่วนคนอื่น ๆ ที่มามุงเพราะนึกสนุก ขอแค่ไม่พูดถากถาง นางก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ความสัมพันธ์ต้องตึงเครียดต่อกัน
อีกอย่างคนแบบแม่หลิน ถ้าผูกใจเจ็บกันแล้ว นางไม่ยอมเปลี่ยนท่าทางที่มีต่อแม่หลินง่าย ๆ หรอก
จางซิ่วเอ๋อคิดนู่นนี่ในใจ ขณะกำลังสะอื้นไห้ออกทางสีหน้า
ใช่แล้ว จางซิ่วเอ๋อกำลังแสร้งทำ
นางรู้ว่าบางครั้งการห้ำหั่นกันอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับยอมถอยก้าวนึงแล้วทำตัวน่าสงสาร
แล้วก็เป็นอย่างนั้น พอนางร้องไห้ ก็มีคนไม่น้อยรู้สึกว่าแม่หลินทำเกินไป
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื้อฉาวที่ทั้งสองคนพูดเกี่ยวกับอีกฝ่ายเมื่อครู่ เพียงแค่ตอนนี้แม่หลินก็ถูกมองว่าบีบคั้นคนอื่นแล้ว
ตอนนี้ในใจแม่หลินมีแต่เพลิงโทสะสุมอยู่แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ อึดอัดใจยิ่งนัก
ครั้นไม่มีใครเห็น จางซิ่วเอ๋อก็เลิกคิ้วมองแม่หลินด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
แม่หลินเห็นภาพนี้ก็เดือดดาลจนแทบกระอักเลือด
…………………………………………